Goodbye Christopher Robin (Simon Curtis, 2017) คะแนน B
By Form Corleone
"เบื้องหลังหมีพูห์ มีเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดของเด็กชายไร้เดียงสา" ถ้ากล่าวถึง 'วินนี่ เดอะ พูห์' หนังสือวรรณกรรมก้องโลกที่ใครหลายคนน่าจะเคยได้อ่านสมัยเด็กๆ หรือจะสัมผัสรับชมเรื่องราวในรูปแบบหมีตัวสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์และแทบที่จะไม่มีใครไม่รู้จักในรูปแบบการ์ตูน แต่เบื้องหลังก่อนจะมาเป็นเรื่องราวสร้างรอยยิ้ม มิตรภาพ ให้เด็กทั่วโลกได้สัมผัสกันนั้นทั้งหมดมีที่มาจากเด็กน้อยคนหนึ่งที่แสนเศร้าที่สุดในโลก 'เอ.เอ. มิลน์ (รับบทโดย โดนัลล์ กลีสัน)' นักเขียนที่มีผลกระทบจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 จนเกิดภาพหลอนและเครียดจากความสะเทือนใจในสมรภูมิสงคราม เขาพยายามเขียนเรื่องราวเพื่อลบล้างภาวะสงครามให้หมดไปจากโลกนี้ โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับจินตนาการของลูกชายในวัยเด็ก สร้างตัวละครสมมุติตามตุ๊กตาที่ลูกชายเล่นและใช้ชื่อ 'คริสโตเฟอร์ โรบิน' แทนชื่อจริงของลูกชายลงไป โดยไม่ได้คาดคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อช่วงเวลาวัยเด็กที่ลูกชายตัวเองควรจะได้รับ และเมื่อรู้ตัวทุกอย่างก็ดูจะสายเกินไป เพราะช่วงเวลาเหล่านั้นไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้อีกแล้ว
ตัวภาพยนตร์มีโทนสีและวิธีเล่าเรื่องค่อนข้างหม่นเศร้าและสะเทือนใจต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งผลกระทบต่อภาวะสงคราม ผลกระทบต่อการเลี้ยงดูลูก และผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เด็กคนหนึ่งเกินรับไหว สิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้ตัวหนังไม่โศกเศร้าจนเกินไปคงเป็นการแสดงของ 'วิล ทิลสตัน' ในบท บิลลี่ มิลน์ (คริสโตเฟอร์ โรบิน) ที่ดูสดใสน่ารักสมวัยและถือเป็นตัวละครเอกที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ร่วมไปกับคนดูได้เป็นอย่างดี ทำให้เราสามารถที่จะมองเห็นพัฒนาการหรือจินตนาการต่างๆของเด็กชายคนนี้จนไปถึงสภาพจิตใจที่แสนเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน แม้ว่าในส่วนแง่มุมจินตนาการที่หนังนำเสนอจะไม่ได้เด่นชัดให้มองเห็นเป็นวรรณกรรมได้มากก็ตาม นอกจากนี้ ตัวภาพยนตร์เองยังสอดแทรกเรื่องราวสถาบันครอบครัวผ่านตัวละคร เอ.เอ. มิลน์ และ ภรรยา เดฟเน มิลน์ (รับบทโดย มาร์โกต์ ร็อบบี้) สะท้อนหน้าที่ความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อและแม่ในการเลี้ยงดูบุตรชายได้อย่างสะเทือนต่อความรู้สึกในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม 'Goodbye Christopher Robin' คงจะจัดอยู่ในภาพยนตร์แนวอัตชีวประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวของตัวบุคคลตามชื่อเรื่อง จนอาจไม่ได้แสดงเรื่องราวภายในหนังสือ 'วินนี่ เดอะ พูห์' มากเท่าชีวิตจริงของ 'คริสโตเฟอร์ โรบิน' ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ตัวภาพยนตร์จงใจและต้องการนำเสนอ และมันอาจจะทำให้เรามีความคิดต่อวรรณกรรมเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดินหลังจากหนังจบลง เพราะตลอดเวลาที่หนังนำเสนอเราแทบที่จะมองไม่เห็นวิธีการถ่ายทอดจินตนาการของเด็กน้อยให้กลายร่างเป็นหนังสือ 'วินนี่ เดอะ พูห์' แบบจริงๆจังๆมากเท่าไหร่ มันจึงทำให้เราไม่สามารถมีส่วนร่วมไปกับหนังได้ตลอดทั้งเรื่อง ท้ายสุด งานนี้คงจะแสดงถึงคุณค่าในความเป็นครอบครัวและเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ที่มีค่าและเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดแต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม...ลาก่อน...คริสโตเฟอร์ โรบิน...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Goodbye Christopher Robin (Simon Curtis, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"เบื้องหลังหมีพูห์ มีเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดของเด็กชายไร้เดียงสา" ถ้ากล่าวถึง 'วินนี่ เดอะ พูห์' หนังสือวรรณกรรมก้องโลกที่ใครหลายคนน่าจะเคยได้อ่านสมัยเด็กๆ หรือจะสัมผัสรับชมเรื่องราวในรูปแบบหมีตัวสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์และแทบที่จะไม่มีใครไม่รู้จักในรูปแบบการ์ตูน แต่เบื้องหลังก่อนจะมาเป็นเรื่องราวสร้างรอยยิ้ม มิตรภาพ ให้เด็กทั่วโลกได้สัมผัสกันนั้นทั้งหมดมีที่มาจากเด็กน้อยคนหนึ่งที่แสนเศร้าที่สุดในโลก 'เอ.เอ. มิลน์ (รับบทโดย โดนัลล์ กลีสัน)' นักเขียนที่มีผลกระทบจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 จนเกิดภาพหลอนและเครียดจากความสะเทือนใจในสมรภูมิสงคราม เขาพยายามเขียนเรื่องราวเพื่อลบล้างภาวะสงครามให้หมดไปจากโลกนี้ โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับจินตนาการของลูกชายในวัยเด็ก สร้างตัวละครสมมุติตามตุ๊กตาที่ลูกชายเล่นและใช้ชื่อ 'คริสโตเฟอร์ โรบิน' แทนชื่อจริงของลูกชายลงไป โดยไม่ได้คาดคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อช่วงเวลาวัยเด็กที่ลูกชายตัวเองควรจะได้รับ และเมื่อรู้ตัวทุกอย่างก็ดูจะสายเกินไป เพราะช่วงเวลาเหล่านั้นไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้อีกแล้ว
ตัวภาพยนตร์มีโทนสีและวิธีเล่าเรื่องค่อนข้างหม่นเศร้าและสะเทือนใจต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งผลกระทบต่อภาวะสงคราม ผลกระทบต่อการเลี้ยงดูลูก และผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เด็กคนหนึ่งเกินรับไหว สิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้ตัวหนังไม่โศกเศร้าจนเกินไปคงเป็นการแสดงของ 'วิล ทิลสตัน' ในบท บิลลี่ มิลน์ (คริสโตเฟอร์ โรบิน) ที่ดูสดใสน่ารักสมวัยและถือเป็นตัวละครเอกที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ร่วมไปกับคนดูได้เป็นอย่างดี ทำให้เราสามารถที่จะมองเห็นพัฒนาการหรือจินตนาการต่างๆของเด็กชายคนนี้จนไปถึงสภาพจิตใจที่แสนเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน แม้ว่าในส่วนแง่มุมจินตนาการที่หนังนำเสนอจะไม่ได้เด่นชัดให้มองเห็นเป็นวรรณกรรมได้มากก็ตาม นอกจากนี้ ตัวภาพยนตร์เองยังสอดแทรกเรื่องราวสถาบันครอบครัวผ่านตัวละคร เอ.เอ. มิลน์ และ ภรรยา เดฟเน มิลน์ (รับบทโดย มาร์โกต์ ร็อบบี้) สะท้อนหน้าที่ความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อและแม่ในการเลี้ยงดูบุตรชายได้อย่างสะเทือนต่อความรู้สึกในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม 'Goodbye Christopher Robin' คงจะจัดอยู่ในภาพยนตร์แนวอัตชีวประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวของตัวบุคคลตามชื่อเรื่อง จนอาจไม่ได้แสดงเรื่องราวภายในหนังสือ 'วินนี่ เดอะ พูห์' มากเท่าชีวิตจริงของ 'คริสโตเฟอร์ โรบิน' ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ตัวภาพยนตร์จงใจและต้องการนำเสนอ และมันอาจจะทำให้เรามีความคิดต่อวรรณกรรมเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดินหลังจากหนังจบลง เพราะตลอดเวลาที่หนังนำเสนอเราแทบที่จะมองไม่เห็นวิธีการถ่ายทอดจินตนาการของเด็กน้อยให้กลายร่างเป็นหนังสือ 'วินนี่ เดอะ พูห์' แบบจริงๆจังๆมากเท่าไหร่ มันจึงทำให้เราไม่สามารถมีส่วนร่วมไปกับหนังได้ตลอดทั้งเรื่อง ท้ายสุด งานนี้คงจะแสดงถึงคุณค่าในความเป็นครอบครัวและเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ที่มีค่าและเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดแต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม...ลาก่อน...คริสโตเฟอร์ โรบิน...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/