โดยความคิดส่วนตัว
ครูในไทยให้การบ้านที่ไม่เกี่ยวกับการสอนบ้าง ให้งานเยอะบ้าง และสอนแต่ทฤษฎีไม่สอนปฏิบัติ ทำเหมือนเด็กรู้ทุกอย่างตั้งแต่ก่อนมาเรียนทั้งที่ความจริงถ้าเรารู้ทุกอย่างเราจะมาเรียนให้เสียเงินพ่อแม่ทำไม ชอบอ้างเรื่องความรับผิดชอบทั้งๆที่ครูเองก็สั่งงานไปงั้นๆแทบทุกวิชาพอเด็กทำของวิชาที่ตัวครูท่านหนึ่งทันอีกท่านนึงไม่ทันก็มาน้อยใจว่าเด็กไม่ให้ความสำคัญกับวิชาที่ตนสอนโดยไม่คำนึงว่าเด็กมีเวลาว่างแค่ไหนได้อยู่ร่วมกิจกรรมกับครอบครัวมากแค่ไหน ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ได้คุยกับแม่ตัวเองเลยแค่จะกินข้าวยังต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะมีเวลาเหลือทำการบ้านเหลือพักบ้างหรือป่าว แถมแรงกดดันจากผู้ปกครองเช่นที่ว่า"นี่แค่เรียนแค่นี้ยังทำไมได้ถ้าทำงานไปเรียนไปคงตายเลยมั้งเนี้ย"ปัจจัยมันไม่ได้อยู้แค่การเรียน มันยังต้องมาสังคม มีเวลา และหลายๆอย่าง เด็กไม่ใช่หุ่นยนต์ ไม่ใช่จะสั่งให้เรียนก็ต้องเรียน เรียนอย่างเดียว ห้ามเล่นห้ามกินห้ามป่วยห้ามตาย
(นำมาจากคอมเม้นของคนๆนึง)
ทั้งๆที่การบ้านเยอะ แต่ในข้อสอบออกน้อยมาก ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการบ้าน แต่ไปออกในชีทที่อาจารย์ให้ในที่เรียนพิเศษบ้างไม่ก็ชีทสรุปที่อาจารย์มากกว่า ที่สอบมาในวันนี้น่ะ ในหนังสือออก 35% ในชีทสรุปและจดบันทึก 40% แบบวิเคราะห์(ใช้สมองตนเองในการตอบ) 25% การบ้านก็ไม่ออกเลยก็ว่าได้ ถ้าถามว่ามีการบ้านดีไหม ขอตอบว่าดีแต่ควรให้การบ้านที่ให้เด็กนำความรู้ของเด็กที่ได้เรียนมาทำเป็นการบ้านวิเคราะห์ มากกว่าที่จะทำเป็นแบบจำเปิดหนังสือทำ (วิชาสังคม และภาษาไทย)
ส่วนการบ้าน (วิชาวิทย์คณิต)
ควรประยุกต์ฝึกสมองโดยเริ่มจากโจทย์ที่ง่าย ๆ และไม่ซับซ้อน แล้วก็ค่อย ๆ เปลี่ยนมีความยากมากขึ้น เพื่อให้เด็กชำนาญและเข้าใจเรื่องที่เรียน แต่การเรียนบางครั้งควรตัดเรื่องที่ยาก ๆ ออกในบางเรื่องเพราะบางครั้งอาจารย์สอนไม่ทัน เด็กก็เรียนไม่ทันน่ะ
(ส่วนวิชาภาษาอังกฤษ) ควรให้การบ้านแบบใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่า เพื่อฝึกภาษาให้เด็กเช่น เรียนอยู่ในห้องควรให้เด็กฝึกใช้ภาษาอังกฤษ มากกว่าจะใช้เป็นหลักไวยากรณ์ที่เคร่งครัดควรค่อย ๆ ปรับไปให้เวลาให้ความรู้ความเข้าใจแก่เด็ก และเด็กก็จะมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่แน่นกว่านี้ ขอบคุณ
(นี่คือสิ่งที่ตัวเราและบางท่านเจอ)
การมีการบ้านดีหรือไม่เพราะเหตุใด (ความในใจที่เด็กอยากให้ครูอาจารย์รู้)
ครูในไทยให้การบ้านที่ไม่เกี่ยวกับการสอนบ้าง ให้งานเยอะบ้าง และสอนแต่ทฤษฎีไม่สอนปฏิบัติ ทำเหมือนเด็กรู้ทุกอย่างตั้งแต่ก่อนมาเรียนทั้งที่ความจริงถ้าเรารู้ทุกอย่างเราจะมาเรียนให้เสียเงินพ่อแม่ทำไม ชอบอ้างเรื่องความรับผิดชอบทั้งๆที่ครูเองก็สั่งงานไปงั้นๆแทบทุกวิชาพอเด็กทำของวิชาที่ตัวครูท่านหนึ่งทันอีกท่านนึงไม่ทันก็มาน้อยใจว่าเด็กไม่ให้ความสำคัญกับวิชาที่ตนสอนโดยไม่คำนึงว่าเด็กมีเวลาว่างแค่ไหนได้อยู่ร่วมกิจกรรมกับครอบครัวมากแค่ไหน ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ได้คุยกับแม่ตัวเองเลยแค่จะกินข้าวยังต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะมีเวลาเหลือทำการบ้านเหลือพักบ้างหรือป่าว แถมแรงกดดันจากผู้ปกครองเช่นที่ว่า"นี่แค่เรียนแค่นี้ยังทำไมได้ถ้าทำงานไปเรียนไปคงตายเลยมั้งเนี้ย"ปัจจัยมันไม่ได้อยู้แค่การเรียน มันยังต้องมาสังคม มีเวลา และหลายๆอย่าง เด็กไม่ใช่หุ่นยนต์ ไม่ใช่จะสั่งให้เรียนก็ต้องเรียน เรียนอย่างเดียว ห้ามเล่นห้ามกินห้ามป่วยห้ามตาย
(นำมาจากคอมเม้นของคนๆนึง)
ทั้งๆที่การบ้านเยอะ แต่ในข้อสอบออกน้อยมาก ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการบ้าน แต่ไปออกในชีทที่อาจารย์ให้ในที่เรียนพิเศษบ้างไม่ก็ชีทสรุปที่อาจารย์มากกว่า ที่สอบมาในวันนี้น่ะ ในหนังสือออก 35% ในชีทสรุปและจดบันทึก 40% แบบวิเคราะห์(ใช้สมองตนเองในการตอบ) 25% การบ้านก็ไม่ออกเลยก็ว่าได้ ถ้าถามว่ามีการบ้านดีไหม ขอตอบว่าดีแต่ควรให้การบ้านที่ให้เด็กนำความรู้ของเด็กที่ได้เรียนมาทำเป็นการบ้านวิเคราะห์ มากกว่าที่จะทำเป็นแบบจำเปิดหนังสือทำ (วิชาสังคม และภาษาไทย)
ส่วนการบ้าน (วิชาวิทย์คณิต)
ควรประยุกต์ฝึกสมองโดยเริ่มจากโจทย์ที่ง่าย ๆ และไม่ซับซ้อน แล้วก็ค่อย ๆ เปลี่ยนมีความยากมากขึ้น เพื่อให้เด็กชำนาญและเข้าใจเรื่องที่เรียน แต่การเรียนบางครั้งควรตัดเรื่องที่ยาก ๆ ออกในบางเรื่องเพราะบางครั้งอาจารย์สอนไม่ทัน เด็กก็เรียนไม่ทันน่ะ
(ส่วนวิชาภาษาอังกฤษ) ควรให้การบ้านแบบใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่า เพื่อฝึกภาษาให้เด็กเช่น เรียนอยู่ในห้องควรให้เด็กฝึกใช้ภาษาอังกฤษ มากกว่าจะใช้เป็นหลักไวยากรณ์ที่เคร่งครัดควรค่อย ๆ ปรับไปให้เวลาให้ความรู้ความเข้าใจแก่เด็ก และเด็กก็จะมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่แน่นกว่านี้ ขอบคุณ
(นี่คือสิ่งที่ตัวเราและบางท่านเจอ)