จากเพจ วิเคราะห์บอลจริงจัง
ย้อนกลับไป หลังจบฤดูกาล 2008-09 ดิดิเยร์ ดร็อกบา เตรียมจะโดนเชลซีโละทิ้งพ้นทีม
แม้แฟนๆจะชื่นชอบ แต่ผู้บริหารกลับไม่ค่อยชอบกองหน้าคนนี้มากนัก เพราะเจ้าตัวมีนิสัยที่ควบคุมยาก
ในเกมที่แพ้บาร์เซโลน่า รอบรองแชมเปี้ยนส์ลีก เขาไปก่อเรื่องด่าผู้ตัดสิน ทอม เฮนนิ่ง โอเวโบร จนติดโทษแบนยาว สโมสรก็เสื่อมเสียภาพลักษณ์ไปด้วย
ขณะที่ฟอร์มในสนาม ดร็อกบามีอายุ 31 ปี ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนตอนหนุ่ม ส่วนค่าเหนื่อยก็สูงลิ่ว คือไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเก็บเอาไว้กับทีมต่อ
คิดในแง่ธุรกิจ ตอนนี้ดร็อกบาเหลือสัญญาอีก 1 ปี รีบๆขายออกไป ยังจะได้เงินก้อนมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้บริหารแทบทุกคนในสโมสรจะเห็นไปในทางเดียวกัน ว่า "ขายทิ้งซะ" แต่ มีอยู่คนหนึ่งที่เห็นต่าง และขอยืนกรานว่า เชลซี ต้องเก็บไว้เท่านั้น
สายตาของคนคนนั้น มั่นใจว่า ดร็อกบายังมีคุณค่ากับทีมอยู่ และการเก็บไว้ มีประโยชน์มากกว่าโทษ
สุดท้าย โรมัน อบราโมวิช ก็เชื่อตามไปด้วย เลยเก็บดร็อกบาไว้ และต่อสัญญาเพิ่มให้อีกจนถึงปี 2012
ปรากฎว่า ในช่วง 3 ปี ที่ได้รับสัญญา ดร็อกบา พาเชลซี ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก , เอฟเอคัพ และ ปิดท้ายด้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเขาเป็นคนยิงจุดโทษลูกสุดท้ายเองด้วย
ไม่แปลกเลย ที่แฟนๆเชลซี ยังพูดกันถึงวันนี้ว่า ทีมสิงห์บลูส์ คงไปไม่ถึงแชมป์ยุโรป ถ้าไม่มีดร็อกบา
ดังนั้น เครดิตส่วนหนึ่ง ควรจะเป็นของคนที่ยืนกรานกระต่ายขาเดียว ว่า "ต้องเก็บดร็อกบาเอาไว้ให้ได้"
วันนี้ วิเคราะห์บอลจริงจัง จะเล่าเรื่องของเธอคนนี้ให้ฟังครับ
ที่ใช้คำว่า "เธอ" เพราะ นี่คือผู้หญิง
ว่ากันว่า นี่คือสตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกของฟุตบอล
เธอคนนี้ ชื่อ "มาริน่า"
มาริน่า กรานอฟสกาย่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับฟุตบอลเลยในสมัยเรียน สมัยมัธยมเธอเรียนร้องเพลง และเต้น จากนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็เรียนอักษรศาสตร์
หลังจากเรียนจบ ในปี 1997 จากมหาวิทยาลัยมอสโก สเตต มาริน่า วัย 22 ปี เริ่มต้นงานที่บริษัทน้ำมันของ โรมัน อบราโมวิช ในรัสเซีย
ด้วยความที่เธอพูดได้หลายภาษา ทั้งอังกฤษ ,รัสเซีย ,โปรตุเกส , สเปน และฝรั่งเศส ทำให้ในปี 2003 ตอนที่อบราโมวิช เทกโอเวอร์เชลซี มาริน่า จึงได้โอกาสย้ายมาทำงานที่อังกฤษด้วย
งานแรกของเธอ ไม่ได้เกี่ยวกับทีมฟุตบอลเลย แต่เธอทำหน้าที่ดูแลออฟฟิศของอบราโมวิช ที่ประเทศอังกฤษ และทำหน้าที่ประสานงานเป็นหลัก
มาริน่า อดทนทำงานที่น่าเบื่อซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าเป็นปี หน้าที่หนึ่งของเธอคือ การจัดสรรหาที่นั่งในบ็อกซ์วีไอพี ให้กับแขกของอบราโมวิช
แต่ยิ่งเธอติดต่อคนเยอะเท่าไหร่ เธอก็มีคอนเน็กชั่นมากขึ้นเท่านั้น คนรู้จักเธอมากขึ้น เวลามีปัญหาอะไร เธอสามารถจัดการมันได้เป็นอย่างดี เสียงชื่นชมเธอ ก็ไปเข้าถึงหูอบราโมวิช
เวลาผ่านไป มาริน่า ยกระดับหน้าที่กลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ อบราโมวิช ในตอนแรกเธอ เป็นที่ปรึกษาเรื่องธุรกิจ แต่ เมื่อความเห็นของเธอถูกต้องบ่อยครั้งเข้า อบราโมวิช ก็ฟังเธอ ในเรื่องฟุตบอลด้วย
ในเคส ของดร็อกบา ทุกคนอยากขายทิ้ง แต่ มาริน่า ยืนยันว่าต้องต่อสัญญาเท่านั้น และโรมัน เชื่อเธอ
และหลังจากเซ็นสัญญากันปั๊บ ในปีนั้น ดร็อกบา ยิงกระจุย 29 ลูก พาเชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก พร้อมกับคว้าดาวซัลโวอย่างยิ่งใหญ่ คือถ้าขายไปตอนนั้น เชลซีคงเสียหัวหอกอันดับหนึ่งไปอย่างไม่น่าให้อภัย
ผลงานที่เข้าตาของมาริน่า ทำให้เธอได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารของเชลซี โดยจะทำงานร่วมกับไมเคิล เอมาเนโล่
ทีมเวิร์กของเชลซีในตลาดนักเตะ คือเอมาเนโล่ อดีตดาวเตะทีมชาติไนจีเรีย จะเป็นผู้อำนวยการเทคนิค ทำหน้าที่ควบคุมแมวมอง และนักเตะเยาวชน
เอมาเนโล่ จะใช้ประสบการณ์ในฐานะนักเตะเก่าฟันธงว่า นักเตะแต่ละคนที่เชลซีจะซื้อ หรือจะต่อสัญญามีคุณภาพพอหรือไม่ จากนั้นเมื่อตกลงใจได้แล้ว ก็ให้ มาริน่า เป็นคนเจรจาต่อรองการซื้อขาย
มาริน่า คือเหตุผลที่เชลซี สร้างดีลช็อกๆในวงการมากมาย ตัวอย่างเช่น การกระชากเฟร์นันโด ตอร์เรส มาจากลิเวอร์พูลในราคา 50 ล้านปอนด์
การคว้าตัวเอแด็น อาซาร์ ที่มีทั้งบาร์ซ่า , มาดริด , แมนฯยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล สนใจ แต่สุดท้ายกลับเลือกเชลซีอย่างพลิกโผ
การชิงเหลี่ยมกับแมนฯยูไนเต็ด จนคว้าอัลบาโร่ โมราต้ามาได้ ในราคาที่ถูกกว่าโรเมลู ลูกากู
การดึงมิดฟิลด์ตัวท็อป เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จากเลสเตอร์ ทั้งๆที่มีทีมสนใจอีกนับสิบ
ขายรามิเรส เป็นสถิติของลีกจีน 25 ล้านปอนด์ ก่อนจะขายออสการ์เป็นสถิติจีนอีกรอบ ที่ราคา 60 ล้านปอนด์
และล่าสุด การคว้ารอสส์ บาร์คลีย์ ในราคาเหลือเชื่อ 15 ล้านปอนด์ ก็คือผลงานการเจรจาของเธอ
"ผมไม่เคยเจอผู้บริหารคนไหนที่เฉียบขาดแบบเธอ" เอเยนต์รายหนึ่งเผย "สำหรับมาริน่า ถ้าบอกว่า ไม่ นั่นแปลว่า ไม่ "
"ตามปกติผู้บริหารคนอื่นๆ เวลาบอกว่า "ไม่" นั่นหมายถึง เราจะนัดเจอกันอีก 20 ครั้ง จนกว่าจะได้ราคาที่พอใจ แต่กับ มาริน่า ถ้าเธอบอกว่านี่คือข้อเสนอครั้งสุดท้าย เธอจะหมายความตามนั้น คุณจะไม่ได้ยินเสียงเธออีกเลย"
หลังจากรอน เกอร์เล่ย์ ซีอีโอคนเดิมลงจากตำแหน่ง ในตอนนี้ มาริน่า ถูกแต่งตั้งเป็นบอร์ดบริหาร ควบกับผู้อำนวยการสโมสร เธอเป็นคนที่อบราโมวิช ไว้ใจมากที่สุด อำนาจของเธอเหนือกว่าบรูซ บัค ประธานสโมสรตัวจริงด้วยซ้ำ
หากเทียบกับแมนฯยูไนเต็ด บรูซ บัค ก็เหมือนกับ พี่น้องตระกูลเกลเซอร์ คือเป็นประธานสโมสรก็จริง แต่เหมือนจะตั้งเอาไว้บนหิ้ง
บทบาทของมาริน่า ก็เหมือนกับเอ็ด วู้ดเวิร์ด ที่เป็นคนจัดการทุกอย่างด้วยมือตัวเอง
การเจรจาครั้งสำคัญที่ทำให้เธอได้รับเครดิตอย่างมาก คือการต่อสัญญากับจอห์น เทอร์รี่ ในปี 2014 โดยตอนนั้นเขากำลังจะหมดสัญญากับสโมสร
เจที เรียกร้อง ต่อสัญญาระยะยาว แต่เชลซีไม่สามารถให้ได้ และยื่นแค่ 1 ปีเท่านั้น
การเจรจายืดเยื้อมาสักระยะ ในที่สุด มาริน่า ทุบโต๊ะ และประกาศตรงนั้นว่า "take it or ing leave it" หรือแปลเป็นไทยว่า จะเอาก็เอา ไม่เอาก็ไสหัวไปซะ! ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าพูดกับตำนานของสโมสรแบบนี้ แต่มาริน่ากล้า และสุดท้าย เทอร์รี่ก็ยอมเซ็น
จึงไม่แปลก ที่เอเยนต์นักเตะ ผู้บริหารของทีมอื่นๆ รวมถึงสื่อมวลชน จะยอมรับว่าทักษะเรื่องการเจรจาของเธอไม่เป็นรองใคร
และในโลกของการทำงาน จะเป็นเพศอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าคุณทำผลงานได้ดี คุณก็จะได้รับการยอมรับ มันก็แค่นั้น
อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปเชื่อว่า มาริน่า จะเจอกับความท้าทายที่มากขึ้น
ไมเคิล เอมาเนโล่ มือขวาที่ร่วมทีมกันมาตลอด อำลาตำแหน่งไปรับงานที่โมนาโก เท่ากับว่าเธอจะไม่มีแบ็กอัพที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง
นอกจากนั้น ตลาดซื้อขายในปัจจุบัน ก็เข้มข้นกว่าเดิม ทีมเงินหนาๆอย่าง ซิตี้ ,ยูไนเต็ด หรือ เปแอสเช พร้อมทุ่มเงินตัดหน้าเชลซี ในยุคนี้ไม่มีใครเกรงกลัวอำนาจเงินเสี่ยหมีกันแล้ว
แต่แม้จะมีปัญหาเข้ามารอบด้าน ก็เชื่อได้เลยว่าผู้หญิงแกร่งอย่างมาริน่าไม่มีกลัวอยู่แล้ว
มันไม่สำคัญว่าคุณจะเริ่มต้นอย่างไร
ทุกอาชีพ ย่อมมีเส้นทางไปสู่จุดสูงสุดได้ ขอแค่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และรอคอยโอกาสอย่างอดทน
มาริน่า เป็นผู้หญิง ที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องฟุตบอลมาก่อน แถมยังโดนจับไปทำงานในด้านที่ไม่เกี่ยวกันเลย แต่เธอก็ยังไต่เต้าขึ้นมา จนอยู่แถวหน้าของวงการ และได้รับการยอมรับจากทุกคน
เธอสร้างคอนเน็คชั่น รอจังหวะที่เหมาะสม และเมื่อโอกาสเข้ามา เธอไม่ปล่อยให้มันหลุดไป
บทสรุปของเรื่องนี้ อยากให้รู้ว่า แม้วันนี้ จะดูยังไม่เห็นทาง แต่ขอให้มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ โอกาสย่อมมาถึงไม่ช้าก็เร็ว
และถ้าเราเป็นเพชรแท้ เชื่อเถอะ อยู่ที่ไหนก็ย่อมส่องประกาย
Marina เธอคือ ทุกอย่างของเชลซี
ย้อนกลับไป หลังจบฤดูกาล 2008-09 ดิดิเยร์ ดร็อกบา เตรียมจะโดนเชลซีโละทิ้งพ้นทีม
แม้แฟนๆจะชื่นชอบ แต่ผู้บริหารกลับไม่ค่อยชอบกองหน้าคนนี้มากนัก เพราะเจ้าตัวมีนิสัยที่ควบคุมยาก
ในเกมที่แพ้บาร์เซโลน่า รอบรองแชมเปี้ยนส์ลีก เขาไปก่อเรื่องด่าผู้ตัดสิน ทอม เฮนนิ่ง โอเวโบร จนติดโทษแบนยาว สโมสรก็เสื่อมเสียภาพลักษณ์ไปด้วย
ขณะที่ฟอร์มในสนาม ดร็อกบามีอายุ 31 ปี ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนตอนหนุ่ม ส่วนค่าเหนื่อยก็สูงลิ่ว คือไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเก็บเอาไว้กับทีมต่อ
คิดในแง่ธุรกิจ ตอนนี้ดร็อกบาเหลือสัญญาอีก 1 ปี รีบๆขายออกไป ยังจะได้เงินก้อนมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้บริหารแทบทุกคนในสโมสรจะเห็นไปในทางเดียวกัน ว่า "ขายทิ้งซะ" แต่ มีอยู่คนหนึ่งที่เห็นต่าง และขอยืนกรานว่า เชลซี ต้องเก็บไว้เท่านั้น
สายตาของคนคนนั้น มั่นใจว่า ดร็อกบายังมีคุณค่ากับทีมอยู่ และการเก็บไว้ มีประโยชน์มากกว่าโทษ
สุดท้าย โรมัน อบราโมวิช ก็เชื่อตามไปด้วย เลยเก็บดร็อกบาไว้ และต่อสัญญาเพิ่มให้อีกจนถึงปี 2012
ปรากฎว่า ในช่วง 3 ปี ที่ได้รับสัญญา ดร็อกบา พาเชลซี ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก , เอฟเอคัพ และ ปิดท้ายด้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเขาเป็นคนยิงจุดโทษลูกสุดท้ายเองด้วย
ไม่แปลกเลย ที่แฟนๆเชลซี ยังพูดกันถึงวันนี้ว่า ทีมสิงห์บลูส์ คงไปไม่ถึงแชมป์ยุโรป ถ้าไม่มีดร็อกบา
ดังนั้น เครดิตส่วนหนึ่ง ควรจะเป็นของคนที่ยืนกรานกระต่ายขาเดียว ว่า "ต้องเก็บดร็อกบาเอาไว้ให้ได้"
วันนี้ วิเคราะห์บอลจริงจัง จะเล่าเรื่องของเธอคนนี้ให้ฟังครับ
ที่ใช้คำว่า "เธอ" เพราะ นี่คือผู้หญิง
ว่ากันว่า นี่คือสตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกของฟุตบอล
เธอคนนี้ ชื่อ "มาริน่า"
มาริน่า กรานอฟสกาย่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับฟุตบอลเลยในสมัยเรียน สมัยมัธยมเธอเรียนร้องเพลง และเต้น จากนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็เรียนอักษรศาสตร์
หลังจากเรียนจบ ในปี 1997 จากมหาวิทยาลัยมอสโก สเตต มาริน่า วัย 22 ปี เริ่มต้นงานที่บริษัทน้ำมันของ โรมัน อบราโมวิช ในรัสเซีย
ด้วยความที่เธอพูดได้หลายภาษา ทั้งอังกฤษ ,รัสเซีย ,โปรตุเกส , สเปน และฝรั่งเศส ทำให้ในปี 2003 ตอนที่อบราโมวิช เทกโอเวอร์เชลซี มาริน่า จึงได้โอกาสย้ายมาทำงานที่อังกฤษด้วย
งานแรกของเธอ ไม่ได้เกี่ยวกับทีมฟุตบอลเลย แต่เธอทำหน้าที่ดูแลออฟฟิศของอบราโมวิช ที่ประเทศอังกฤษ และทำหน้าที่ประสานงานเป็นหลัก
มาริน่า อดทนทำงานที่น่าเบื่อซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าเป็นปี หน้าที่หนึ่งของเธอคือ การจัดสรรหาที่นั่งในบ็อกซ์วีไอพี ให้กับแขกของอบราโมวิช
แต่ยิ่งเธอติดต่อคนเยอะเท่าไหร่ เธอก็มีคอนเน็กชั่นมากขึ้นเท่านั้น คนรู้จักเธอมากขึ้น เวลามีปัญหาอะไร เธอสามารถจัดการมันได้เป็นอย่างดี เสียงชื่นชมเธอ ก็ไปเข้าถึงหูอบราโมวิช
เวลาผ่านไป มาริน่า ยกระดับหน้าที่กลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ อบราโมวิช ในตอนแรกเธอ เป็นที่ปรึกษาเรื่องธุรกิจ แต่ เมื่อความเห็นของเธอถูกต้องบ่อยครั้งเข้า อบราโมวิช ก็ฟังเธอ ในเรื่องฟุตบอลด้วย
ในเคส ของดร็อกบา ทุกคนอยากขายทิ้ง แต่ มาริน่า ยืนยันว่าต้องต่อสัญญาเท่านั้น และโรมัน เชื่อเธอ
และหลังจากเซ็นสัญญากันปั๊บ ในปีนั้น ดร็อกบา ยิงกระจุย 29 ลูก พาเชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก พร้อมกับคว้าดาวซัลโวอย่างยิ่งใหญ่ คือถ้าขายไปตอนนั้น เชลซีคงเสียหัวหอกอันดับหนึ่งไปอย่างไม่น่าให้อภัย
ผลงานที่เข้าตาของมาริน่า ทำให้เธอได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารของเชลซี โดยจะทำงานร่วมกับไมเคิล เอมาเนโล่
ทีมเวิร์กของเชลซีในตลาดนักเตะ คือเอมาเนโล่ อดีตดาวเตะทีมชาติไนจีเรีย จะเป็นผู้อำนวยการเทคนิค ทำหน้าที่ควบคุมแมวมอง และนักเตะเยาวชน
เอมาเนโล่ จะใช้ประสบการณ์ในฐานะนักเตะเก่าฟันธงว่า นักเตะแต่ละคนที่เชลซีจะซื้อ หรือจะต่อสัญญามีคุณภาพพอหรือไม่ จากนั้นเมื่อตกลงใจได้แล้ว ก็ให้ มาริน่า เป็นคนเจรจาต่อรองการซื้อขาย
มาริน่า คือเหตุผลที่เชลซี สร้างดีลช็อกๆในวงการมากมาย ตัวอย่างเช่น การกระชากเฟร์นันโด ตอร์เรส มาจากลิเวอร์พูลในราคา 50 ล้านปอนด์
การคว้าตัวเอแด็น อาซาร์ ที่มีทั้งบาร์ซ่า , มาดริด , แมนฯยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล สนใจ แต่สุดท้ายกลับเลือกเชลซีอย่างพลิกโผ
การชิงเหลี่ยมกับแมนฯยูไนเต็ด จนคว้าอัลบาโร่ โมราต้ามาได้ ในราคาที่ถูกกว่าโรเมลู ลูกากู
การดึงมิดฟิลด์ตัวท็อป เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จากเลสเตอร์ ทั้งๆที่มีทีมสนใจอีกนับสิบ
ขายรามิเรส เป็นสถิติของลีกจีน 25 ล้านปอนด์ ก่อนจะขายออสการ์เป็นสถิติจีนอีกรอบ ที่ราคา 60 ล้านปอนด์
และล่าสุด การคว้ารอสส์ บาร์คลีย์ ในราคาเหลือเชื่อ 15 ล้านปอนด์ ก็คือผลงานการเจรจาของเธอ
"ผมไม่เคยเจอผู้บริหารคนไหนที่เฉียบขาดแบบเธอ" เอเยนต์รายหนึ่งเผย "สำหรับมาริน่า ถ้าบอกว่า ไม่ นั่นแปลว่า ไม่ "
"ตามปกติผู้บริหารคนอื่นๆ เวลาบอกว่า "ไม่" นั่นหมายถึง เราจะนัดเจอกันอีก 20 ครั้ง จนกว่าจะได้ราคาที่พอใจ แต่กับ มาริน่า ถ้าเธอบอกว่านี่คือข้อเสนอครั้งสุดท้าย เธอจะหมายความตามนั้น คุณจะไม่ได้ยินเสียงเธออีกเลย"
หลังจากรอน เกอร์เล่ย์ ซีอีโอคนเดิมลงจากตำแหน่ง ในตอนนี้ มาริน่า ถูกแต่งตั้งเป็นบอร์ดบริหาร ควบกับผู้อำนวยการสโมสร เธอเป็นคนที่อบราโมวิช ไว้ใจมากที่สุด อำนาจของเธอเหนือกว่าบรูซ บัค ประธานสโมสรตัวจริงด้วยซ้ำ
หากเทียบกับแมนฯยูไนเต็ด บรูซ บัค ก็เหมือนกับ พี่น้องตระกูลเกลเซอร์ คือเป็นประธานสโมสรก็จริง แต่เหมือนจะตั้งเอาไว้บนหิ้ง
บทบาทของมาริน่า ก็เหมือนกับเอ็ด วู้ดเวิร์ด ที่เป็นคนจัดการทุกอย่างด้วยมือตัวเอง
การเจรจาครั้งสำคัญที่ทำให้เธอได้รับเครดิตอย่างมาก คือการต่อสัญญากับจอห์น เทอร์รี่ ในปี 2014 โดยตอนนั้นเขากำลังจะหมดสัญญากับสโมสร
เจที เรียกร้อง ต่อสัญญาระยะยาว แต่เชลซีไม่สามารถให้ได้ และยื่นแค่ 1 ปีเท่านั้น
การเจรจายืดเยื้อมาสักระยะ ในที่สุด มาริน่า ทุบโต๊ะ และประกาศตรงนั้นว่า "take it or ing leave it" หรือแปลเป็นไทยว่า จะเอาก็เอา ไม่เอาก็ไสหัวไปซะ! ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าพูดกับตำนานของสโมสรแบบนี้ แต่มาริน่ากล้า และสุดท้าย เทอร์รี่ก็ยอมเซ็น
จึงไม่แปลก ที่เอเยนต์นักเตะ ผู้บริหารของทีมอื่นๆ รวมถึงสื่อมวลชน จะยอมรับว่าทักษะเรื่องการเจรจาของเธอไม่เป็นรองใคร
และในโลกของการทำงาน จะเป็นเพศอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าคุณทำผลงานได้ดี คุณก็จะได้รับการยอมรับ มันก็แค่นั้น
อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปเชื่อว่า มาริน่า จะเจอกับความท้าทายที่มากขึ้น
ไมเคิล เอมาเนโล่ มือขวาที่ร่วมทีมกันมาตลอด อำลาตำแหน่งไปรับงานที่โมนาโก เท่ากับว่าเธอจะไม่มีแบ็กอัพที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง
นอกจากนั้น ตลาดซื้อขายในปัจจุบัน ก็เข้มข้นกว่าเดิม ทีมเงินหนาๆอย่าง ซิตี้ ,ยูไนเต็ด หรือ เปแอสเช พร้อมทุ่มเงินตัดหน้าเชลซี ในยุคนี้ไม่มีใครเกรงกลัวอำนาจเงินเสี่ยหมีกันแล้ว
แต่แม้จะมีปัญหาเข้ามารอบด้าน ก็เชื่อได้เลยว่าผู้หญิงแกร่งอย่างมาริน่าไม่มีกลัวอยู่แล้ว
มันไม่สำคัญว่าคุณจะเริ่มต้นอย่างไร
ทุกอาชีพ ย่อมมีเส้นทางไปสู่จุดสูงสุดได้ ขอแค่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และรอคอยโอกาสอย่างอดทน
มาริน่า เป็นผู้หญิง ที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องฟุตบอลมาก่อน แถมยังโดนจับไปทำงานในด้านที่ไม่เกี่ยวกันเลย แต่เธอก็ยังไต่เต้าขึ้นมา จนอยู่แถวหน้าของวงการ และได้รับการยอมรับจากทุกคน
เธอสร้างคอนเน็คชั่น รอจังหวะที่เหมาะสม และเมื่อโอกาสเข้ามา เธอไม่ปล่อยให้มันหลุดไป
บทสรุปของเรื่องนี้ อยากให้รู้ว่า แม้วันนี้ จะดูยังไม่เห็นทาง แต่ขอให้มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ โอกาสย่อมมาถึงไม่ช้าก็เร็ว
และถ้าเราเป็นเพชรแท้ เชื่อเถอะ อยู่ที่ไหนก็ย่อมส่องประกาย