เที่ยวโอซาก้าช่วงปีใหม่เป็นยังไง? คนเยอะมั้ย? เที่ยวไหนดี? อยากเล่นสกี แถวโอซาก้ามีมั้ย? กินเนื้อย่างร้านไหนเด็ด? ซูชิหน้าล้นมีรึเปล่า? นี่เป็นคำถามส่วนนึงที่อุ้มหาก่อนไป ...
แต่สิ่งที่อุ้มได้กลับมาจากโอซาก้าในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การไปเที่ยวปีใหม่เท่านั้น ยังได้รับความรู้สึกดีๆจากคนโอซาก้า รวมทั้งอาหารอร่อยๆ ที่ทานวันละ 4 มื้อ ไม่แคร์น้ำหนัก 555 และการเที่ยวแบบไม่ใช้สัก Pass จะเป็นยังไง ไปอ่านกันได้เลยค่ะ
#Gear: LEICA T + Leica Summicron-T 23mm f/2 (+ voigtlander 40mm 1.4 บางรูป)
Day 1 [27.12.17]
จริงๆเราจอง Air Asia X ไว้นานมากแล้ว ก่อนที่จะรู้ตัวว่าต้องไปทำงานที่ Kyoto เดือนก่อนหน้านี้ ทริปนี้เลยใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเตรียมขายของช่วงเซล และปั่นรีวิวให้เสร็จทันเวลา ทริปนี้เลยเป็นงานหยาบ ถึงไหนถึงกัน
เราออกเดินทางจากบ้านไปสนามบินไม่นานนัก รถไม่ติดเท่าที่คาดไว้ หลังจากทำการเชคอินและฝากกระเป๋า เพียง 5 ชม.นิดๆ เราก็เดินทางถึงโอซาก้า และแน่นอนว่า เราค้นหาเส้นทางเข้าเมือง ก่อนเครื่องบินออก แค่ 15 นาทีเท่านั้น
เมื่อถึงสนามบินคันไซ สามารถผ่าน ตม.ได้อย่างรวดเร็วจนตกใจหนักมาก แต่ต้องมาสะดุดที่การตรวจสิ่งของ คนก่อนหน้าเรานานมาก และเราสองคนก็โดนเปิดกระเป๋าทั้งสองใบ ...
ตรวจเสร็จก็วิ่งลูกเดียว ออกจากทางออก เลี้ยวขวา ขึ้นบันไดเลื่อน แล้วเลี้ยวซ้าย วิ่งตรงมาจะเห็น Counter Nankai ซ้ายมือ ให้เดินไปซื้อได้เลย เราเลือกแบบ Limited Express rapi:t เข้าเมือง เพราะหิวมากก ซื้อเสร็จเหลือเวลา 3 นาที วิ่งมาฝั่งตรงข้าม ลงบันไดเลื่อน และขึ้นรถไฟชานชาลาซ้ายมือ
สำหรับ Limited Express rapi:t จะมีขบวนและที่นั่งระบุไว้ชัดเจน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็จะถึง Tengachaya เพื่อต่อ Subway ไปลง Nippombashi เข้าโรงแรมนั้นเอง
เดินออกจากสถานี Nankai Tengachaya เดินลงบันไดเลื่อนมานิดเดียว ก็กดตั๋วไป Nippombashi ต่อได้ หลักการง่ายๆของการซื้อตั๋วคือ ดูราคา แล้วกดเอา จะเช็คจาก Hyperdia หรือแอพ Rail Map ก็ได้เช่นกัน
ใครที่นอน Hotel Sunroute Osaka Namba [ซึ่งจริงๆ แนะนำมาก !!! ] ให้ขึ้นลิฟที่ทางออก 5 อย่าไปขึ้นบันไดที่ทางออก 2 เพราะมันสูงมาก ออกทางออก 5 ข้ามฝั่งมา และข้ามฝั่งอีกทีนึง เดินถึงโรงแรมได้เลย
ที่แนะนำโรงแรมนี้ เพราะอยู่ใกล้ทั้ง Dotonburi และ Kuromon Market เดินแบบใกล้มากๆ เราเลือกนอนห้อง Economy เตียงเดียว ไม่เล็กเท่าที่คิด และห้องน้ำยังกางแขนสุด 6 คืนช่วงปีใหม่ 21,000 บาท สำหรับเราคือ ราคาดีมากกก
หิวจะไม่ไหวละ เดินเข้าถนน Dotonburi ตอนเที่ยงคืน จัดราเมงมังกรที่มีหลายสาขา และต่อด้วย Isomaru ร้านโปรด ก่อนวันอื่นๆ จะไม่สามารถต่อคิวกินได้ โชคดีที่ 27 ธ.ค. ยังเป็นวันของเรา
Day 2 [28.12.17]
ตื่นเช้ามา สดใสกว่าเมื่อวาน สิ่งที่สมองคิดตลอดทริปนี้อีกอย่างคือ หาของแต่ง Leica 555 ทำให้ได้รู้ว่า ร้านขายกล้องมือสองและอุปกรณ์ Leica เช่นสาย Artisan ที่เมืองไทยเหยียบหมื่น แต่ซื้อที่ญี่ปุ่นราคาต่างกันกว่าครึ่ง
วันนี้เราจะไปตลาด Kuromon ในย่าน Nippombashi นี่ละ พิกัด
https://goo.gl/maps/Wk8yG4kEnW82 วิธีการจากโรงแรม คือเดินไป 450 เมตร แต่ถ้าใครมา Subway ก็ออกสถานี Nippombashi ทางออก 10 ได้เลย (มีลิฟท์) เดินออกมา ไม่ถึง 150 เมตร ตลาดอยู่ทางซ้ายมือ ยิ่งใหญ่อลังการ
ฝั่งตรงข้ามมีร้านกล้อง ชื่อ Tokiwa Camera พิกัด
https://goo.gl/maps/1LgvJgfp6CR2 ใครอยากได้เลนส์หรือกล้องมือสอง ไปแวะก่อนหาอะไรกินได้เลย สาย Artisan เหลือ 3600 บ. ทำ Tax Refund ได้ คือดีงามมาก อ้ะๆ เลิกนอกเรื่อง กลับไปตลาดก่อน
จริงๆ เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับตลาดมาก แต่มันค่อนข้างยาวกว่าที่คิด และมีร้านรวงขายทั้งปลาดิบ เนื้อย่าง ปลาหมึก Uni หอย และอื่นๆอีกมากมาย หูยยยยยย ไปเถอะไป เราเดินไปจนสุดตลาด และวกกลับมากินข้าวหน้าหอยเม่น + ไข่ปลาแซลมอนในราคาไม่ถึง สามร้อย !!! โอ่ยยย อยู่ไทยคำเดียวก็สองร้อยแล้วจ้า ร้านนี้อยู่ตรงทางเข้าตลาดซอยแรกเลย อยู่ทางซ้ายมือ ส่วนร้านขายเนื้อที่มีชื่อคนไทยคอนเฟิร์มความอร่อยอยู่ อุ้มว่าไม่ค่อยอร่อย ไม่ต้องกินหรอก 55555
--- สตรอเบอรี่ก็เริ่ดนะ ---
อิ่มท้องเสร็จ เราก็พร้อมออกเดินทาง โดยวันนี้เราจะไปกันที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง อยู่ที่สถานี Osakako ออกทางออก 1 นะคะ สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคือ เดินไกล!!! ใครเอาลูกเด็กเล็กแดงไป จะได้รู้ไว้ 555 อากาศเย็นสบาย เดินชิวๆ ไปจนสุดถนน จะเจอชิงช้าสวรรค์ริมน้ำ แปลว่าเรามาถึงแล้ว ใครยังไม่มีตั๋วเดินเลาะไปทางซ้ายๆ จะเจอที่ขายตั๋ว ถ้ามีบัตร Osaka Amazing Pass ก็จะได้ลด 100 เยน
ข้างในเค้าห้ามถ่ายวิดีโอ ส่วนเราผู้ไม่ค่อยชอบปลาแต่ชอบมาเดินอควาเรียม ก็ไม่มีรูปถ่ายปลาใดๆเลย เอาเป็นว่า เป็นอีกที่ที่ควรไปอย่างยิ่ง เพราะมันใหญ่โตมาก เผื่อเวลาไว้สัก 3 ชม. ถ้าใครชอบนะ ส่วนอุ้มชอบแก๊งค์แมวน้ำมาก ซนสุดๆ ว่ายไปว่ายมา สิ่งที่ชอบที่สุดคือ สุขภาพของสัตว์น้ำทุกตัว สัมผัสได้เลยว่า เค้าดูแลดีมากๆ
เสร็จเรียบร้อย เราก็กลับเข้าเมืองเหมือนเดิม ได้แวะไปซื้อเคส LEICA T กับ Strap Lug บนห้าง Dimaru เอาจริง หามาหลายที่มาก สุดท้ายมาจบที่ Shop ที่ห้างนี้ทำ Tax Refund ได้นะคะ ใครอยากมาช้อป ห้างนี้ก็มีหลายแบรนด์เลย
มื้อเย็นวันนี้เป็นเนื้อย่างค่ะ คือเราหาในเน็ตเจอกระทู้พันทิป เลยให้โรงแรมโทรไปจองให้ ได้คิวตอนหกโมงพอดี ชื่อร้าน Riki Maru เบอร์โทร 06-6211-7719 พิกัด
https://goo.gl/maps/X3RAZ7KbN1P2 เราเดินไปจากโรงแรม 800 เมตรเช่นเดิม แต่ถ้าให้ง่าย ก็เดินไปจากสถานี Shinsaibashi ตามหมุดด้านบน ปักเป๊ะมาก ขึ้นตึก IS ไปชั้น 4 นะคะ
เราสั่งเนื้อมาหลายแบบ ลิ้นแข็งไปหน่อย ส่วนเนื้อลองสั่งแบบ 4 อย่างที่อยู่หน้า Highlight น่าจะเบอร์ 18 นะ มาลองดูก็ได้ ส่วนตัว เราชอบเนื้อซี่โครง และมี Tako Wasabi ของโปรด ที่เหลือก็ยังไม่ค่อยกรี๊ดเท่าไหร่ แต่เมนูเยอะดี และมีอาหารหลากหลาย มีหมู มีไก่ และอื่นๆ
จริงๆ เราควรจะจบแล้ว เพราะพรุ่งนี้ออกเดินทางเช้า แต่ไม่เข้มข้นเราไม่นอน ยังคงเดินเท้ากลับมาย่าน Dotonburi กินร้านแพนเค้กริมน้ำ ไม่อร่อยไม่แนะนำ 555 และเห็นเค้าต่อคิวทาโกยากิที่มีรูปปลาหมึกยักษ์ที่อยู่ตรงสะพาน ก็ไปใช้เวลาต่ออีกครึ่ง ชม. ได้กินสมใจ ความอร่อยถือว่าพอไหว ลองดูๆ
ก่อนนอน แวะไปเดินดองกี้สาขาติดคลองสักนิด ค น มั น จ ะ เ ย อ ะ อ ะ ไ ร แ บ บ นี้ สาขานี้มีบันไดเลื่อนอยู่ด้านหลังนะคะ ชอบหลอกให้เดินขึ้นบันไดเรื่อยเลย 555
Day 3 [29.12.17]
ใช่แล้วค่ะทุกคน เราจอง One Day Trip ไปเล่นสกีจากเมืองไทย เนื่องจากเราไปช่วงหิมะตก แต่โอซาก้าไม่มีหิมะ เลยต้องออกไปเล่นที่ Biwako เตรียมตัวเตรียมใจอย่างดี เดี๋ยวไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น
เรามีนัดกับทัวร์ ที่ JR Namba เวลา 8 โมงเช้า เลยต้องตื่นเช้ามากๆ และไปนั่งใต้ดินไปขึ้นที่สถานี Osaka Namba ก่อนจะเดินต่อไปถึงถึงตึกตรง JR Namba คนเพียบเลย หลายคนมาพร้อมสกี และ Snowboard ส่วนตัวพี่ เล่นไม่เป็น 555 ถอยถุงมือใหม่จากดองกี้มาป้องกันตัว ขึ้นรถเสร็จ หลับยาว 2 ชม. ถึง Biwako Valley
ก่อนลงรถ เค้าจะแจกคูปองส่วนลดอุปกรณ์และน้ำดื่ม และบัตรขึ้นลงกระเช้า 1 วัน สิ่งที่ควรทำคือ รี บ ไ ป ยื ม ชุ ด วันที่เราไปกัน แถวก็ยาวออกมาจนล้นอยู่ค่ะ เราเริ่มต่อคิว 10.30 เดินออกมาจากที่ยืมชุดเกือบเที่ยง ปัญหาคือ
เค้าจะให้เราติ๊กเลือกว่าจะยืมอะไรบ้าง เราสามารถมาแต่ตัวได้เลย เพราะมีหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า ยกเว้น ถุงมือ และ หมวก ที่ต้องเตรียมมาเอง เอามานะคะ ห้ามลืม ... ติ๊กเสร็จก็เดินไปจ่ายเงิน จ่ายแล้วก็ไปหยิบชุด หยิบสีที่มันจี๊ดๆ หน่อย จะได้หากันเจอ 555 ใส่ชุดเสร็จ ไปเอารองเท้า อิรองเท้านี่ตัวดีมาก วัดได้เท่าไหร่ ให้บวกไป 1 เลยนะคะ
เวลาใส่ให้ดึงกางเกงขายาวขึ้นมาให้พ้นก่อน ไม่งั้นมันจะโคตรเจ็บ แล้วก็คลายทุกอย่างออกเลย ค่อยยัดเท้าเข้าไป พร้อมดึงตัวดึงที่รองเท้าไปด้วย จะทำให้ใส่ง่ายขึ้น ก่อนจะมาเล่าให้ทุกคนฟังแบบนี้ พี่เจ็บมาก่อน! ยืมรองเท้าเสร็จ ก็ไปเอาสกี หรือ Snowboard (((เอาสกีเถอะค่ะ มือใหม่ ถือว่าพี่ขอ))) เสร็จก็ค่อยๆเดินไปขึ้นกระเช้ากัน เดินยาก ค่อยๆนะ
พอออกจากกระเช้า ความจริงก็ปรากฏ ลมหนาวพัดมาพร้อมหิมะอย่างแรง ให้เราไปเลือก Pole ของเรามา เค้าจะเขียนจากความสูง เลือกมาปุ๊ป ให้เดินตรงไปที่เค้าเขียนว่า School นะคะ ถ้ายังว่างอยู่ให้เลือกเรียนแบบตัวตัว เพราะจะใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นกลุ่มจะใช้ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งแบบตัวตัวเต็ม และแบบกลุ่ม เค้าไม่ให้เราเรียน จ๋อย ---
มาถึงนี่แล้ว ให้เค้าสอนใส่อย่างเดียวแล้วกัน เดี๋ยวไปตายเอาดาบหน้า วิธีใส่ก็ไม่ยากค่ะ เอารองเท้าดันกับด้านหน้า แล้วกดลงไปที่สกีจนมันดังก็อก ถือเป็นอันเรียบร้อย เราก็เดินขึ้นบันไดขึ้นไปอย่างยากลำบาก เดินเผชิญหน้าสู่ความจริง --- หิมะ
หิมะมันลื่น เรารู้ เราเคยอยู่อังกฤษตอนหิมะหนาๆ ลื่นล้มมาด้วย แต่นี่ไอ้รองเท้าเวร กว่าจะเดินขึ้นเนินได้ เดินอย่างเดียวไม่พอ ต้องแบกสกีไปด้วย ทุลักทุเลจนขึ้นมาได้ เจอลานเล็กๆ ลุยเลย ใส่อย่างเซียน เรียนมาเมื่อกี้ ค่อยๆใช้ Pole ลากตัวเองไปข้างหน้า เฮ้ย ไม่ยากนี่หว่า ลองปีนไปเนินเตี้ยๆ แล้วปล่อยตัวลงมา เอ้าง่าย สบายละ
ขณะนั้น ลมหิมะก็ตีใส่หน้า ไอ้เราใส่แว่น มองก็ไม่เห็น แต่เห็นเนิน Beginner เค้าเล่นกัน น่าจะไม่ยากมาก ตัดสินใจ ไหนๆก็มาแล้ว ลุยเลยยยยยยย ... เฮ้ย เบรกไงวะ!!! ลงไปได้หน่อยนึง ตัดสินใจล้มตัวลงก่อนจะเร็วกว่านี้ ... ทีนี้ละวิบากกรรม ถอดไม่ออกเว้ย รองเท้า จริงๆ การถอดคือกดด้านหลังรองเท้า แต่เราอยู่ในสภาพนั่งพับเพียบ กดออกแค่ข้างซ้ายข้างเดียว มองไปมองมา ไม่มีใครมาช่วยแน่เลย ค่อยๆ กระดึ๊บ มาอยู่ริมขอบๆ ตัดสินใจลุกขึ้นมา และใส่ไปใหม่ เราต้องทำได้
... พรึ่บบบ ป่อกกก ...
ล่วงอีกละ จบชีวิต ไม่ลงดีกว่า ขณะนั้นก็เห็นพี่บีมไหลลงไปเรื่อยๆ จนลับตา ส่วนเรา นั่งลมหิมะตีอยู่ลำพังกลางลานแบบโดดเดี่ยว ... ใครก็ได้ช่วยดึงตูขึ้นไปทีเถอะ ... ใช้แรงเฮือกสุดท้าย แกะรองเท้าสองข้างออกจากสกีจนได้ หันหลังกลับ หอบสกีเดินขึ้นมาบนเนินจนสุดท้ายรอด โอเค หลงกับพี่บีมเรียบร้อย
นางลงไป 3 กม. จ้า ท่ามกลางลมพายหิมะ อย่างเล่นไม่เป็น นั่งรอสักพัก นางก็ขึ้นมาด้วยกระเช้า สภาพคือหิมะเกาะผมหมด นาทีนั้นคุยกันว่า คุ้มละ ไปเล่นถาดกันเถอะ
หลังจากนั้นก็ไปกินข้าว อาหารถือว่าใช้ได้ และไปเล่นถาดแย่งเด็กๆ จบด้วยการปั้น snow man ขึ้นรถกลับ 5 โมงเย็น หลับปุ๋ยกลับมาโอซาก้า แค่นึกยังเหนื่อยเลย รอดมาได้ไงเนี่ย 555
[CR] -=-=- เที่ยว OSAKA ปีใหม่ -=-=- โอซาก้าเที่ยวง่าย ไม่ต้องใช้พาส [พาเข้าเมือง|เล่นสกี|USJ|กินเนื้อย่าง|ซูชิหน้าล้น]
เที่ยวโอซาก้าช่วงปีใหม่เป็นยังไง? คนเยอะมั้ย? เที่ยวไหนดี? อยากเล่นสกี แถวโอซาก้ามีมั้ย? กินเนื้อย่างร้านไหนเด็ด? ซูชิหน้าล้นมีรึเปล่า? นี่เป็นคำถามส่วนนึงที่อุ้มหาก่อนไป ...
แต่สิ่งที่อุ้มได้กลับมาจากโอซาก้าในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การไปเที่ยวปีใหม่เท่านั้น ยังได้รับความรู้สึกดีๆจากคนโอซาก้า รวมทั้งอาหารอร่อยๆ ที่ทานวันละ 4 มื้อ ไม่แคร์น้ำหนัก 555 และการเที่ยวแบบไม่ใช้สัก Pass จะเป็นยังไง ไปอ่านกันได้เลยค่ะ
#Gear: LEICA T + Leica Summicron-T 23mm f/2 (+ voigtlander 40mm 1.4 บางรูป)
Day 1 [27.12.17]
จริงๆเราจอง Air Asia X ไว้นานมากแล้ว ก่อนที่จะรู้ตัวว่าต้องไปทำงานที่ Kyoto เดือนก่อนหน้านี้ ทริปนี้เลยใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเตรียมขายของช่วงเซล และปั่นรีวิวให้เสร็จทันเวลา ทริปนี้เลยเป็นงานหยาบ ถึงไหนถึงกัน
เราออกเดินทางจากบ้านไปสนามบินไม่นานนัก รถไม่ติดเท่าที่คาดไว้ หลังจากทำการเชคอินและฝากกระเป๋า เพียง 5 ชม.นิดๆ เราก็เดินทางถึงโอซาก้า และแน่นอนว่า เราค้นหาเส้นทางเข้าเมือง ก่อนเครื่องบินออก แค่ 15 นาทีเท่านั้น
เมื่อถึงสนามบินคันไซ สามารถผ่าน ตม.ได้อย่างรวดเร็วจนตกใจหนักมาก แต่ต้องมาสะดุดที่การตรวจสิ่งของ คนก่อนหน้าเรานานมาก และเราสองคนก็โดนเปิดกระเป๋าทั้งสองใบ ...
ตรวจเสร็จก็วิ่งลูกเดียว ออกจากทางออก เลี้ยวขวา ขึ้นบันไดเลื่อน แล้วเลี้ยวซ้าย วิ่งตรงมาจะเห็น Counter Nankai ซ้ายมือ ให้เดินไปซื้อได้เลย เราเลือกแบบ Limited Express rapi:t เข้าเมือง เพราะหิวมากก ซื้อเสร็จเหลือเวลา 3 นาที วิ่งมาฝั่งตรงข้าม ลงบันไดเลื่อน และขึ้นรถไฟชานชาลาซ้ายมือ
สำหรับ Limited Express rapi:t จะมีขบวนและที่นั่งระบุไว้ชัดเจน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็จะถึง Tengachaya เพื่อต่อ Subway ไปลง Nippombashi เข้าโรงแรมนั้นเอง
เดินออกจากสถานี Nankai Tengachaya เดินลงบันไดเลื่อนมานิดเดียว ก็กดตั๋วไป Nippombashi ต่อได้ หลักการง่ายๆของการซื้อตั๋วคือ ดูราคา แล้วกดเอา จะเช็คจาก Hyperdia หรือแอพ Rail Map ก็ได้เช่นกัน
ใครที่นอน Hotel Sunroute Osaka Namba [ซึ่งจริงๆ แนะนำมาก !!! ] ให้ขึ้นลิฟที่ทางออก 5 อย่าไปขึ้นบันไดที่ทางออก 2 เพราะมันสูงมาก ออกทางออก 5 ข้ามฝั่งมา และข้ามฝั่งอีกทีนึง เดินถึงโรงแรมได้เลย
ที่แนะนำโรงแรมนี้ เพราะอยู่ใกล้ทั้ง Dotonburi และ Kuromon Market เดินแบบใกล้มากๆ เราเลือกนอนห้อง Economy เตียงเดียว ไม่เล็กเท่าที่คิด และห้องน้ำยังกางแขนสุด 6 คืนช่วงปีใหม่ 21,000 บาท สำหรับเราคือ ราคาดีมากกก
หิวจะไม่ไหวละ เดินเข้าถนน Dotonburi ตอนเที่ยงคืน จัดราเมงมังกรที่มีหลายสาขา และต่อด้วย Isomaru ร้านโปรด ก่อนวันอื่นๆ จะไม่สามารถต่อคิวกินได้ โชคดีที่ 27 ธ.ค. ยังเป็นวันของเรา
Day 2 [28.12.17]
ตื่นเช้ามา สดใสกว่าเมื่อวาน สิ่งที่สมองคิดตลอดทริปนี้อีกอย่างคือ หาของแต่ง Leica 555 ทำให้ได้รู้ว่า ร้านขายกล้องมือสองและอุปกรณ์ Leica เช่นสาย Artisan ที่เมืองไทยเหยียบหมื่น แต่ซื้อที่ญี่ปุ่นราคาต่างกันกว่าครึ่ง
วันนี้เราจะไปตลาด Kuromon ในย่าน Nippombashi นี่ละ พิกัด https://goo.gl/maps/Wk8yG4kEnW82 วิธีการจากโรงแรม คือเดินไป 450 เมตร แต่ถ้าใครมา Subway ก็ออกสถานี Nippombashi ทางออก 10 ได้เลย (มีลิฟท์) เดินออกมา ไม่ถึง 150 เมตร ตลาดอยู่ทางซ้ายมือ ยิ่งใหญ่อลังการ
ฝั่งตรงข้ามมีร้านกล้อง ชื่อ Tokiwa Camera พิกัด https://goo.gl/maps/1LgvJgfp6CR2 ใครอยากได้เลนส์หรือกล้องมือสอง ไปแวะก่อนหาอะไรกินได้เลย สาย Artisan เหลือ 3600 บ. ทำ Tax Refund ได้ คือดีงามมาก อ้ะๆ เลิกนอกเรื่อง กลับไปตลาดก่อน
จริงๆ เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับตลาดมาก แต่มันค่อนข้างยาวกว่าที่คิด และมีร้านรวงขายทั้งปลาดิบ เนื้อย่าง ปลาหมึก Uni หอย และอื่นๆอีกมากมาย หูยยยยยย ไปเถอะไป เราเดินไปจนสุดตลาด และวกกลับมากินข้าวหน้าหอยเม่น + ไข่ปลาแซลมอนในราคาไม่ถึง สามร้อย !!! โอ่ยยย อยู่ไทยคำเดียวก็สองร้อยแล้วจ้า ร้านนี้อยู่ตรงทางเข้าตลาดซอยแรกเลย อยู่ทางซ้ายมือ ส่วนร้านขายเนื้อที่มีชื่อคนไทยคอนเฟิร์มความอร่อยอยู่ อุ้มว่าไม่ค่อยอร่อย ไม่ต้องกินหรอก 55555
--- สตรอเบอรี่ก็เริ่ดนะ ---
อิ่มท้องเสร็จ เราก็พร้อมออกเดินทาง โดยวันนี้เราจะไปกันที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง อยู่ที่สถานี Osakako ออกทางออก 1 นะคะ สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคือ เดินไกล!!! ใครเอาลูกเด็กเล็กแดงไป จะได้รู้ไว้ 555 อากาศเย็นสบาย เดินชิวๆ ไปจนสุดถนน จะเจอชิงช้าสวรรค์ริมน้ำ แปลว่าเรามาถึงแล้ว ใครยังไม่มีตั๋วเดินเลาะไปทางซ้ายๆ จะเจอที่ขายตั๋ว ถ้ามีบัตร Osaka Amazing Pass ก็จะได้ลด 100 เยน
ข้างในเค้าห้ามถ่ายวิดีโอ ส่วนเราผู้ไม่ค่อยชอบปลาแต่ชอบมาเดินอควาเรียม ก็ไม่มีรูปถ่ายปลาใดๆเลย เอาเป็นว่า เป็นอีกที่ที่ควรไปอย่างยิ่ง เพราะมันใหญ่โตมาก เผื่อเวลาไว้สัก 3 ชม. ถ้าใครชอบนะ ส่วนอุ้มชอบแก๊งค์แมวน้ำมาก ซนสุดๆ ว่ายไปว่ายมา สิ่งที่ชอบที่สุดคือ สุขภาพของสัตว์น้ำทุกตัว สัมผัสได้เลยว่า เค้าดูแลดีมากๆ
เสร็จเรียบร้อย เราก็กลับเข้าเมืองเหมือนเดิม ได้แวะไปซื้อเคส LEICA T กับ Strap Lug บนห้าง Dimaru เอาจริง หามาหลายที่มาก สุดท้ายมาจบที่ Shop ที่ห้างนี้ทำ Tax Refund ได้นะคะ ใครอยากมาช้อป ห้างนี้ก็มีหลายแบรนด์เลย
มื้อเย็นวันนี้เป็นเนื้อย่างค่ะ คือเราหาในเน็ตเจอกระทู้พันทิป เลยให้โรงแรมโทรไปจองให้ ได้คิวตอนหกโมงพอดี ชื่อร้าน Riki Maru เบอร์โทร 06-6211-7719 พิกัด https://goo.gl/maps/X3RAZ7KbN1P2 เราเดินไปจากโรงแรม 800 เมตรเช่นเดิม แต่ถ้าให้ง่าย ก็เดินไปจากสถานี Shinsaibashi ตามหมุดด้านบน ปักเป๊ะมาก ขึ้นตึก IS ไปชั้น 4 นะคะ
เราสั่งเนื้อมาหลายแบบ ลิ้นแข็งไปหน่อย ส่วนเนื้อลองสั่งแบบ 4 อย่างที่อยู่หน้า Highlight น่าจะเบอร์ 18 นะ มาลองดูก็ได้ ส่วนตัว เราชอบเนื้อซี่โครง และมี Tako Wasabi ของโปรด ที่เหลือก็ยังไม่ค่อยกรี๊ดเท่าไหร่ แต่เมนูเยอะดี และมีอาหารหลากหลาย มีหมู มีไก่ และอื่นๆ
จริงๆ เราควรจะจบแล้ว เพราะพรุ่งนี้ออกเดินทางเช้า แต่ไม่เข้มข้นเราไม่นอน ยังคงเดินเท้ากลับมาย่าน Dotonburi กินร้านแพนเค้กริมน้ำ ไม่อร่อยไม่แนะนำ 555 และเห็นเค้าต่อคิวทาโกยากิที่มีรูปปลาหมึกยักษ์ที่อยู่ตรงสะพาน ก็ไปใช้เวลาต่ออีกครึ่ง ชม. ได้กินสมใจ ความอร่อยถือว่าพอไหว ลองดูๆ
ก่อนนอน แวะไปเดินดองกี้สาขาติดคลองสักนิด ค น มั น จ ะ เ ย อ ะ อ ะ ไ ร แ บ บ นี้ สาขานี้มีบันไดเลื่อนอยู่ด้านหลังนะคะ ชอบหลอกให้เดินขึ้นบันไดเรื่อยเลย 555
Day 3 [29.12.17]
ใช่แล้วค่ะทุกคน เราจอง One Day Trip ไปเล่นสกีจากเมืองไทย เนื่องจากเราไปช่วงหิมะตก แต่โอซาก้าไม่มีหิมะ เลยต้องออกไปเล่นที่ Biwako เตรียมตัวเตรียมใจอย่างดี เดี๋ยวไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น
เรามีนัดกับทัวร์ ที่ JR Namba เวลา 8 โมงเช้า เลยต้องตื่นเช้ามากๆ และไปนั่งใต้ดินไปขึ้นที่สถานี Osaka Namba ก่อนจะเดินต่อไปถึงถึงตึกตรง JR Namba คนเพียบเลย หลายคนมาพร้อมสกี และ Snowboard ส่วนตัวพี่ เล่นไม่เป็น 555 ถอยถุงมือใหม่จากดองกี้มาป้องกันตัว ขึ้นรถเสร็จ หลับยาว 2 ชม. ถึง Biwako Valley
ก่อนลงรถ เค้าจะแจกคูปองส่วนลดอุปกรณ์และน้ำดื่ม และบัตรขึ้นลงกระเช้า 1 วัน สิ่งที่ควรทำคือ รี บ ไ ป ยื ม ชุ ด วันที่เราไปกัน แถวก็ยาวออกมาจนล้นอยู่ค่ะ เราเริ่มต่อคิว 10.30 เดินออกมาจากที่ยืมชุดเกือบเที่ยง ปัญหาคือ
เค้าจะให้เราติ๊กเลือกว่าจะยืมอะไรบ้าง เราสามารถมาแต่ตัวได้เลย เพราะมีหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า ยกเว้น ถุงมือ และ หมวก ที่ต้องเตรียมมาเอง เอามานะคะ ห้ามลืม ... ติ๊กเสร็จก็เดินไปจ่ายเงิน จ่ายแล้วก็ไปหยิบชุด หยิบสีที่มันจี๊ดๆ หน่อย จะได้หากันเจอ 555 ใส่ชุดเสร็จ ไปเอารองเท้า อิรองเท้านี่ตัวดีมาก วัดได้เท่าไหร่ ให้บวกไป 1 เลยนะคะ
เวลาใส่ให้ดึงกางเกงขายาวขึ้นมาให้พ้นก่อน ไม่งั้นมันจะโคตรเจ็บ แล้วก็คลายทุกอย่างออกเลย ค่อยยัดเท้าเข้าไป พร้อมดึงตัวดึงที่รองเท้าไปด้วย จะทำให้ใส่ง่ายขึ้น ก่อนจะมาเล่าให้ทุกคนฟังแบบนี้ พี่เจ็บมาก่อน! ยืมรองเท้าเสร็จ ก็ไปเอาสกี หรือ Snowboard (((เอาสกีเถอะค่ะ มือใหม่ ถือว่าพี่ขอ))) เสร็จก็ค่อยๆเดินไปขึ้นกระเช้ากัน เดินยาก ค่อยๆนะ
พอออกจากกระเช้า ความจริงก็ปรากฏ ลมหนาวพัดมาพร้อมหิมะอย่างแรง ให้เราไปเลือก Pole ของเรามา เค้าจะเขียนจากความสูง เลือกมาปุ๊ป ให้เดินตรงไปที่เค้าเขียนว่า School นะคะ ถ้ายังว่างอยู่ให้เลือกเรียนแบบตัวตัว เพราะจะใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นกลุ่มจะใช้ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งแบบตัวตัวเต็ม และแบบกลุ่ม เค้าไม่ให้เราเรียน จ๋อย ---
มาถึงนี่แล้ว ให้เค้าสอนใส่อย่างเดียวแล้วกัน เดี๋ยวไปตายเอาดาบหน้า วิธีใส่ก็ไม่ยากค่ะ เอารองเท้าดันกับด้านหน้า แล้วกดลงไปที่สกีจนมันดังก็อก ถือเป็นอันเรียบร้อย เราก็เดินขึ้นบันไดขึ้นไปอย่างยากลำบาก เดินเผชิญหน้าสู่ความจริง --- หิมะ
หิมะมันลื่น เรารู้ เราเคยอยู่อังกฤษตอนหิมะหนาๆ ลื่นล้มมาด้วย แต่นี่ไอ้รองเท้าเวร กว่าจะเดินขึ้นเนินได้ เดินอย่างเดียวไม่พอ ต้องแบกสกีไปด้วย ทุลักทุเลจนขึ้นมาได้ เจอลานเล็กๆ ลุยเลย ใส่อย่างเซียน เรียนมาเมื่อกี้ ค่อยๆใช้ Pole ลากตัวเองไปข้างหน้า เฮ้ย ไม่ยากนี่หว่า ลองปีนไปเนินเตี้ยๆ แล้วปล่อยตัวลงมา เอ้าง่าย สบายละ
ขณะนั้น ลมหิมะก็ตีใส่หน้า ไอ้เราใส่แว่น มองก็ไม่เห็น แต่เห็นเนิน Beginner เค้าเล่นกัน น่าจะไม่ยากมาก ตัดสินใจ ไหนๆก็มาแล้ว ลุยเลยยยยยยย ... เฮ้ย เบรกไงวะ!!! ลงไปได้หน่อยนึง ตัดสินใจล้มตัวลงก่อนจะเร็วกว่านี้ ... ทีนี้ละวิบากกรรม ถอดไม่ออกเว้ย รองเท้า จริงๆ การถอดคือกดด้านหลังรองเท้า แต่เราอยู่ในสภาพนั่งพับเพียบ กดออกแค่ข้างซ้ายข้างเดียว มองไปมองมา ไม่มีใครมาช่วยแน่เลย ค่อยๆ กระดึ๊บ มาอยู่ริมขอบๆ ตัดสินใจลุกขึ้นมา และใส่ไปใหม่ เราต้องทำได้
... พรึ่บบบ ป่อกกก ...
ล่วงอีกละ จบชีวิต ไม่ลงดีกว่า ขณะนั้นก็เห็นพี่บีมไหลลงไปเรื่อยๆ จนลับตา ส่วนเรา นั่งลมหิมะตีอยู่ลำพังกลางลานแบบโดดเดี่ยว ... ใครก็ได้ช่วยดึงตูขึ้นไปทีเถอะ ... ใช้แรงเฮือกสุดท้าย แกะรองเท้าสองข้างออกจากสกีจนได้ หันหลังกลับ หอบสกีเดินขึ้นมาบนเนินจนสุดท้ายรอด โอเค หลงกับพี่บีมเรียบร้อย
นางลงไป 3 กม. จ้า ท่ามกลางลมพายหิมะ อย่างเล่นไม่เป็น นั่งรอสักพัก นางก็ขึ้นมาด้วยกระเช้า สภาพคือหิมะเกาะผมหมด นาทีนั้นคุยกันว่า คุ้มละ ไปเล่นถาดกันเถอะ
หลังจากนั้นก็ไปกินข้าว อาหารถือว่าใช้ได้ และไปเล่นถาดแย่งเด็กๆ จบด้วยการปั้น snow man ขึ้นรถกลับ 5 โมงเย็น หลับปุ๋ยกลับมาโอซาก้า แค่นึกยังเหนื่อยเลย รอดมาได้ไงเนี่ย 555