ห้องเพลง *คนรากหญ้า* พักยกการเมือง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม.มีแต่เสียง 4/01/2018 "กาเซี่ยง : สันโดษกลางความวุ่นวาย"

กระทู้คำถาม
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนครับ วันนี้ MC มาริโอ้ นำตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของบุคคลผู้แบบอย่างที่ดีแห่งการประพฤติตัวภายในองค์กร การวางตัวและการรู้จักหน้าที่ของตนในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญ มาฝากเพื่อนๆกันในวันนี้

กาเซี่ยง (Jia Xu, 賈詡)


กาเซี่ยง (Jia Xu, 賈詡) แต่เดิมอยู่รับใช้ลิฉุย กุยกี (ลูกน้องเก่าตั๋งโต๊ะ ภายหลังตั๋งโต๊ะสิ้นอำนาจ ทั้งสองก็แยกย้ายมาครองดินแดนของตนเอง) แต่กาเซี่ยงได้กล่าวทัดทานลิฉุย กุยกีมิให้ยกทัพปราบโจโฉ เพราะเสียเปรียบอยู่ แต่ทั้งสองกลับไม่เชื่อฟัง ทำให้กาเซี่ยงตัดสินใจไปอยู่กับเตียวสิ้วและเป็นคนวางแผนใเห้เตียวสิ้วกำราบโจโฉลงได้ ทำให้โจโฉเกือบเอาชีวิตไม่รอดและเสียทั้งขุนพลเอกเตียนอุย รวมถึงลูกชายคนโตโจงั่ง ซึ่งถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของโจโฉจากการลุ่มหลงนางงาม และโจโฉก็จดจำเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสอนใจไปตลอดชีวิต หลังจากโจโฉยึดอำนาจทางการทหารจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้ทั้งหมดและตัดสินใจเปิดศึกกัวต๋อกับอ้วนเสี้ยวที่มีกำลังถึงเจ็ดสิบหมื่น (ตอนนั้นโจโฉมีกำลังเพียงเจ็ดหมื่น) เตียวสิ้วซึ่งกำลังจะตัดสินใจเข้าร่วมกับอ้วนเสี้ยว เพราะเห็นว่าอ้วนเสี้ยวกำลังเหนือกว่า แต่กาเซี่ยงกลับทัดทานให้เตียวสิ้วไปเข้าร่วมกับโจโฉ โดยให้เหตุผลว่าอ้วนเสี้ยวมีกำลังมหึมา หากชนะโจโฉได้เตียวสิ้วก็จะหมดความหมายทันที แต่ถ้าหากสวามิภักดิ์โจโฉ โจโฉย่อมเห็นความสำคัญของเตียวสิ้วมากกว่า และก็เป็นไปตามที่กาเซี่ยงคาด เมื่อเตียวสิ้วเข้าสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ โจโฉได้เลี้ยงต้อนรับเป็นการใหญ่ และยอมลืมเรื่องความแค้นในอดีตที่เตียวสิ้วและกาเซี่ยงมีส่วนทำให้โจโฉสูญเสียทั้งเตียนอุยและโจงั่ง
.
     หลังจากที่โจโฉเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้สำเร็จ กาเซี่ยงก็ได้รับความไว้วางใจให้อยู่รับใช้โจโฉ แต่เหล่าบรรดาขุนพลของโจโฉหลายคนก็ยังคงเคียดแค้นกาเซี่ยงอยู่จากเหตุการณ์ที่เสียเตียนอุยและโจงั่ง แต่กาเซี่ยงก็ปฏิบัติตนและเอาตัวรอดจากความเคียดแค้นได้ด้วย "การรู้จักวางตนและการรู้จักสันโดษ" โดยวิธีทางการทำงานของกาเซี่ยงกับโจโฉนั้นจะเป็นแบบถ้านายไม่ถามก็จะไม่ออกความเห็นมากมาย ยกเว้นแต่เป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ อย่างเช่นตอนที่โจโฉกำลังจะกรีฑาทัพนับร้อยหมื่นลงปราบง่อก๊กในศึกเซ็กเพ็ก กาเซี่ยงก็ได้กล่าวทัดทานมิให้ออกรบ แต่โจโฉกลับไม่ฟังจึงเป็นเหตุให้ทัพเรือของโจโฉแตกกระจัดกระจาย หนีหัวซุกหัวซุนกลับฮูโต๋ จากการร่วมมือของพันธมิตร "ซุน-เล่า" จากนั้นมาโจโฉก็มักจะเชื่อฟังคำแนะนำของกาเซี่ยงมาโดยตลอด

     เหตุการณ์สำคัญที่เป็นที่จดจำของกาเซี่ยงคือการให้คำแนะนำโจโฉในการเลือกรัชทายาท โดยโจโฉตอนนั้นมีลูกชายสองคน คนโตโจผีและคนรองโจสิด โจโฉรักโจสิดมาก เพราะมีความสามารถในเชิงกาพย์กลอนและแต่งกลอนที่ประทับใจให้โจโฉได้อ่านหลายครั้ง ทำให้โจผีต้องเข้าปรึกษากาเซี่ยง ซึ่งกาเซี่ยงก็ให้คำแนะนำกับโจผีว่าไม่ควรไปแข่งเรื่องการแต่งกาพย์กลอนกับโจสิด แต่ให้ใช้ "ใจ" เข้าเอาชนะ โดยให้แสดงออกถึงความจริงใจกับโจโฉ เช่นเมื่อโจโฉจะไปออกศึกก็ร้องไห้รักโจโฉ ทำให้โจโฉตื้นตันใจอย่างนึกไม่ถึง ซึ่งสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจเลือกทายาทได้ปรึกษาและถามกับกาเซี่ยง ซึ่งกาเซี่ยงก็ได้ตอบเป็นทำนองเปรียบเปรยว่า "ทั้งอ้วนเสี้ยวและเล่าเปียวต่างเลือกลูกคนรองเป็นรัชทายาท ทำให้เกิดศึกสายเลือด จนเป็นเหตุให้ตระกูลทั้งสองล่มสลายในที่สุด" ทำให้โจโฉตัดสินใจตั้งโจผีลูกตนโตเป็นรัชทายาทในที่สุด

โจโฉปรึกษากาเซี่ยงเรื่องรัชทายาท กาเซี่ยงช่วยโจผีชิงตำแหน่งรัชทายาท
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ตลอดชีวิตของกาเซี่ยงยึดถือการวางตนสันโดษ ไม่แสดงตัวโดดเด่นจนเป็นที่น่าหมั่นใส้ และเป็นที่ปรึกษาที่ดี ช่วยเหลือเจ้านายอย่างเต็มที่ หากไม่เห็นด้วยการกล่าวทัดทานของกาเซี่ยงจะกล่าวเพียง "ครั้งเดียว" การตัดสินใจจะเป็นอย่างไรอยู่ที่เจ้านาย รวมถึงการไม่กล่าวเกินจริงจนเหนือความเป็นไปได้ อีกทั้งกาเซี่ยงยังคงสอนให้ลูกหลานของตนประพฤติตนอย่างสมถะและสันโดษ ซึ่งหากประพฤติตัวจะแจ้งเกินไปจะทำให้ภัยมาถึงตัว กาเซี่ยงเสียชีวิตลงด้วยโรคชราในวัย 77 ปี จากนั้นพระเจ้าโจผีได้แต่งตั้งให้เป็น "เจ้าพระยาสมถะ" เพื่อระลึกถึงคุณงามความดี


     การทำงานในปัจจุบันนั้น กาเซี่ยงเป็นแบบอย่างที่ดีแห่งการประพฤติตัวภายในองค์กร การวางตัวและการรู้จักหน้าที่ของตนในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญ อีกทั้งการไม่อวดรู้จนมากเกินไปก็เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ที่กล่าวเช่นนี้มิใช่ต้องการให้เก็บทุกความคิดเห็นไว้ไม่ต้องแสดงออก หากแต่จะต้องรู้จักกาลเทศะในการแสดงออก และกล่าวโดยอ้างบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง มิฉะนั้นความน่าเชื่อถือของเราจะหมดลงและเป็นผลเสียต่อตัวเราเองทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้เรามีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยกับเรื่องบางเรื่อง การกล่าวทัดทานก็เป็นเรื่องจำเป็น หากรู้จักอ้างอิงบนหลักเหตุผล แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่าใครเป็นผู้มีอำนาจรับผิดชอบและตัดสินใจ มิใช่ทัดทานแบบหัวชนฝาทั้งที่เราไม่ได้ตัดสินใจเอง ซึ่งจะทำให้เราดูไม่ดีและเหมือนกับเราไม่ได้ให้เกียรติผู้มีอำนาจตัดสินใจ เป็นผลให้เกิดความขัดแย้งภายในองค์กรตามมาในที่สุดการประพฤติตัวแบบกาเซี่ยงนั้นยังรวมถึงรู้จักประพฤติตนสมถะและรู้จักพอประมาณ มิใช่มุ่งแต่จะกอบโกยผลประโยชน์จากองค์กรเข้าสู่ตนเอง เพราะถ้าหากองค์กรอยู่ไม่ได้ เราก็จะอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน เชื่อว่าปัจจุบันนั้นหลายองค์กรก็กำลังตามหาบุคลากรที่มีความสามารถ สุขุมลุ่มลึก รู้จักวางตน และสมถะดังเช่นกาเซี่ยงอยู่เช่นกัน.


ขอขอบคุณ วิถีสามก๊กแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน , Mr.SIWARIT TIASUWATTISETH
, http://samkokforsalaryman.blogspot.com/2015/01/11.html







ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น....


เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม - บิลลี่ โอแกน 【OFFICIAL MV】

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
ขอบคุณ MC พี่โอ้ค่ะ สำหรับเรื่องราวดีๆ ที่นำมาเล่าให้ฟัง ได้ข้อคิดมากๆ ชอบตรงนี้

การทำงานในปัจจุบันนั้น กาเซี่ยงเป็นแบบอย่างที่ดีแห่งการประพฤติตัวภายในองค์กร การวางตัวและการรู้จักหน้าที่ของตนในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญ อีกทั้งการไม่อวดรู้จนมากเกินไปก็เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ที่กล่าวเช่นนี้มิใช่ต้องการให้เก็บทุกความคิดเห็นไว้ไม่ต้องแสดงออก หากแต่จะต้องรู้จักกาลเทศะในการแสดงออก และกล่าวโดยอ้างบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง มิฉะนั้นความน่าเชื่อถือของเราจะหมดลงและเป็นผลเสียต่อตัวเราเองทั้งสิ้น

ขอนำเรื่องเกี่ยวกับการทำงานมาแจมบ้าง เคยเขียนไว้ในห้องเพลง https://ppantip.com/topic/36893531



วิเศษสร้างทำ
ฐกรรมเราละ
ต คือจรรยา
กรกล้าคือชน


บทกลอนข้างต้นคือ "หัวใจวิศวกร" ที่ MC ฮารุ บังเอิญได้อ่านเจอจากสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ที่หน้าต่างกระจกของสถานที่แห่งหนึ่ง ตอนเห็นครั้งแรก อ่านแล้วประทับใจมาก แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรในมือคอยจด ก็กลัวจะลืม จึงอ่านซ้ำและได้ท่องไว้ และจำขึ้นใจมาจนทุกวันนี้

ในตอนนั้น ยังไม่รู้ความหมายของคำว่า ศฐกรรม และ วต ด้วยซ้ำ ต่อมาจึงรู้ความหมาย

ศฐกรรม หมายถึง การกระทำที่เป็นการหลอกลวง โอ้อวด โกง และสิ่งชั่วร้าย
วต (วะตะ) หมายถึง ความประพฤติ
จรรยา หมายถึง ความประพฤติที่ดี
กร หมายถึง ผู้ก่อ ผู้ริเริ่ม ผู้ทำ

รวมความแล้ว "หัวใจวิศวกร" ก็คือ จงสร้างสรรค์สิ่งดี ละเว้นสิ่งชั่วร้าย มีความประพฤติที่ดีงาม มีความกล้าหาญ
ซึ่ง MC ฮารุคิดว่า ไม่ใช่แค่วิศวกรที่ต้องยึดสิ่งนี้ แต่เป็นเหมือนกันในทุกสาขาอาชีพ

เกี่ยวกับเรื่องอาชีพ มีคำสำคัญที่น่าสนใจดังนี้ค่ะ "อาชีพ"  "วิชาชีพ" และ "จรรยาบรรณ" ในวิชาชีพ

อาชีพ เป็นงานที่แต่ละคนทำตามความชอบหรือความถนัด การที่บุคคลประกอบอาชีพจะได้มาซึ่งค่าตอบแทน หรือ รายได้


วิชาชีพ  คือ วิชาที่เรียนจบแล้วจะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ จะเรียกได้ว่าเป็นวิชาชีพต้องประกอบด้วยสิ่งสำคัญ 3 อย่างคือ

- เป็นอาชีพที่เป็นการงานที่มีการอุทิศตนทำไปตลอดชีวิต
- การงานที่ทำนั้น ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นวิชาชีพชั้นสูง
- มีขนบธรรมเนียมประเพณีสำนึกในจรรยาบรรณ เกียรติยศ และศักดิ์ศรี


จรรยาบรรณวิชาชีพ
คือ ความประพฤติ ที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอาชีพกำหนดขึ้น
เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้

เป็นจริยธรรมของกลุ่มชนผู้ร่วมอาชีพร่วมอุดมการณ์ เป็นหลักประพฤติ หลักจริยธรรม มารยาท ที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ควรจะร่วมกันรักษาไว้เพื่อธำรงเกียรติและศรัทธาจากประชาชน ละเมียดละไมกว่ากฎระเบียบ ลึกซึ้งกว่าวินัย สูงค่าเทียบเท่าอุดมการณ์


วันนี้จะขอไว้อาลัยกับบุคคลผู้หนึ่งซึ่งถือว่าทำหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี

สตานิสลาฟ เปตรอฟ ฮีโร่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ชายผู้ช่วยโลกเลี่ยงสงครามนิวเคลียร์

ข่าววันที่ 19 กันยายน 2560 หรือเมื่อวานนี้รายงานว่า...

สตานิสลาฟ เปตรอฟ อดีตพันโทแห่งกองทัพสหภาพโซเวียต ซึ่งช่วยให้โลกไม่ต้องเผชิญสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และโซเวียตในช่วงสงครามเย็น เสียชีวิตแล้วในวัย 77 ปี ที่บ้านของเขาในกรุงมอสโก เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย



สตานิสลาฟ เปตรอฟ รับหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์การเตือนภัยสงครามนิวเคลียร์ ใกล้กรุงมอสโก ในยุคสงครามเย็น

ในวันที่ 26 กันยายน 1983 หลังเวลาเที่ยงคืนเพียงไม่กี่นาที ระบบตรวจจับขีปนาวุธผ่านดาวเทียมรุ่นใหม่ของสหภาพโซเวียต ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยว่า พบขีปนาวุธ 5 ลูกถูกยิงมาที่สหภาพโซเวียต ซึ่งตามข้อปฏิบัติแล้ว เปโตรฟต้องรีบรายงานเรื่องดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาในทันที ซึ่งจะถูกรายงานต่อไปยังผู้นำประเทศ และจะนำไปสู่การยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์โจมตีสหรัฐฯเพื่อตอบโต้

เปตรอฟ ซึ่งขณะนั้นอายุ 44 ปี ใช้เวลาครุ่นคิดนานหลายนาที เพราะเขารู้ดีว่าการตัดสินใจของเขาจะเป็นชนวนจุดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหภาพโซเวียตและสหรัฐฯซึ่งจะทำให้มีผู้คนเสียชีวิตหลายล้านคน

จนในที่สุดเขาตัดสินใจเพิกเฉยต่อคำเตือนของระบบและไม่ได้แจ้งไปยังผู้บังคับบัญชา ซึ่งเขาประเมินว่า ถ้าสหรัฐฯจะยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์โจมตีโซเวียตจริง คงไม่ยิงมาแค่ 5 ลูก แต่ต้องยิงมาหลายสิบลูกเพื่อที่จะทำลายฐานยิงนิวเคลียร์ที่โซเวียตมีทั้งหมด เปตรอฟจึงเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่สัญญาณเตือนจะเกิดความผิดพลาดในระบบคอมพิวเตอร์

อย่างไรก็ตาม เปตรอฟไม่มีทางรู้ได้เลยว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้องหรือไม่ เพราะทุกสัญญาณในระบบเตือนภัยบ่งชี้ว่ามีขีปนาวุธ 5 ลูกกำลังมุ่งตรงมาที่โซเวียต และถ้าสหรัฐฯยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์มายังโซเวียตจริง จะใช้เวลาเพียง 20 นาทีที่จะถึงเป้าหมาย การที่เขานิ่งเฉยเป็นเวลาหลายนาทีก็จะทำให้โซเวียตสูญเสียโอกาสในการยิงโจมตีกลับไปยังสหรัฐฯ


แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปนานกว่า 20 นาที เปตรอฟก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งการตรวจสอบภายหลังพบว่าระบบตรวจจับขีปนาวุธผ่านดาวเทียมรุ่นใหม่ของสหภาพโซเวียตเกิดความผิดพลาดตรวจจับแสงอาทิตย์ที่สะท้อนผ่านกลุ่มก้อนเมฆและประเมินว่าเป็นไอพ่นของขีปนาวุธข้ามทวีปของสหรัฐฯ ซึ่งหากเปตรอฟไม่ใช้วิจารณญาณของตัวเองประเมินสถานการณ์และรายงานผู้บังคับบัญชาไปตามข้อปฏิบัติ ก็จะทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นอย่างแน่นอน



หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น โซเวียตได้จัดการแก้ไขระบบคอมพิวเตอร์เตือนภัยใหม่ ทางการโซเวียตก็ได้ปิดเรื่องนี้เงียบเป็นเวลานาน ก่อนที่จะถูกเปิดเผยเมื่อปี 1998 โดยนายทหารคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นด้วย ทำให้เปตรอฟได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติ

ในช่วงที่ยังไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เปตรอฟถูกทางการตำหนิอย่างรุนแรงต่อการละเมิดกฎระเบียบ และไม่เขียนเรื่องนี้ในรายงาน ซึ่งเปตรอฟ ก็ไม่ได้นึกแค้นเคืองเจ้านายโดยบอกว่า “หากพวกเขาให้รางวัลผมสำหรับกรณีนี้ ใครบางคนก็คงจะต้องถูกลงโทษ และคนแรกๆในบัญชีก็คือวิศวกรที่สร้างระบบตรวจจับขีปนาวุธ คนที่อนุมัติงบหลายพันล้านรูเบิ้ลสำหรับโครงการนี้

หลังจากทุกอย่างได้ข้อสรุป เปตรอฟก็ยังเป็นเปตรอฟคนเดิม เพราะเขาไม่ได้ถูกลงโทษหรือได้รับรางวัลจากการตัดสินใจของเขาในคืนวันนั้น ต่อมาเขาถูกย้ายไปทำงานในตำแหน่งที่มีความอ่อนไหวน้อยกว่าเดิม และตัดสินใจเกษียณราชการก่อนถึงอายุเกษียณ

แต่จริงๆแล้วเปตรอฟได้รางวัลจากการตัดสินใจครั้งนั้นของเขา โดยในปี 2004 The Association of the World Citizens ในซานฟรานซิสโก ได้มอบรางวัล World Citizen Award และเงินอีก 1,000 ดอลลาร์ให้เปตรอฟ

ปี 2006 เขาได้รับการเชิดชูเกียรติในการประชุมสหประชาชาติ ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์ก และ The Association of the World Citizens ได้มอบรางวัล special World Citizen Award อีกรางวัลสำหรับคุณงามความดีในการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ของเขา



วีรกรรมของเปตรอฟยังได้รับความสนใจจากสื่อนานาชาติซึ่งเคยทำรายงานพิเศษเกี่ยวกับเขาหลายครั้ง รวมทั้งมีการถ่ายทำเป็นภาพยนตร์สารคดีในหลายประเทศ



แต่ก็มีรายงานบางส่วนเหมือนกันที่แสดงความสงสัยในการตัดสินใจของเปตรอฟ โดยบ้างก็บอกว่าจริงๆแล้วเขาอาจจะรายงานถึงผู้บังคับบัญชา บ้างก็ว่าหน้าที่ของเขาไม่ใช่คนที่ต้องเป็นคนตัดสินใจ และระบบการป้องกันตัวจากขีปนาวุธของโซเวียต ก็ไม่ได้ใช้ข้อมูลการเตือนภัยจากแหล่งเดียว แต่เป็นการใช้ประกอบกันจากหลายแหล่ง

สตานิสลาฟ เปตรอฟ เสียชีวิตภายในบ้านพักของตัวเองในกรุงมอสโก เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ข่าวการเสียชีวิตของเขาเพิ่งได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณะชน เมื่อผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีชาวเยอรมันที่เคยถ่ายทอดเรื่องราวของเปตรอฟ โทรศัพท์หาเขาเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมาเพื่ออวยพรวันเกิด แต่กลับได้รับข่าวว่าเปตรอฟเสียชีวิตแล้วจากลูกชายของเขา

อย่างไรก็ตาม ขอไว้อาลัยการจากไปของปู่เปตรอฟ
และขอขอบคุณที่ทำให้โลกผ่านพ้นวิกฤติสงครามนิวเคลียร์ครั้งนั้นมาได้ค่ะ whiteroseเทียน


ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด ล้วนมีความสำคัญต่อตัวเองและสังคมทั้งสิ้น

เกียรติ ศักดิ์ศรี ของบุคคลนั้นๆ ไม่ได้อยู่ที่ระดับการศึกษาหรืออาชีพ
แต่อยู่ที่ การเคารพในจรรยาบรรณวิชาชีพของตน ตั้งมั่นอยู่ในความเป็นธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต
ทุ่มเทใส่ใจ รักงานที่ทำ ทำด้วยใจ ไม่ใช่ทำส่งๆ เพียงแค่หน้าที่

ที่สำคัญคือการใช้วิชาชีพตนสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวม ไม่ใช่หาผลประโยชน์ส่วนตัว อวดเบ่ง หรือไปทำร้ายคนอื่น

ในหนังจีน วิชาหมัดมวยของวัดเส้าหลินหรือบู๊ตึ๊ง จะสอนศิษย์เสมอว่า...

"ฝึกเพื่อสุขภาพ เมื่อเชี่ยวชาญก็ใช้ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ให้ใช้ไปทำร้ายใคร"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่