เมื่อวานเราใช้โอกาสวันหยุดวันสุดท้าย นั่งรถเข้าเมืองเพื่อไปดู Loving Vincent ค่ะ
รีวิวแบบย่อสุดๆ คือ ประทับใจหนังเรื่องนี้มากที่สุดในรอบหลายๆ ปี มี 10 คะแนนจะให้สัก 15 มี 100 จะให้ 150
ก่อนไปดูก็เข้ามาหารีวิวหนังเรื่องนี้ในพันทิปแต่แทบไม่มีเลย อันที่จริงก็อยากดูตั้งแต่ได้เห็นวิดีโอโปรโมตว่า หนังเรื่องนี้เป็นแอนิเมชั่นที่ใช้ภาพวาดสีน้ำมันสไตล์แวนโก๊ะกว่า 65,000 รูป ใช้ศิลปินกว่า 100 คน ดูจากตัวอย่างที่ออกมาเมื่อปีที่แล้วก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ และคิดว่าจะไปดูให้ได้
แต่อีกใจหนึ่ง เราก็ไม่ได้รักชอบแวนโก๊ะขนาดนั้น แถมพอรู้เรื่องราวของแวนโก๊ะอยู่บ้าง แวนโก๊ะหรือฟานก๊อกที่ออกเสียงตามภาษาดัทช์บ้านเกิด เป็นศิลปินอัจฉริยะที่ออกจะเพี้ยนๆ หน่อย ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ขายรูปไม่ได้ และยิงตัวตายตั้งแต่ยังหนุ่ม คือแบบอะไรจะเศร้าขนาดนั้น โดยส่วนตัวเราค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงเลือกความตายเป็นคำตอบ แต่ก็นั่นแหละรู้เรื่องเขาขนาดนี้แล้ว มันไม่น่าจะเหลืออะไรให้ลุ้น
ชั่งใจอยู่แวบหนึ่งก็เอาชนะความขี้เกียจ ในที่สุดก็ตีตั๋วดูเรื่องนี้ที่ลิโด ไม่รู้ว่าเพราะเป็นวันหยุดหรือเปล่า คนน้อยมากจนน่าใจหาย
เวลา 1 ชั่วโมง 34 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูจบแล้วก็บอกตัวเองทันทีว่าอยากดูอีกรอบ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถ้าไม่ได้ดูเรื่องนี้ในโรงหนังเราคงเสียใจมากทีเดียว
เราว่า Loving Vincent เป็นหนังสดุดีแวนโก๊ะที่เหนือจริงมากๆ และทำได้อย่างน่าซาบซึ้ง เราตะลึงไปกับสีสันและฝีแปรงที่ใช้ตลอดเรื่อง แม้จะเล่าเรื่องค่อนข้างเนิบนาบ แต่ไม่มีตอนไหนเลยที่ละสายตาได้ ศิลปินวาดสีหน้าลักษณะอาการของตัวละครได้แบบละเอียดมากๆ สื่อสารได้อย่างยอดเยี่ยม ตัดต่อไม่สะดุด มีความเป็นศิลปะสูง อ้อ! ดนตรีประกอบก็จัดมาอย่างประณีต เข้าคู่กับภาพเป็นอย่างดี ไม่แย่งซีน และไพเราะมาก ตอนจบเป็นอะไรที่มีพลัง...เป็นหนังที่มีส่วนผสมดีๆ เยอะ "มาก" ไม่ได้เยอะเฉยๆ เข้มข้นเหมือนสีและสไตล์ที่แวนโก๊ะใช้นั่นแหละ
ก่อนดูหนังเรื่องนี้เราคิดว่าแวนโก๊ะเป็นคนโชคร้ายและน่าสงสาร แต่เมื่อดูจบ ข้อมูลใหม่ๆ ที่ได้คือ เขาเริ่มเขียนภาพตอนอายุ 28 หลังจากล้มเหลวจากทุกงานที่เคยทำมา วินเซนต์ไม่มีเงินแต่เริ่มต้นได้อีกครั้งเพราะมีน้องชายที่รักที่สุดคอยสนับสนุน ออกค่ากินอยู่ที่พักค่าสีค่าผ้าใบทุกอย่าง วินเซนต์ตายตอนอายุ 37 ระหว่าง 8 ปีนั้นเขาวาดรูปไปกว่า 800 ภาพ คนส่วนใหญ่เล่าว่าเขาวาดรูปตลอดเวลา วาดแล้วก็คงส่งภาพดีๆ กลับไปให้น้องชาย ที่บ้านของทีโอก็เลยมีภาพของพี่ชายเต็มไปหมด ถ้าเป็นปัจจุบัน บ้านนั้นคงมีมูลค่าเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ เพราะอย่างภาพที่แพงที่สุดที่เคยประมูลไป รูปแจกันปักดอกทานตะวันรูปเดียวก็ราคา 80 กว่าล้านเข้าไปแล้ว (และตอนนี้ราคาขึ้นมาเกือบสองเท่า เป็นภาพที่มีราคาประมูลติดอันดับต้นๆ ของโลก) แต่ตอนที่วินเซนต์มีชีวิตอยู่กลับขายภาพได้เพียงภาพเดียวเท่านั้น เหลือเชื่อไหมล่ะ
ก่อนดูหนังเราคิดว่าแวนโก๊ะนี่โคตรน่าสงสาร แต่หลายฉากทำให้เราเปลี่ยนความคิด... อาจไม่มีใครชอบเขามากนัก แต่เขาก็มีน้องชายที่รักกันมากชนิดตายแทนกันได้ เขามีพรสวรรค์ที่ตัวเองรู้อยู่แก่ใจ มีจิตใจที่อ่อนโยนที่สุดที่ถ่ายทอดออกมาผ่านภาพเขียน... เราว่าท่ามกลางความขาดแคลนที่แวดล้อมเขาอยู่ เขาได้พยายามที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรน่าสงสาร ชีวิตก็คงเป็นแบบนี้ มีทั้งเรื่องร้ายและดี มีทั้งที่เราทำผิดต่อเขาและเขาทำผิดต่อเรา มีเรื่องที่ทำได้และทำไม่ได้ ฯลฯ และความตายก็เป็นปริศนาสำหรับเราทุกคน... หนังไม่ได้เชียร์อัพหรือให้ความหวังอะไรมาก เล่าแบบตรงไปตรงมาเพราะเป็นหนังชีวประวัติ แต่กระนั้นเมื่อดูจบแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าชีวิตเราจะจบแบบโศกนาฏกรรมก็ไม่เป็นไร และเราจะมีแวนโก๊ะเป็นเพื่อนเชียวนะ... แต่นั่นคือคิดแบบขำๆ ชีวิตสำคัญระหว่างใช้ต่างหาก
หนังเข้ามาสักพักแล้ว คนชอบแวนโก๊ะ ชอบศิลปะ ชอบหนังดีๆ หนังเรื่องนี้ทำเพื่อเธอนะ
[CR] Loving Vincent หนังดีต้องบอกต่อ
รีวิวแบบย่อสุดๆ คือ ประทับใจหนังเรื่องนี้มากที่สุดในรอบหลายๆ ปี มี 10 คะแนนจะให้สัก 15 มี 100 จะให้ 150
ก่อนไปดูก็เข้ามาหารีวิวหนังเรื่องนี้ในพันทิปแต่แทบไม่มีเลย อันที่จริงก็อยากดูตั้งแต่ได้เห็นวิดีโอโปรโมตว่า หนังเรื่องนี้เป็นแอนิเมชั่นที่ใช้ภาพวาดสีน้ำมันสไตล์แวนโก๊ะกว่า 65,000 รูป ใช้ศิลปินกว่า 100 คน ดูจากตัวอย่างที่ออกมาเมื่อปีที่แล้วก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ และคิดว่าจะไปดูให้ได้
แต่อีกใจหนึ่ง เราก็ไม่ได้รักชอบแวนโก๊ะขนาดนั้น แถมพอรู้เรื่องราวของแวนโก๊ะอยู่บ้าง แวนโก๊ะหรือฟานก๊อกที่ออกเสียงตามภาษาดัทช์บ้านเกิด เป็นศิลปินอัจฉริยะที่ออกจะเพี้ยนๆ หน่อย ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ขายรูปไม่ได้ และยิงตัวตายตั้งแต่ยังหนุ่ม คือแบบอะไรจะเศร้าขนาดนั้น โดยส่วนตัวเราค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงเลือกความตายเป็นคำตอบ แต่ก็นั่นแหละรู้เรื่องเขาขนาดนี้แล้ว มันไม่น่าจะเหลืออะไรให้ลุ้น
ชั่งใจอยู่แวบหนึ่งก็เอาชนะความขี้เกียจ ในที่สุดก็ตีตั๋วดูเรื่องนี้ที่ลิโด ไม่รู้ว่าเพราะเป็นวันหยุดหรือเปล่า คนน้อยมากจนน่าใจหาย
เวลา 1 ชั่วโมง 34 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูจบแล้วก็บอกตัวเองทันทีว่าอยากดูอีกรอบ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถ้าไม่ได้ดูเรื่องนี้ในโรงหนังเราคงเสียใจมากทีเดียว
เราว่า Loving Vincent เป็นหนังสดุดีแวนโก๊ะที่เหนือจริงมากๆ และทำได้อย่างน่าซาบซึ้ง เราตะลึงไปกับสีสันและฝีแปรงที่ใช้ตลอดเรื่อง แม้จะเล่าเรื่องค่อนข้างเนิบนาบ แต่ไม่มีตอนไหนเลยที่ละสายตาได้ ศิลปินวาดสีหน้าลักษณะอาการของตัวละครได้แบบละเอียดมากๆ สื่อสารได้อย่างยอดเยี่ยม ตัดต่อไม่สะดุด มีความเป็นศิลปะสูง อ้อ! ดนตรีประกอบก็จัดมาอย่างประณีต เข้าคู่กับภาพเป็นอย่างดี ไม่แย่งซีน และไพเราะมาก ตอนจบเป็นอะไรที่มีพลัง...เป็นหนังที่มีส่วนผสมดีๆ เยอะ "มาก" ไม่ได้เยอะเฉยๆ เข้มข้นเหมือนสีและสไตล์ที่แวนโก๊ะใช้นั่นแหละ
ก่อนดูหนังเรื่องนี้เราคิดว่าแวนโก๊ะเป็นคนโชคร้ายและน่าสงสาร แต่เมื่อดูจบ ข้อมูลใหม่ๆ ที่ได้คือ เขาเริ่มเขียนภาพตอนอายุ 28 หลังจากล้มเหลวจากทุกงานที่เคยทำมา วินเซนต์ไม่มีเงินแต่เริ่มต้นได้อีกครั้งเพราะมีน้องชายที่รักที่สุดคอยสนับสนุน ออกค่ากินอยู่ที่พักค่าสีค่าผ้าใบทุกอย่าง วินเซนต์ตายตอนอายุ 37 ระหว่าง 8 ปีนั้นเขาวาดรูปไปกว่า 800 ภาพ คนส่วนใหญ่เล่าว่าเขาวาดรูปตลอดเวลา วาดแล้วก็คงส่งภาพดีๆ กลับไปให้น้องชาย ที่บ้านของทีโอก็เลยมีภาพของพี่ชายเต็มไปหมด ถ้าเป็นปัจจุบัน บ้านนั้นคงมีมูลค่าเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ เพราะอย่างภาพที่แพงที่สุดที่เคยประมูลไป รูปแจกันปักดอกทานตะวันรูปเดียวก็ราคา 80 กว่าล้านเข้าไปแล้ว (และตอนนี้ราคาขึ้นมาเกือบสองเท่า เป็นภาพที่มีราคาประมูลติดอันดับต้นๆ ของโลก) แต่ตอนที่วินเซนต์มีชีวิตอยู่กลับขายภาพได้เพียงภาพเดียวเท่านั้น เหลือเชื่อไหมล่ะ
ก่อนดูหนังเราคิดว่าแวนโก๊ะนี่โคตรน่าสงสาร แต่หลายฉากทำให้เราเปลี่ยนความคิด... อาจไม่มีใครชอบเขามากนัก แต่เขาก็มีน้องชายที่รักกันมากชนิดตายแทนกันได้ เขามีพรสวรรค์ที่ตัวเองรู้อยู่แก่ใจ มีจิตใจที่อ่อนโยนที่สุดที่ถ่ายทอดออกมาผ่านภาพเขียน... เราว่าท่ามกลางความขาดแคลนที่แวดล้อมเขาอยู่ เขาได้พยายามที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรน่าสงสาร ชีวิตก็คงเป็นแบบนี้ มีทั้งเรื่องร้ายและดี มีทั้งที่เราทำผิดต่อเขาและเขาทำผิดต่อเรา มีเรื่องที่ทำได้และทำไม่ได้ ฯลฯ และความตายก็เป็นปริศนาสำหรับเราทุกคน... หนังไม่ได้เชียร์อัพหรือให้ความหวังอะไรมาก เล่าแบบตรงไปตรงมาเพราะเป็นหนังชีวประวัติ แต่กระนั้นเมื่อดูจบแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าชีวิตเราจะจบแบบโศกนาฏกรรมก็ไม่เป็นไร และเราจะมีแวนโก๊ะเป็นเพื่อนเชียวนะ... แต่นั่นคือคิดแบบขำๆ ชีวิตสำคัญระหว่างใช้ต่างหาก
หนังเข้ามาสักพักแล้ว คนชอบแวนโก๊ะ ชอบศิลปะ ชอบหนังดีๆ หนังเรื่องนี้ทำเพื่อเธอนะ