เกริ่น...
เด็กจบใหม่หลายๆ คน โชคดีที่จบมาแล้วได้งานทำเลย อยากเป็นหัวหน้า อยากเป็นใหญ่ในเร็ววัน วาดฝันไว้ว่าจะเป็นวัยรุ่นพันล้านเหมือนใครเขา ใช่ครับ ผมคือหนึ่งในเด็กจบใหม่กลุ่มนี้ ผมจบมาด้วยโปรไฟล์ที่เด็กรุ่นเดียวกันบอกว่า "ใครจะสู้ได้" ทั้งประสบการณ์ฝึกงานที่มากกว่าใคร ผลงาน หรือกิจกรรมต่างๆที่ทำระหว่างเรียน รวมทั้งผลการเรียนที่อาจารย์เอ่ยปากชมมาตลอด และในตอนนี้ ใช่ครับ ผมเป็นคนตกงาน
ตั้งแต่จบมาเมื่อกลางปี หลังจากช่วงเวลาที่ทั้งฝึกงานไปด้วยเขียนธีสีสไปด้วย ผมได้พักสมองแค่ 2 อาทิตย์ และผมก็ได้งานในบริษัทใหญ่ ซึ่งจ้างในอัตราที่เด็กจบใหม่ต่างร้องว้าว ฝันที่วาดไว้ว่าอนาคตจะได้เติบโตที่นี้หากมีโอกาส ฝันที่วาดไว้ว่าเราจะเด่นจะดีจะดังเหมือนสมัยเรียน ได้จบลง เมื่อความจริงมันช่างแตกต่างเหลือเกิน สังคมการทำงาน เนื้องาน มันไม่ได้ enjoy อย่างที่ฝัน ความ productive และ proactive น้อยลง โดยที่ไม่สามารถนำกลับคืนมาได้ ความคิดที่ว่าเมื่อก่อนเราเคยเป็นหนึ่ง ตอนนี้เราเป็นใครก็ไม่รู้ มันตอกย้ำอยู่ในหัวสมองของผม ทำไมโลกนี้มันมีคนเห็นแก่ตัวเยอะเหลือเกิน จนความคิดสุดท้ายที่ผมไม่คิดว่าในชีวิตนี้ผมเคยคิด นั่นก็คือ เราเกิดมาทำไม เกิดมาเหนื่อยเปล่าๆ หากหลับไปแล้วหายไปจากโลกนี้ได้ มันก็จะดีหรอก... ได้เข้ามาในหัวผม
ใช่ครับ ความเครียด จากในเรื่องหลายๆเรื่องคนหลายๆคน และที่สำคัญจากตัวเองทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่เหมือนเดิม ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย มองทุกอย่างในแง่ลบ sensitive กับทุกคำพูด ร้องไห้ง่ายกับอะไรเล็กๆน้อยๆ ด่วนสรุปทุกคำพูดของทุกคน และมีแต่ความคิดที่ว่าคนอื่นจ้องแต่จะเอาผลประโยชน์จากตัวเรา ไม่มีใครจริงใจ โลกนี้มีแต่คนหลอกลวง โกหก คนทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เราเป็นคนที่คนอื่นนึกถึงตอนที่เขามีอยากได้อะไรเท่านั้น .... ผมรู้ตัวเอง และนั้นนำไปสู่การตัดสินใจเสริชหาข้อมูลเกี่ยวกับ โรคซึมเศร้า จนทำให้ผมรู้ว่า ผม"อาจจะ" เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้
หลังจากที่ทำการหาข้อมูลแล้ว ผมเลยสรุปว่า สมองผมควรจะพักเสียบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นผมคงบ้าไปจริงๆแน่ และ 1 อาทิตย์หลังจากผมลาออก ผมได้ตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ การตัดสินใจของผมง่ายมากเลยครับ ผมเสริชหาข้อมูลโรงพยาบาล หลังจากนั้นผมโทรนัดวันรุ่งขึ้นเข้าพบหมอเลย ผมไม่ได้ปรึกษาใครแม้แต่น้อย ผมไม่สนว่าใครจะมองว่าผมเป็นบ้า หรือยังไงก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครรักเรา เท่าตัวเราเอง
ใช่ครับ .. หลังจาก 1 ชม. ในการคุยกับจิตแพทย์ ผมเข้าข่ายมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่ได้เป็นโรค .. ผมแอบดีใจที่ผมยังไม่ได้เป็นโรคนี้ แต่แอบเสียใจเล็กน้อย ที่จำเป็นต้องกินยาต้านความเศร้า เพราะผมไม่เคยคิดว่าผมคนที่เคยจัดการตัวเองได้ดีทุกอย่างมาก่อน ต้องมาเพิ่งยา แต่สุดท้ายผมก็ทำใจไว้แล้ว หากต้องพึ่งยาชั่วคราวผมก็ยอม หมอบอกว่าอาจต้องดูอาการ รักษาไปประมาณ 2 เดือน ช่วงนี้ให้ทำอะไรที่อยากทำ ให้ฝึกความคิด อย่าตรวจสรุปอะไรง่ายๆ เพราะส่วนใหญ่เราจะเครียดกับสิ่งที่เราคิดไปเอง หากเราไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดไปเองนั้นเป็นจริง นั่นก็หมายความว่า มันอาจจะไม่เป็นจริง และให้ฝึกตัวเองให้ยอมรับในได้ว่า ทุกคนในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่โกหกกันคนละนิดทั้งนั้นไม่ว่าใครก็ตาม มันเป็นสัจธรรม
ถึงตรงนี้แล้ว ผมขอแนะนำคนที่มีอาการเข้าข่ายสิ่งที่ผมกล่าวไปข้างต้น แนะนำให้อย่าลังเลที่จะพบจิตแพทย์ครับ เพราะนั้นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยครับ สำหรับใครที่กลัวคนอื่นจะมองว่าเราบ้า เราเป็นโรคจิต อย่าไปสนครับ เทคนิคของผมคือว่า เมื่อผมไปหาหมอแล้ว หลังจากนั้นผมชิงบอกทุกคนที่ผมรู้จักก่อนเลย ว่าผมไปพบจิตแพทย์มา ตอนนี้กินยาอยู่ 2 เดือนน่าจะโอเค เมื่อเราชิงบอกไปก่อน เราจะไม่อะไรกับเราครับ แต่หากคนเราเมื่อรู้เอง มันจะมาจู้จี้จุกจิกกับเรา จนทำให้เราคิดมาก และเป็นผิดต่อสุขภาพจิตเราเปล่าๆ ครับ และในเรื่องของผลข้างเคียงของยา ในช่วงแรกจะคอแห้งมากๆ ครับ แล้วจะรู้สึกหัวโล่งๆ ไม่คิดอะไร แต่ 2-3 อาทิตย์ให้หลังก็จะโอเคครับ ที่เหลือก็แค่ปรับความคิด และบอกคนรอบข้างในเขารู้ว่าตอนนี้เราเป็นอะไร และหวังว่าเขาคงจะเข้าใจและปฎิบัติให้เราอย่างถูกวิธีครับ นั่นคือซึ่งที่ผมทำ สำหรับใครมีข้อสงสัยอะไร ถามมาหลังใหม่ได้ครับผม
------------------------------
เข้าสู่ความเป็น Line sticker creator
และเมื่อผมเข้าสู่ช่วงว่างงานอย่างเต็มตัว จากนิสัยเดิมที่อยู่เฉยไม่ได้ เป็นไฮเปอร์หน่อยๆ ช่วงไหนว่างมากๆ ก็จะรู้สึกตัวเองไร้ค่า รายได้ก็ไม่มี สักวันคงไม่มีอันจะกิน จนทำให้ผมผุดความคิดที่จะเอางานอดิเรกของตัวเองมาสร้างรายได้ และนั่นก็คือ การวาดภาพ
มีบทความสั้นๆ จากเว็บนึงที่เป็นแรงบันดาลใจเริ่มต้นให้ผม (ลิ้งค์ :
https://droidsans.com/line-creators-sticker-good-profit/) และด้วยความชื่นชอบในหมาย่นๆ ตั้งแต่เด็กๆ ผมเลยคิดจะวาดสติ้กเกอร์เป็นรูปหมาซะเลย สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้วาด ผมใช้ Ipad pro และ apple pencil วาดในแอพ Adobe draw ซึ่งเป็นแอพฟรี อุปกรณ์ทั้งหมดได้มาจากเงินสะสมสมัยเรียน ที่เป็นแผนที่ผมคิดไว้มาล่วงหน้าว่า หากจบมาทำงานแล้วไม่ชอบ หรือยังหางานไม่ได้ก็มีเงินทุนเล็กๆน้อยๆไปทำอะไรที่ตัวเองชอบ
และนี่คือการออกแบบแรกๆของผมครับ
เกริ่น...
เด็กจบใหม่หลายๆ คน โชคดีที่จบมาแล้วได้งานทำเลย อยากเป็นหัวหน้า อยากเป็นใหญ่ในเร็ววัน วาดฝันไว้ว่าจะเป็นวัยรุ่นพันล้านเหมือนใครเขา ใช่ครับ ผมคือหนึ่งในเด็กจบใหม่กลุ่มนี้ ผมจบมาด้วยโปรไฟล์ที่เด็กรุ่นเดียวกันบอกว่า "ใครจะสู้ได้" ทั้งประสบการณ์ฝึกงานที่มากกว่าใคร ผลงาน หรือกิจกรรมต่างๆที่ทำระหว่างเรียน รวมทั้งผลการเรียนที่อาจารย์เอ่ยปากชมมาตลอด และในตอนนี้ ใช่ครับ ผมเป็นคนตกงาน
ตั้งแต่จบมาเมื่อกลางปี หลังจากช่วงเวลาที่ทั้งฝึกงานไปด้วยเขียนธีสีสไปด้วย ผมได้พักสมองแค่ 2 อาทิตย์ และผมก็ได้งานในบริษัทใหญ่ ซึ่งจ้างในอัตราที่เด็กจบใหม่ต่างร้องว้าว ฝันที่วาดไว้ว่าอนาคตจะได้เติบโตที่นี้หากมีโอกาส ฝันที่วาดไว้ว่าเราจะเด่นจะดีจะดังเหมือนสมัยเรียน ได้จบลง เมื่อความจริงมันช่างแตกต่างเหลือเกิน สังคมการทำงาน เนื้องาน มันไม่ได้ enjoy อย่างที่ฝัน ความ productive และ proactive น้อยลง โดยที่ไม่สามารถนำกลับคืนมาได้ ความคิดที่ว่าเมื่อก่อนเราเคยเป็นหนึ่ง ตอนนี้เราเป็นใครก็ไม่รู้ มันตอกย้ำอยู่ในหัวสมองของผม ทำไมโลกนี้มันมีคนเห็นแก่ตัวเยอะเหลือเกิน จนความคิดสุดท้ายที่ผมไม่คิดว่าในชีวิตนี้ผมเคยคิด นั่นก็คือ เราเกิดมาทำไม เกิดมาเหนื่อยเปล่าๆ หากหลับไปแล้วหายไปจากโลกนี้ได้ มันก็จะดีหรอก... ได้เข้ามาในหัวผม
ใช่ครับ ความเครียด จากในเรื่องหลายๆเรื่องคนหลายๆคน และที่สำคัญจากตัวเองทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่เหมือนเดิม ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย มองทุกอย่างในแง่ลบ sensitive กับทุกคำพูด ร้องไห้ง่ายกับอะไรเล็กๆน้อยๆ ด่วนสรุปทุกคำพูดของทุกคน และมีแต่ความคิดที่ว่าคนอื่นจ้องแต่จะเอาผลประโยชน์จากตัวเรา ไม่มีใครจริงใจ โลกนี้มีแต่คนหลอกลวง โกหก คนทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เราเป็นคนที่คนอื่นนึกถึงตอนที่เขามีอยากได้อะไรเท่านั้น .... ผมรู้ตัวเอง และนั้นนำไปสู่การตัดสินใจเสริชหาข้อมูลเกี่ยวกับ โรคซึมเศร้า จนทำให้ผมรู้ว่า ผม"อาจจะ" เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้
หลังจากที่ทำการหาข้อมูลแล้ว ผมเลยสรุปว่า สมองผมควรจะพักเสียบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นผมคงบ้าไปจริงๆแน่ และ 1 อาทิตย์หลังจากผมลาออก ผมได้ตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ การตัดสินใจของผมง่ายมากเลยครับ ผมเสริชหาข้อมูลโรงพยาบาล หลังจากนั้นผมโทรนัดวันรุ่งขึ้นเข้าพบหมอเลย ผมไม่ได้ปรึกษาใครแม้แต่น้อย ผมไม่สนว่าใครจะมองว่าผมเป็นบ้า หรือยังไงก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครรักเรา เท่าตัวเราเอง
ใช่ครับ .. หลังจาก 1 ชม. ในการคุยกับจิตแพทย์ ผมเข้าข่ายมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่ได้เป็นโรค .. ผมแอบดีใจที่ผมยังไม่ได้เป็นโรคนี้ แต่แอบเสียใจเล็กน้อย ที่จำเป็นต้องกินยาต้านความเศร้า เพราะผมไม่เคยคิดว่าผมคนที่เคยจัดการตัวเองได้ดีทุกอย่างมาก่อน ต้องมาเพิ่งยา แต่สุดท้ายผมก็ทำใจไว้แล้ว หากต้องพึ่งยาชั่วคราวผมก็ยอม หมอบอกว่าอาจต้องดูอาการ รักษาไปประมาณ 2 เดือน ช่วงนี้ให้ทำอะไรที่อยากทำ ให้ฝึกความคิด อย่าตรวจสรุปอะไรง่ายๆ เพราะส่วนใหญ่เราจะเครียดกับสิ่งที่เราคิดไปเอง หากเราไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดไปเองนั้นเป็นจริง นั่นก็หมายความว่า มันอาจจะไม่เป็นจริง และให้ฝึกตัวเองให้ยอมรับในได้ว่า ทุกคนในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่โกหกกันคนละนิดทั้งนั้นไม่ว่าใครก็ตาม มันเป็นสัจธรรม
ถึงตรงนี้แล้ว ผมขอแนะนำคนที่มีอาการเข้าข่ายสิ่งที่ผมกล่าวไปข้างต้น แนะนำให้อย่าลังเลที่จะพบจิตแพทย์ครับ เพราะนั้นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยครับ สำหรับใครที่กลัวคนอื่นจะมองว่าเราบ้า เราเป็นโรคจิต อย่าไปสนครับ เทคนิคของผมคือว่า เมื่อผมไปหาหมอแล้ว หลังจากนั้นผมชิงบอกทุกคนที่ผมรู้จักก่อนเลย ว่าผมไปพบจิตแพทย์มา ตอนนี้กินยาอยู่ 2 เดือนน่าจะโอเค เมื่อเราชิงบอกไปก่อน เราจะไม่อะไรกับเราครับ แต่หากคนเราเมื่อรู้เอง มันจะมาจู้จี้จุกจิกกับเรา จนทำให้เราคิดมาก และเป็นผิดต่อสุขภาพจิตเราเปล่าๆ ครับ และในเรื่องของผลข้างเคียงของยา ในช่วงแรกจะคอแห้งมากๆ ครับ แล้วจะรู้สึกหัวโล่งๆ ไม่คิดอะไร แต่ 2-3 อาทิตย์ให้หลังก็จะโอเคครับ ที่เหลือก็แค่ปรับความคิด และบอกคนรอบข้างในเขารู้ว่าตอนนี้เราเป็นอะไร และหวังว่าเขาคงจะเข้าใจและปฎิบัติให้เราอย่างถูกวิธีครับ นั่นคือซึ่งที่ผมทำ สำหรับใครมีข้อสงสัยอะไร ถามมาหลังใหม่ได้ครับผม
------------------------------
เข้าสู่ความเป็น Line sticker creator
และเมื่อผมเข้าสู่ช่วงว่างงานอย่างเต็มตัว จากนิสัยเดิมที่อยู่เฉยไม่ได้ เป็นไฮเปอร์หน่อยๆ ช่วงไหนว่างมากๆ ก็จะรู้สึกตัวเองไร้ค่า รายได้ก็ไม่มี สักวันคงไม่มีอันจะกิน จนทำให้ผมผุดความคิดที่จะเอางานอดิเรกของตัวเองมาสร้างรายได้ และนั่นก็คือ การวาดภาพ
มีบทความสั้นๆ จากเว็บนึงที่เป็นแรงบันดาลใจเริ่มต้นให้ผม (ลิ้งค์ :
https://droidsans.com/line-creators-sticker-good-profit/) และด้วยความชื่นชอบในหมาย่นๆ ตั้งแต่เด็กๆ ผมเลยคิดจะวาดสติ้กเกอร์เป็นรูปหมาซะเลย สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้วาด ผมใช้ Ipad pro และ apple pencil วาดในแอพ Adobe draw ซึ่งเป็นแอพฟรี อุปกรณ์ทั้งหมดได้มาจากเงินสะสมสมัยเรียน ที่เป็นแผนที่ผมคิดไว้มาล่วงหน้าว่า หากจบมาทำงานแล้วไม่ชอบ หรือยังหางานไม่ได้ก็มีเงินทุนเล็กๆน้อยๆไปทำอะไรที่ตัวเองชอบ
จากที่ถามเพื่อนๆ ที่นิยมซื้อ line sticker พวกเขาบอกว่า ส่วนใหญ่จะชอบซื้ออันที่น่ารักๆ หรือไม่ก็กวนๆไปเลย บางครั้งชอบแบบไม่มีข้อความมากกว่า เพราะสามารถใช้ท่าทางของสติ้กเกอร์ได้ในหลายๆ สถานการณ์
จากข้อมูลที่ถามๆมา ทำให้แบบแรกๆที่วาดเป็นประมาณนี้ครับ
หลังจากที่วาดเสร็จ ผมจะให้แฟนผมซึ่งเป็นสาวที่นิยมซื้อสติ้กเกอร์ ทำการ QC ก่อนครับ 5555 เขาชอบแนวแบบ 2 ตัวด้านบนสุด กับตัวสุดท้ายด้านขวาล่างสุด และเมื่อผมได้รับคำแนะนำจากแฟนผู้เป็นที่เคารพ ผมเลยตัดสินใจวาดในสไตล์ของตัวสุดท้ายครับ เพราะ วาดง่ายกว่าสองตัวด้านบน เพราะรายละเอียดการลงสีน้อยกว่า อีกทั้งลายเส้นยังน้อยกว่าอีกด้วย ซึ่งเหมาะแก่การวาดในระยะยาวของผม .. ทุกวันนี้แฟนยังแอบแซว ว่าทำไมไม่วาดแบบสองตัวบนอยู่เลยครับ 555
ผมได้ปรับรูปร่างของเจ้าหมาตัวนี้นิดหน่อยจนได้ตัวแรกอย่างเป็นทางการมาเป็นประมาณนี้ครับ
สำหรับจำนวนของสติ้กเกอร์ ผมเลือก 24 ตัว จากตัวเลือกทั้งหมด 8,16,24,32,40 ตัว เพราะผมจากที่สังเกต จำนวน 24 ตัวเป็นจำนวนที่ creator ส่วนใหญ่วาดกันครับ คิดว่าไม่มากและไม่น้อยเกินไป สำหรับคนซื้อที่จะตัดสินใจซื้อ
คราวนี้มาถึงการตั้งชื่อตัวสติกเกอร์ ซึ่งผมนั้นอยากให้มีคำว่า Puggy อยู่ในชื่อด้วยเพราะว่าผมตั้งใจวาดหมาพันธุ์ Pug เนื่องจากหมาของผมนั้นตัวอวบๆ ผมเลยใช้ชื่อ Piggy puggy ครับ
ต่อ..
เล่าประสบการณ์ เรียนจบ ได้งาน พบจิตแพทย์ ลาออก จนสู่การ Line sticker creator ครั้งแรกในชีวิต
เด็กจบใหม่หลายๆ คน โชคดีที่จบมาแล้วได้งานทำเลย อยากเป็นหัวหน้า อยากเป็นใหญ่ในเร็ววัน วาดฝันไว้ว่าจะเป็นวัยรุ่นพันล้านเหมือนใครเขา ใช่ครับ ผมคือหนึ่งในเด็กจบใหม่กลุ่มนี้ ผมจบมาด้วยโปรไฟล์ที่เด็กรุ่นเดียวกันบอกว่า "ใครจะสู้ได้" ทั้งประสบการณ์ฝึกงานที่มากกว่าใคร ผลงาน หรือกิจกรรมต่างๆที่ทำระหว่างเรียน รวมทั้งผลการเรียนที่อาจารย์เอ่ยปากชมมาตลอด และในตอนนี้ ใช่ครับ ผมเป็นคนตกงาน
ตั้งแต่จบมาเมื่อกลางปี หลังจากช่วงเวลาที่ทั้งฝึกงานไปด้วยเขียนธีสีสไปด้วย ผมได้พักสมองแค่ 2 อาทิตย์ และผมก็ได้งานในบริษัทใหญ่ ซึ่งจ้างในอัตราที่เด็กจบใหม่ต่างร้องว้าว ฝันที่วาดไว้ว่าอนาคตจะได้เติบโตที่นี้หากมีโอกาส ฝันที่วาดไว้ว่าเราจะเด่นจะดีจะดังเหมือนสมัยเรียน ได้จบลง เมื่อความจริงมันช่างแตกต่างเหลือเกิน สังคมการทำงาน เนื้องาน มันไม่ได้ enjoy อย่างที่ฝัน ความ productive และ proactive น้อยลง โดยที่ไม่สามารถนำกลับคืนมาได้ ความคิดที่ว่าเมื่อก่อนเราเคยเป็นหนึ่ง ตอนนี้เราเป็นใครก็ไม่รู้ มันตอกย้ำอยู่ในหัวสมองของผม ทำไมโลกนี้มันมีคนเห็นแก่ตัวเยอะเหลือเกิน จนความคิดสุดท้ายที่ผมไม่คิดว่าในชีวิตนี้ผมเคยคิด นั่นก็คือ เราเกิดมาทำไม เกิดมาเหนื่อยเปล่าๆ หากหลับไปแล้วหายไปจากโลกนี้ได้ มันก็จะดีหรอก... ได้เข้ามาในหัวผม
ใช่ครับ ความเครียด จากในเรื่องหลายๆเรื่องคนหลายๆคน และที่สำคัญจากตัวเองทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่เหมือนเดิม ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย มองทุกอย่างในแง่ลบ sensitive กับทุกคำพูด ร้องไห้ง่ายกับอะไรเล็กๆน้อยๆ ด่วนสรุปทุกคำพูดของทุกคน และมีแต่ความคิดที่ว่าคนอื่นจ้องแต่จะเอาผลประโยชน์จากตัวเรา ไม่มีใครจริงใจ โลกนี้มีแต่คนหลอกลวง โกหก คนทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เราเป็นคนที่คนอื่นนึกถึงตอนที่เขามีอยากได้อะไรเท่านั้น .... ผมรู้ตัวเอง และนั้นนำไปสู่การตัดสินใจเสริชหาข้อมูลเกี่ยวกับ โรคซึมเศร้า จนทำให้ผมรู้ว่า ผม"อาจจะ" เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้
หลังจากที่ทำการหาข้อมูลแล้ว ผมเลยสรุปว่า สมองผมควรจะพักเสียบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นผมคงบ้าไปจริงๆแน่ และ 1 อาทิตย์หลังจากผมลาออก ผมได้ตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ การตัดสินใจของผมง่ายมากเลยครับ ผมเสริชหาข้อมูลโรงพยาบาล หลังจากนั้นผมโทรนัดวันรุ่งขึ้นเข้าพบหมอเลย ผมไม่ได้ปรึกษาใครแม้แต่น้อย ผมไม่สนว่าใครจะมองว่าผมเป็นบ้า หรือยังไงก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครรักเรา เท่าตัวเราเอง
ใช่ครับ .. หลังจาก 1 ชม. ในการคุยกับจิตแพทย์ ผมเข้าข่ายมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่ได้เป็นโรค .. ผมแอบดีใจที่ผมยังไม่ได้เป็นโรคนี้ แต่แอบเสียใจเล็กน้อย ที่จำเป็นต้องกินยาต้านความเศร้า เพราะผมไม่เคยคิดว่าผมคนที่เคยจัดการตัวเองได้ดีทุกอย่างมาก่อน ต้องมาเพิ่งยา แต่สุดท้ายผมก็ทำใจไว้แล้ว หากต้องพึ่งยาชั่วคราวผมก็ยอม หมอบอกว่าอาจต้องดูอาการ รักษาไปประมาณ 2 เดือน ช่วงนี้ให้ทำอะไรที่อยากทำ ให้ฝึกความคิด อย่าตรวจสรุปอะไรง่ายๆ เพราะส่วนใหญ่เราจะเครียดกับสิ่งที่เราคิดไปเอง หากเราไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดไปเองนั้นเป็นจริง นั่นก็หมายความว่า มันอาจจะไม่เป็นจริง และให้ฝึกตัวเองให้ยอมรับในได้ว่า ทุกคนในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่โกหกกันคนละนิดทั้งนั้นไม่ว่าใครก็ตาม มันเป็นสัจธรรม
ถึงตรงนี้แล้ว ผมขอแนะนำคนที่มีอาการเข้าข่ายสิ่งที่ผมกล่าวไปข้างต้น แนะนำให้อย่าลังเลที่จะพบจิตแพทย์ครับ เพราะนั้นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยครับ สำหรับใครที่กลัวคนอื่นจะมองว่าเราบ้า เราเป็นโรคจิต อย่าไปสนครับ เทคนิคของผมคือว่า เมื่อผมไปหาหมอแล้ว หลังจากนั้นผมชิงบอกทุกคนที่ผมรู้จักก่อนเลย ว่าผมไปพบจิตแพทย์มา ตอนนี้กินยาอยู่ 2 เดือนน่าจะโอเค เมื่อเราชิงบอกไปก่อน เราจะไม่อะไรกับเราครับ แต่หากคนเราเมื่อรู้เอง มันจะมาจู้จี้จุกจิกกับเรา จนทำให้เราคิดมาก และเป็นผิดต่อสุขภาพจิตเราเปล่าๆ ครับ และในเรื่องของผลข้างเคียงของยา ในช่วงแรกจะคอแห้งมากๆ ครับ แล้วจะรู้สึกหัวโล่งๆ ไม่คิดอะไร แต่ 2-3 อาทิตย์ให้หลังก็จะโอเคครับ ที่เหลือก็แค่ปรับความคิด และบอกคนรอบข้างในเขารู้ว่าตอนนี้เราเป็นอะไร และหวังว่าเขาคงจะเข้าใจและปฎิบัติให้เราอย่างถูกวิธีครับ นั่นคือซึ่งที่ผมทำ สำหรับใครมีข้อสงสัยอะไร ถามมาหลังใหม่ได้ครับผม
------------------------------
เข้าสู่ความเป็น Line sticker creator
และเมื่อผมเข้าสู่ช่วงว่างงานอย่างเต็มตัว จากนิสัยเดิมที่อยู่เฉยไม่ได้ เป็นไฮเปอร์หน่อยๆ ช่วงไหนว่างมากๆ ก็จะรู้สึกตัวเองไร้ค่า รายได้ก็ไม่มี สักวันคงไม่มีอันจะกิน จนทำให้ผมผุดความคิดที่จะเอางานอดิเรกของตัวเองมาสร้างรายได้ และนั่นก็คือ การวาดภาพ
มีบทความสั้นๆ จากเว็บนึงที่เป็นแรงบันดาลใจเริ่มต้นให้ผม (ลิ้งค์ : https://droidsans.com/line-creators-sticker-good-profit/) และด้วยความชื่นชอบในหมาย่นๆ ตั้งแต่เด็กๆ ผมเลยคิดจะวาดสติ้กเกอร์เป็นรูปหมาซะเลย สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้วาด ผมใช้ Ipad pro และ apple pencil วาดในแอพ Adobe draw ซึ่งเป็นแอพฟรี อุปกรณ์ทั้งหมดได้มาจากเงินสะสมสมัยเรียน ที่เป็นแผนที่ผมคิดไว้มาล่วงหน้าว่า หากจบมาทำงานแล้วไม่ชอบ หรือยังหางานไม่ได้ก็มีเงินทุนเล็กๆน้อยๆไปทำอะไรที่ตัวเองชอบ
และนี่คือการออกแบบแรกๆของผมครับ
เกริ่น...
เด็กจบใหม่หลายๆ คน โชคดีที่จบมาแล้วได้งานทำเลย อยากเป็นหัวหน้า อยากเป็นใหญ่ในเร็ววัน วาดฝันไว้ว่าจะเป็นวัยรุ่นพันล้านเหมือนใครเขา ใช่ครับ ผมคือหนึ่งในเด็กจบใหม่กลุ่มนี้ ผมจบมาด้วยโปรไฟล์ที่เด็กรุ่นเดียวกันบอกว่า "ใครจะสู้ได้" ทั้งประสบการณ์ฝึกงานที่มากกว่าใคร ผลงาน หรือกิจกรรมต่างๆที่ทำระหว่างเรียน รวมทั้งผลการเรียนที่อาจารย์เอ่ยปากชมมาตลอด และในตอนนี้ ใช่ครับ ผมเป็นคนตกงาน
ตั้งแต่จบมาเมื่อกลางปี หลังจากช่วงเวลาที่ทั้งฝึกงานไปด้วยเขียนธีสีสไปด้วย ผมได้พักสมองแค่ 2 อาทิตย์ และผมก็ได้งานในบริษัทใหญ่ ซึ่งจ้างในอัตราที่เด็กจบใหม่ต่างร้องว้าว ฝันที่วาดไว้ว่าอนาคตจะได้เติบโตที่นี้หากมีโอกาส ฝันที่วาดไว้ว่าเราจะเด่นจะดีจะดังเหมือนสมัยเรียน ได้จบลง เมื่อความจริงมันช่างแตกต่างเหลือเกิน สังคมการทำงาน เนื้องาน มันไม่ได้ enjoy อย่างที่ฝัน ความ productive และ proactive น้อยลง โดยที่ไม่สามารถนำกลับคืนมาได้ ความคิดที่ว่าเมื่อก่อนเราเคยเป็นหนึ่ง ตอนนี้เราเป็นใครก็ไม่รู้ มันตอกย้ำอยู่ในหัวสมองของผม ทำไมโลกนี้มันมีคนเห็นแก่ตัวเยอะเหลือเกิน จนความคิดสุดท้ายที่ผมไม่คิดว่าในชีวิตนี้ผมเคยคิด นั่นก็คือ เราเกิดมาทำไม เกิดมาเหนื่อยเปล่าๆ หากหลับไปแล้วหายไปจากโลกนี้ได้ มันก็จะดีหรอก... ได้เข้ามาในหัวผม
ใช่ครับ ความเครียด จากในเรื่องหลายๆเรื่องคนหลายๆคน และที่สำคัญจากตัวเองทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่เหมือนเดิม ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย มองทุกอย่างในแง่ลบ sensitive กับทุกคำพูด ร้องไห้ง่ายกับอะไรเล็กๆน้อยๆ ด่วนสรุปทุกคำพูดของทุกคน และมีแต่ความคิดที่ว่าคนอื่นจ้องแต่จะเอาผลประโยชน์จากตัวเรา ไม่มีใครจริงใจ โลกนี้มีแต่คนหลอกลวง โกหก คนทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เราเป็นคนที่คนอื่นนึกถึงตอนที่เขามีอยากได้อะไรเท่านั้น .... ผมรู้ตัวเอง และนั้นนำไปสู่การตัดสินใจเสริชหาข้อมูลเกี่ยวกับ โรคซึมเศร้า จนทำให้ผมรู้ว่า ผม"อาจจะ" เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้
หลังจากที่ทำการหาข้อมูลแล้ว ผมเลยสรุปว่า สมองผมควรจะพักเสียบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นผมคงบ้าไปจริงๆแน่ และ 1 อาทิตย์หลังจากผมลาออก ผมได้ตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ การตัดสินใจของผมง่ายมากเลยครับ ผมเสริชหาข้อมูลโรงพยาบาล หลังจากนั้นผมโทรนัดวันรุ่งขึ้นเข้าพบหมอเลย ผมไม่ได้ปรึกษาใครแม้แต่น้อย ผมไม่สนว่าใครจะมองว่าผมเป็นบ้า หรือยังไงก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครรักเรา เท่าตัวเราเอง
ใช่ครับ .. หลังจาก 1 ชม. ในการคุยกับจิตแพทย์ ผมเข้าข่ายมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่ได้เป็นโรค .. ผมแอบดีใจที่ผมยังไม่ได้เป็นโรคนี้ แต่แอบเสียใจเล็กน้อย ที่จำเป็นต้องกินยาต้านความเศร้า เพราะผมไม่เคยคิดว่าผมคนที่เคยจัดการตัวเองได้ดีทุกอย่างมาก่อน ต้องมาเพิ่งยา แต่สุดท้ายผมก็ทำใจไว้แล้ว หากต้องพึ่งยาชั่วคราวผมก็ยอม หมอบอกว่าอาจต้องดูอาการ รักษาไปประมาณ 2 เดือน ช่วงนี้ให้ทำอะไรที่อยากทำ ให้ฝึกความคิด อย่าตรวจสรุปอะไรง่ายๆ เพราะส่วนใหญ่เราจะเครียดกับสิ่งที่เราคิดไปเอง หากเราไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดไปเองนั้นเป็นจริง นั่นก็หมายความว่า มันอาจจะไม่เป็นจริง และให้ฝึกตัวเองให้ยอมรับในได้ว่า ทุกคนในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่โกหกกันคนละนิดทั้งนั้นไม่ว่าใครก็ตาม มันเป็นสัจธรรม
ถึงตรงนี้แล้ว ผมขอแนะนำคนที่มีอาการเข้าข่ายสิ่งที่ผมกล่าวไปข้างต้น แนะนำให้อย่าลังเลที่จะพบจิตแพทย์ครับ เพราะนั้นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยครับ สำหรับใครที่กลัวคนอื่นจะมองว่าเราบ้า เราเป็นโรคจิต อย่าไปสนครับ เทคนิคของผมคือว่า เมื่อผมไปหาหมอแล้ว หลังจากนั้นผมชิงบอกทุกคนที่ผมรู้จักก่อนเลย ว่าผมไปพบจิตแพทย์มา ตอนนี้กินยาอยู่ 2 เดือนน่าจะโอเค เมื่อเราชิงบอกไปก่อน เราจะไม่อะไรกับเราครับ แต่หากคนเราเมื่อรู้เอง มันจะมาจู้จี้จุกจิกกับเรา จนทำให้เราคิดมาก และเป็นผิดต่อสุขภาพจิตเราเปล่าๆ ครับ และในเรื่องของผลข้างเคียงของยา ในช่วงแรกจะคอแห้งมากๆ ครับ แล้วจะรู้สึกหัวโล่งๆ ไม่คิดอะไร แต่ 2-3 อาทิตย์ให้หลังก็จะโอเคครับ ที่เหลือก็แค่ปรับความคิด และบอกคนรอบข้างในเขารู้ว่าตอนนี้เราเป็นอะไร และหวังว่าเขาคงจะเข้าใจและปฎิบัติให้เราอย่างถูกวิธีครับ นั่นคือซึ่งที่ผมทำ สำหรับใครมีข้อสงสัยอะไร ถามมาหลังใหม่ได้ครับผม
------------------------------
เข้าสู่ความเป็น Line sticker creator
และเมื่อผมเข้าสู่ช่วงว่างงานอย่างเต็มตัว จากนิสัยเดิมที่อยู่เฉยไม่ได้ เป็นไฮเปอร์หน่อยๆ ช่วงไหนว่างมากๆ ก็จะรู้สึกตัวเองไร้ค่า รายได้ก็ไม่มี สักวันคงไม่มีอันจะกิน จนทำให้ผมผุดความคิดที่จะเอางานอดิเรกของตัวเองมาสร้างรายได้ และนั่นก็คือ การวาดภาพ
มีบทความสั้นๆ จากเว็บนึงที่เป็นแรงบันดาลใจเริ่มต้นให้ผม (ลิ้งค์ : https://droidsans.com/line-creators-sticker-good-profit/) และด้วยความชื่นชอบในหมาย่นๆ ตั้งแต่เด็กๆ ผมเลยคิดจะวาดสติ้กเกอร์เป็นรูปหมาซะเลย สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้วาด ผมใช้ Ipad pro และ apple pencil วาดในแอพ Adobe draw ซึ่งเป็นแอพฟรี อุปกรณ์ทั้งหมดได้มาจากเงินสะสมสมัยเรียน ที่เป็นแผนที่ผมคิดไว้มาล่วงหน้าว่า หากจบมาทำงานแล้วไม่ชอบ หรือยังหางานไม่ได้ก็มีเงินทุนเล็กๆน้อยๆไปทำอะไรที่ตัวเองชอบ
จากที่ถามเพื่อนๆ ที่นิยมซื้อ line sticker พวกเขาบอกว่า ส่วนใหญ่จะชอบซื้ออันที่น่ารักๆ หรือไม่ก็กวนๆไปเลย บางครั้งชอบแบบไม่มีข้อความมากกว่า เพราะสามารถใช้ท่าทางของสติ้กเกอร์ได้ในหลายๆ สถานการณ์
จากข้อมูลที่ถามๆมา ทำให้แบบแรกๆที่วาดเป็นประมาณนี้ครับ
หลังจากที่วาดเสร็จ ผมจะให้แฟนผมซึ่งเป็นสาวที่นิยมซื้อสติ้กเกอร์ ทำการ QC ก่อนครับ 5555 เขาชอบแนวแบบ 2 ตัวด้านบนสุด กับตัวสุดท้ายด้านขวาล่างสุด และเมื่อผมได้รับคำแนะนำจากแฟนผู้เป็นที่เคารพ ผมเลยตัดสินใจวาดในสไตล์ของตัวสุดท้ายครับ เพราะ วาดง่ายกว่าสองตัวด้านบน เพราะรายละเอียดการลงสีน้อยกว่า อีกทั้งลายเส้นยังน้อยกว่าอีกด้วย ซึ่งเหมาะแก่การวาดในระยะยาวของผม .. ทุกวันนี้แฟนยังแอบแซว ว่าทำไมไม่วาดแบบสองตัวบนอยู่เลยครับ 555
ผมได้ปรับรูปร่างของเจ้าหมาตัวนี้นิดหน่อยจนได้ตัวแรกอย่างเป็นทางการมาเป็นประมาณนี้ครับ
สำหรับจำนวนของสติ้กเกอร์ ผมเลือก 24 ตัว จากตัวเลือกทั้งหมด 8,16,24,32,40 ตัว เพราะผมจากที่สังเกต จำนวน 24 ตัวเป็นจำนวนที่ creator ส่วนใหญ่วาดกันครับ คิดว่าไม่มากและไม่น้อยเกินไป สำหรับคนซื้อที่จะตัดสินใจซื้อ
คราวนี้มาถึงการตั้งชื่อตัวสติกเกอร์ ซึ่งผมนั้นอยากให้มีคำว่า Puggy อยู่ในชื่อด้วยเพราะว่าผมตั้งใจวาดหมาพันธุ์ Pug เนื่องจากหมาของผมนั้นตัวอวบๆ ผมเลยใช้ชื่อ Piggy puggy ครับ
ต่อ..