จริง ๆ แล้วเราไม่ได้มีแผนจะไปอะสุกะเลย ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ซะด้วยซ้ำ แต่เราดูหนังสือเที่ยวญี่ปุ่นเล่มใหม่เล่น ๆ แล้วเจอกล่องเล็ก ๆ แถว ๆ หน้าของนารา แล้วบอกทำนองว่า Asuka น่าแวะไปนะ เพราะก่อนมีนารา ก่อนมีเกียวโต มีอะสุกะมาก่อน หลายคนมองว่าอะสุกะและซากุไรในจังหวัดนาราเป็นต้นกำเนิดของญี่ปุ่นด้วยซ้ำ เราเลยหาข้อมูลในกูเกิ้ลแล้วเจอหินน่าสนใจหลายก้อนในอะสุกะ หา ๆ ไป เดี๋ยว ๆ แถวอะสุกะมีดราก้อนบอลของจริงด้วย ห๊ะ หา ๆ เพิ่ม สตอเบอร์รี่จากอะสุกะอร่อยมากด้วย และหา ๆ ไปในไอจีเจอรุปเหล่านี้ค่ะ
เป็นนาที่ปลูกดอกไม้แซมแถวคันนา และหุ่นไล่กาคืออลังมาก แบบนี้ต้องจัดเลย ไปมันทั้งอะสุกะและซากุไรนั่นแหละ
แต่ช้าก่อน เราไปหน้าหนาว (เราไปอะสุกะวันที่ 11 ธันวาคม) ซึ่งไม่มีนา ฮ่า ๆ ไม่มีหุ่นไล่กา เอิ๊ก ๆ สตอเบอร์รี่ก็ยังไม่ออก อ่าว แต่เราว่าแค่ไปเดินดูความชนบท ดูหิน ดูดราก้อนบอลก็คุ้มแล้ว ดีซะอีกที่ไม่มีนา เพราะจะได้ไปดูหินให้นานขึ้น
แต่เนื่องจากว่าเราเจออะสุกะตอนใกล้จะเดินทางแล้ว ซึ่งจัดแผนยังไงก็ต้องไปอะสุกะจากเกียวโต (เพราะเราจองนอนเกียวโตไว้สามวันและตอนนั้นยกเลิกที่พักไม่ทันแล้ว) ทำให้การเดินทางไปอะสุกะใช้เวลานานและแพงกว่าความจำเป็น (จากสถานีเกียวโตไปสถานีอะสุกะค่าใช้จ่ายเที่ยวละ 960 เยนและใช้เวลานานกว่าชั่วโมงค่ะ) เราเลยซื้อ Kintetsu Rail Pass แบบสองวัน เพราะแบบวันเดียวไม่ครอบคลุมพอค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าแบบสองวันไม่คุ้มเพราะไป-กลับแบบปกติไม่ถึงสองพันเยน พอสองจิตสองใจเลยจะใช้ทั้งสองวัน โดยวันที่สองจะไปแถวฮะเสะ เพราะมีงานที่วัด Hasedera พอดี พอรวมสองวันแบบนี้เลยคุ้มมากค่ะ เพราะมีส่วนลดค่าเข้าด้วย
วันที่ 10 ธันวาคม เราลองดูพยากรณ์อากาศ เค้าก็ทำนายว่าฝนจะตกที่อะสุกะ แล้วเราก็พบว่าเราลืมเอาแผนคร่าว ๆ ว่าจะไปตรงไหนบ้างติดตัวมาด้วย เราเลยกะไปชิลเอาดาบหน้าเลยแล้วกัน ฮ่า ๆ เราไม่ได้ซื้อซิมหรือ pocket wifi ไปค่ะ เพราะเวลาเราไปเที่ยวเราการออฟไลน์บ้าง ออนไลน์บ้าง (ตอนมีไวไฟเท่านั้น ฮ่า ๆ) เรายังชอบการเที่ยวแบบถามทางไปเรื่อย ๆ ไม่รู้โน่นนี่บ้าง เจอเรื่องไม่คาดคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง พอวันที่ 11 ธันวาคมนี่ผิดแผนหมดเลยเพราะเราง่วงมาก (เราถึงญี่ปุ่นเช้าวันที่ 10 โดยไม่ได้นอนในเครื่องเลยเพราะมัวแต่ดูหนัง ฮ่า ๆ และคืนวันที่ 10 ก็นอนดึกเลยง่วงสะสมมั้งคะ) เราเป็นสายของหวานเลยซื้อน้ำอัดลม (ขวดสวยเนอะ เข้าบรรยากาศใกล้คริสต์มาส ซื้อเพราะขวดล้วน ๆ ฮ่า ๆ รสชาติคล้ายสไปรท์นะคะ) กับโมจิมาทาน โอย ทานแล้วง่วงหนักเลยค่ะ หลับสนิท ฮ่า ๆ
เราหลับในรถตรงสถานี Kashiharajingumae นานมาก คือหลับในรถไฟนะคะ น่าอนาถใจมาก ดีที่รถจอดนานมาก ไม่งั้นเราคงตื่นอีกทีที่เกียวโตแบบงง ๆ ฮ่า ๆ เลยทำให้ตกรถที่จะต่อถึงสองขบวน ฮ่า ๆ รู้ตัวอีกทีต้องรออีกครึ่งชั่วโมงแน่ะค่ะกว่ารถจะมา ภาพนี้คือรถขบวนพิเศษที่สถานี Kashiharajingumae
คราวนี้เราเลยเปลี่ยนแผนหมดเลย เพราะตอนแรกเราจะลงสถานี Okadera แล้ววนไปสถานี Asuka แต่ตอนนั้น 9 โมงกว่าแล้ว ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่สถานี Asuka เปิดแล้ว เราเลยไปลงสถานี Asuka ค่ะ ซึ่งเราก็มองว่าตลกมาก ถ้าเราไม่หลับจนตกรถ เราอาจจะไม่ได้เจออะไรที่อะสุกะเลยเพราะตอนแรกเรากะจะไปถามทางกับเจ้าหน้าที่ของสถานี Okadera ค่ะ ตอนกลับถึงรู้ว่าสถานี Okadera ไม่มีเจ้าหน้าที่ค่ะ ฮ่า ๆ ถ้าเราเริ่มที่ สถานี Okadera คงเงิบเพราะเนตก็ไม่มี คนจะถามก็ไม่มี ชีวิตดีย์ที่หลับจนตกรถค่ะ การเดินเล่นของเราในวันนี้ (ตามจริง) เป็นตามนี้ค่ะ ระยะทาง 10 กม นิด ๆ เดินง่ายเพราะที่ราบทั้งนั้นค่ะ มีเนินนิดเดียวตรงวัด Okadera ค่ะ
เริ่มต้นที่ Asuka Station -> Coccolo Cafe (コッコロ*カフェ) --> Saruishi --> Kameishi --> Ishibutai --> Café Kotodama (cafe ことだま) --> Okadera Temple --> Itabuki Palace --> Masuda no Iwafune --> Okadera Station
ถึงอะสุกะแล้วค่ะ เย้
เดินออกจากสถานีแล้วด้านขวาจะเป็นหุ่นไล่กา และเจอหัวไชเท้าห้อยไว้ต้อนรับ ห้อยไว้ทำไมเราไม่ทราบได้ และเราก็ไม่เข้าใจว่าจะถ่ายรูปไว้ทำไม ฮ่า ๆ
ด้านซ้ายจะเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวค่ะ เจ้าหน้าที่ดีใจมากที่เจอเราเพราะไม่ค่อยมีใครบ้ามาเที่ยวหน้านี้กัน ให้เอกสารมาเยอะมาก รวมทั้งแผนที่ด้วยค่ะ ให้คำแนะนำดีมาก ๆ เลยแต่ภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องนะคะ ดีที่มีไวไฟได้พอช่วยแปลภาษากัน ฮ่า ๆ เราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ค่ะ เราไม่ได้บ้านะที่มาเดินดุ่ม ๆ คนเดียวในชนบทซึ่งไม่น่าจะเจอใครพูดภาษาอังกฤษได้ในแบบไม่มีเนต ไม่มีโปรแกรมช่วยแปล และเตรียมตัวมาอย่างหลวม ๆ มาก เราไปเดินดุ่ม ๆ ในที่ ๆ คนในท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มาหลายหนแล้ว และเจอสิ่งที่จะตามหาทุกครั้ง สำหรับเรานั้นความเมตตาและความโอบอ้อมอารีของมนุษย์นั้นช่วยเราได้กว่าภาษามาก และการพยายามสื่อสารกันทั้ง ๆ ที่ไร้ภาษาที่เข้าใจกันได้น่ะสนุกออก และเรายังไม่เคยเจอโจร หรือเหตุการณ์ร้าย ๆ สักครั้งในการเดิน ทางคนเดียว เราเจอเรื่องที่ดีต่อใจมาก ๆ ตลอดตอนเดินทางคนเดียวเราเลยไม่กังวลอะไร และจริง ๆ ก็แอบหวังให้เจอเรื่องแย่ ๆ บ้าง วันหลังจะได้เข็ด แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เจอเลยค่ะ การแวะศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดีที่ว่าคุณเจ้าหน้าที่มีอะไรดี ๆ แนะนำ และช่วยทำให้แผนที่เราวางเป็นจริงได้มากขึ้นอีกด้วย
อ้อ เราลืมบอกไป สำหรับคนที่ไม่ชอบเดิน มีรถบัสบริการนักท่องเที่ยวนะคะ และสำหรับคนที่มี Kintetsu Rail Pass จะได้ bus pass ในเขตนาราอีกด้วย รถบัสในอะสุกะก็ขึ้นฟรีนะคะ ดีมาก ๆ และคนที่ชอบปั่นจักรยานก็มีจุดให้บริการค่ะ เราน่ะชอบเดิน เราเลยเดิน ฮ่า ๆ อีกเรื่องที่ลืมบอกไปคืออะสุกะมีทั้ง application และเวป
http://www.asukanavi.jp/ ช่วยในการเที่ยวค่ะ ดีมาก ๆ เลย โดยเฉพาะเวปซึ่งมีภาษาอังกฤษด้วย ดีกว่ารีวิวส่วนใหญ่มาก เราก็หาของกินมาล่วงหน้าจากเวปเช่นกัน ฮ่า ๆ คือเรื่องกินเรื่องใหญ่อ่ะนะ
[CR] เดินเล่นแบบเหมือนจะหลงแต่ไม่หลง หาหินหาดราก้อนบอลงง ๆ แบบฟิน ๆ ที่ Asuka (Nara)
เป็นนาที่ปลูกดอกไม้แซมแถวคันนา และหุ่นไล่กาคืออลังมาก แบบนี้ต้องจัดเลย ไปมันทั้งอะสุกะและซากุไรนั่นแหละ
แต่ช้าก่อน เราไปหน้าหนาว (เราไปอะสุกะวันที่ 11 ธันวาคม) ซึ่งไม่มีนา ฮ่า ๆ ไม่มีหุ่นไล่กา เอิ๊ก ๆ สตอเบอร์รี่ก็ยังไม่ออก อ่าว แต่เราว่าแค่ไปเดินดูความชนบท ดูหิน ดูดราก้อนบอลก็คุ้มแล้ว ดีซะอีกที่ไม่มีนา เพราะจะได้ไปดูหินให้นานขึ้น
แต่เนื่องจากว่าเราเจออะสุกะตอนใกล้จะเดินทางแล้ว ซึ่งจัดแผนยังไงก็ต้องไปอะสุกะจากเกียวโต (เพราะเราจองนอนเกียวโตไว้สามวันและตอนนั้นยกเลิกที่พักไม่ทันแล้ว) ทำให้การเดินทางไปอะสุกะใช้เวลานานและแพงกว่าความจำเป็น (จากสถานีเกียวโตไปสถานีอะสุกะค่าใช้จ่ายเที่ยวละ 960 เยนและใช้เวลานานกว่าชั่วโมงค่ะ) เราเลยซื้อ Kintetsu Rail Pass แบบสองวัน เพราะแบบวันเดียวไม่ครอบคลุมพอค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าแบบสองวันไม่คุ้มเพราะไป-กลับแบบปกติไม่ถึงสองพันเยน พอสองจิตสองใจเลยจะใช้ทั้งสองวัน โดยวันที่สองจะไปแถวฮะเสะ เพราะมีงานที่วัด Hasedera พอดี พอรวมสองวันแบบนี้เลยคุ้มมากค่ะ เพราะมีส่วนลดค่าเข้าด้วย
วันที่ 10 ธันวาคม เราลองดูพยากรณ์อากาศ เค้าก็ทำนายว่าฝนจะตกที่อะสุกะ แล้วเราก็พบว่าเราลืมเอาแผนคร่าว ๆ ว่าจะไปตรงไหนบ้างติดตัวมาด้วย เราเลยกะไปชิลเอาดาบหน้าเลยแล้วกัน ฮ่า ๆ เราไม่ได้ซื้อซิมหรือ pocket wifi ไปค่ะ เพราะเวลาเราไปเที่ยวเราการออฟไลน์บ้าง ออนไลน์บ้าง (ตอนมีไวไฟเท่านั้น ฮ่า ๆ) เรายังชอบการเที่ยวแบบถามทางไปเรื่อย ๆ ไม่รู้โน่นนี่บ้าง เจอเรื่องไม่คาดคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง พอวันที่ 11 ธันวาคมนี่ผิดแผนหมดเลยเพราะเราง่วงมาก (เราถึงญี่ปุ่นเช้าวันที่ 10 โดยไม่ได้นอนในเครื่องเลยเพราะมัวแต่ดูหนัง ฮ่า ๆ และคืนวันที่ 10 ก็นอนดึกเลยง่วงสะสมมั้งคะ) เราเป็นสายของหวานเลยซื้อน้ำอัดลม (ขวดสวยเนอะ เข้าบรรยากาศใกล้คริสต์มาส ซื้อเพราะขวดล้วน ๆ ฮ่า ๆ รสชาติคล้ายสไปรท์นะคะ) กับโมจิมาทาน โอย ทานแล้วง่วงหนักเลยค่ะ หลับสนิท ฮ่า ๆ
เราหลับในรถตรงสถานี Kashiharajingumae นานมาก คือหลับในรถไฟนะคะ น่าอนาถใจมาก ดีที่รถจอดนานมาก ไม่งั้นเราคงตื่นอีกทีที่เกียวโตแบบงง ๆ ฮ่า ๆ เลยทำให้ตกรถที่จะต่อถึงสองขบวน ฮ่า ๆ รู้ตัวอีกทีต้องรออีกครึ่งชั่วโมงแน่ะค่ะกว่ารถจะมา ภาพนี้คือรถขบวนพิเศษที่สถานี Kashiharajingumae
คราวนี้เราเลยเปลี่ยนแผนหมดเลย เพราะตอนแรกเราจะลงสถานี Okadera แล้ววนไปสถานี Asuka แต่ตอนนั้น 9 โมงกว่าแล้ว ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่สถานี Asuka เปิดแล้ว เราเลยไปลงสถานี Asuka ค่ะ ซึ่งเราก็มองว่าตลกมาก ถ้าเราไม่หลับจนตกรถ เราอาจจะไม่ได้เจออะไรที่อะสุกะเลยเพราะตอนแรกเรากะจะไปถามทางกับเจ้าหน้าที่ของสถานี Okadera ค่ะ ตอนกลับถึงรู้ว่าสถานี Okadera ไม่มีเจ้าหน้าที่ค่ะ ฮ่า ๆ ถ้าเราเริ่มที่ สถานี Okadera คงเงิบเพราะเนตก็ไม่มี คนจะถามก็ไม่มี ชีวิตดีย์ที่หลับจนตกรถค่ะ การเดินเล่นของเราในวันนี้ (ตามจริง) เป็นตามนี้ค่ะ ระยะทาง 10 กม นิด ๆ เดินง่ายเพราะที่ราบทั้งนั้นค่ะ มีเนินนิดเดียวตรงวัด Okadera ค่ะ
เริ่มต้นที่ Asuka Station -> Coccolo Cafe (コッコロ*カフェ) --> Saruishi --> Kameishi --> Ishibutai --> Café Kotodama (cafe ことだま) --> Okadera Temple --> Itabuki Palace --> Masuda no Iwafune --> Okadera Station
ถึงอะสุกะแล้วค่ะ เย้
เดินออกจากสถานีแล้วด้านขวาจะเป็นหุ่นไล่กา และเจอหัวไชเท้าห้อยไว้ต้อนรับ ห้อยไว้ทำไมเราไม่ทราบได้ และเราก็ไม่เข้าใจว่าจะถ่ายรูปไว้ทำไม ฮ่า ๆ
ด้านซ้ายจะเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวค่ะ เจ้าหน้าที่ดีใจมากที่เจอเราเพราะไม่ค่อยมีใครบ้ามาเที่ยวหน้านี้กัน ให้เอกสารมาเยอะมาก รวมทั้งแผนที่ด้วยค่ะ ให้คำแนะนำดีมาก ๆ เลยแต่ภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องนะคะ ดีที่มีไวไฟได้พอช่วยแปลภาษากัน ฮ่า ๆ เราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ค่ะ เราไม่ได้บ้านะที่มาเดินดุ่ม ๆ คนเดียวในชนบทซึ่งไม่น่าจะเจอใครพูดภาษาอังกฤษได้ในแบบไม่มีเนต ไม่มีโปรแกรมช่วยแปล และเตรียมตัวมาอย่างหลวม ๆ มาก เราไปเดินดุ่ม ๆ ในที่ ๆ คนในท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มาหลายหนแล้ว และเจอสิ่งที่จะตามหาทุกครั้ง สำหรับเรานั้นความเมตตาและความโอบอ้อมอารีของมนุษย์นั้นช่วยเราได้กว่าภาษามาก และการพยายามสื่อสารกันทั้ง ๆ ที่ไร้ภาษาที่เข้าใจกันได้น่ะสนุกออก และเรายังไม่เคยเจอโจร หรือเหตุการณ์ร้าย ๆ สักครั้งในการเดิน ทางคนเดียว เราเจอเรื่องที่ดีต่อใจมาก ๆ ตลอดตอนเดินทางคนเดียวเราเลยไม่กังวลอะไร และจริง ๆ ก็แอบหวังให้เจอเรื่องแย่ ๆ บ้าง วันหลังจะได้เข็ด แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เจอเลยค่ะ การแวะศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดีที่ว่าคุณเจ้าหน้าที่มีอะไรดี ๆ แนะนำ และช่วยทำให้แผนที่เราวางเป็นจริงได้มากขึ้นอีกด้วย
อ้อ เราลืมบอกไป สำหรับคนที่ไม่ชอบเดิน มีรถบัสบริการนักท่องเที่ยวนะคะ และสำหรับคนที่มี Kintetsu Rail Pass จะได้ bus pass ในเขตนาราอีกด้วย รถบัสในอะสุกะก็ขึ้นฟรีนะคะ ดีมาก ๆ และคนที่ชอบปั่นจักรยานก็มีจุดให้บริการค่ะ เราน่ะชอบเดิน เราเลยเดิน ฮ่า ๆ อีกเรื่องที่ลืมบอกไปคืออะสุกะมีทั้ง application และเวป http://www.asukanavi.jp/ ช่วยในการเที่ยวค่ะ ดีมาก ๆ เลย โดยเฉพาะเวปซึ่งมีภาษาอังกฤษด้วย ดีกว่ารีวิวส่วนใหญ่มาก เราก็หาของกินมาล่วงหน้าจากเวปเช่นกัน ฮ่า ๆ คือเรื่องกินเรื่องใหญ่อ่ะนะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น