มีธุระต้องเดินทางไปสถานทูตไทยที่ลอนดอน เสร็จธุระเร็วกว่าที่คาดเลยถือโอกาสแวะไปนั่งอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติของอังกฤษแหล่งรวบรวมข้อมูลข่าวสารมากมายชนิดล้นตัวอาคาร จนรัฐบาลต้องหาที่เก็บหนังสือและเอกสารโดยขุดเจาะอุโมงค์ขนาดยักษ์ติดตั้งแอร์และเครื่องทำความร้อนเพื่อปรับอุณภูมิให้คงที่เพื่อรักษาเอกสารสำคัญเอาไว้ เอกสารต่างๆ ถูกรักษาความเป็น original บางชุดอย่างทรุดโทรมมากโดยเฉพาะด้านประวัติศาสตร์หาอ่านได้แค่ก็อปปี้แต่ก็มาจากต้นฉบับจริงโดยไม่มีฤาษีคอยแปลสารหรือ sex up แต่อย่างใด
สำหรับประเทศไทย การเก็บรักษาข้อมูลตั้งแต่อดีตมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นนี่เองล้วนตกอยู่ในมือของราชสำนัก กล่าวคือราชสำนักจะทำหน้าที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญศาสตร์และความรู้ต่างๆ มาเขียนตำราแล้วเก็บรักษาไว้ที่หอหลวงและถูกทำให้เชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยสามัญชนไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงและนำมาเผยแพร่ได้ หรือถ้าหากเข้าถึงและนำมาเผยแพร่ได้ เมื่อทราบในภายหลัง ตำราหรือเอกสารก็ต้องถูกทำลาย อย่างกรณีนายโหมด อมาตยกุล ที่นำกฏหมายตราสามดวงนำมาพิมพ์ขายเพื่อเผยแพร่ครั้งแรก หนังสือต้องถูกเผาทิ้งทันที ดังนั้นข้อมูลศาสตร์ต่างๆ พงศาวดาร จดหมายเหตุ ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นไม่อาจเข้าถึงได้
ในความเห็นส่วนตัวผมๆ เห็นว่า ต่อมาเมื่อข้อมูลเหล่านั้นถูกท้าทายจากชาวตะวันตกที่เริ่มทะลักเข้ามาในช่วงปลายรัชกาลที่สามโดยเฉพาะในช่วงร.๔ ทางราชสำนักก็เริ่มค่อยๆ ที่จะเผยแพร่ข้อมูลที่มีอยู่ออกมาบ้าง อย่างกรณีหมอบรัดเลย์ (ที่มีโรงพิมพ์ของตัวเอง) นำกฏหมายตราสามดวงมาพิมพ์ขาย ทางราชสำนักก็ไม่ได้กีดกันหรือทำลายเหมือนอย่างกรณีของนายโหมด อมาตยกุลซึ่งเป็นคนไทยทำมาก่อนหน้านี้ หมอสมิธชาวอังกฤษก็ร่ำรวยจากการพิมพ์ “พระอภัยมณี” ออกมาจำหน่าย
ผมคาดเดาเอาเองว่า พงศาวดารและเกร็ดประวัติศาสตร์ไทยพึ่งจะเล็ดลอดออกมาสู่สายตาคนไทยจริงๆ ไม่น่าเกินร้อยห้าสิบปี และเป็นพงศาวดารที่ผ่านการ “ชำระ” จากพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยก่อนที่จะถูกพิมพ์ออกมาเผยแพร่ด้วยไม่ใช่จากต้นฉบับด้วย ส่วนต้นฉบับหรือตามสำนวนอาจารย์นิธิที่เรียกว่า “ฉบับสกปรก” หรือก็อปปี้นั้นยังคงเก็บรักษาไว้โดยไม่ให้มีการเข้าถึงได้อย่างง่ายๆ (ต้องผ่านขั้นตอนขออนุญาตอย่างเป็นทางการประมาณนั้น)
โดยส่วนตัวมองว่า การที่จะเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี การเมือง ของชนชาติตัวเองอย่างลึกซึ้งเพื่อการวิวัฒน์นั้น ควรที่คนชนชาตินั้นจะได้รับรู้เรื่อง ความเป็นไป และการเปลี่ยนแปลง ของแต่ละยุคแต่ละสมัยโดยถ่องแท้จากเอกสารต้นฉบับที่บรรพชนทิ้งเป็นมรดกเอาไว้ เหมือนชนชาติอังกฤษที่เรียนรู้รากเง้าของตัวเองจากข้อเท็จและข้อจริง หากไม่ใช่จากเอกสารที่ผ่านการ “ชำระ”จากภาครัฐเหมือนประเทศไทย (พูดอย่างนี้จะโดนครหาว่าชังชาติหรือเปล่า? )
ตกๆ หล่นๆ ขออภัยนะครับ เขียนสดๆ ไปเรื่อยเปื่อย นอนไม่หลับ...
….วัฒนธรรมข้อมูล.../วัชรานนท์
สำหรับประเทศไทย การเก็บรักษาข้อมูลตั้งแต่อดีตมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นนี่เองล้วนตกอยู่ในมือของราชสำนัก กล่าวคือราชสำนักจะทำหน้าที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญศาสตร์และความรู้ต่างๆ มาเขียนตำราแล้วเก็บรักษาไว้ที่หอหลวงและถูกทำให้เชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยสามัญชนไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงและนำมาเผยแพร่ได้ หรือถ้าหากเข้าถึงและนำมาเผยแพร่ได้ เมื่อทราบในภายหลัง ตำราหรือเอกสารก็ต้องถูกทำลาย อย่างกรณีนายโหมด อมาตยกุล ที่นำกฏหมายตราสามดวงนำมาพิมพ์ขายเพื่อเผยแพร่ครั้งแรก หนังสือต้องถูกเผาทิ้งทันที ดังนั้นข้อมูลศาสตร์ต่างๆ พงศาวดาร จดหมายเหตุ ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นไม่อาจเข้าถึงได้
ในความเห็นส่วนตัวผมๆ เห็นว่า ต่อมาเมื่อข้อมูลเหล่านั้นถูกท้าทายจากชาวตะวันตกที่เริ่มทะลักเข้ามาในช่วงปลายรัชกาลที่สามโดยเฉพาะในช่วงร.๔ ทางราชสำนักก็เริ่มค่อยๆ ที่จะเผยแพร่ข้อมูลที่มีอยู่ออกมาบ้าง อย่างกรณีหมอบรัดเลย์ (ที่มีโรงพิมพ์ของตัวเอง) นำกฏหมายตราสามดวงมาพิมพ์ขาย ทางราชสำนักก็ไม่ได้กีดกันหรือทำลายเหมือนอย่างกรณีของนายโหมด อมาตยกุลซึ่งเป็นคนไทยทำมาก่อนหน้านี้ หมอสมิธชาวอังกฤษก็ร่ำรวยจากการพิมพ์ “พระอภัยมณี” ออกมาจำหน่าย
ผมคาดเดาเอาเองว่า พงศาวดารและเกร็ดประวัติศาสตร์ไทยพึ่งจะเล็ดลอดออกมาสู่สายตาคนไทยจริงๆ ไม่น่าเกินร้อยห้าสิบปี และเป็นพงศาวดารที่ผ่านการ “ชำระ” จากพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยก่อนที่จะถูกพิมพ์ออกมาเผยแพร่ด้วยไม่ใช่จากต้นฉบับด้วย ส่วนต้นฉบับหรือตามสำนวนอาจารย์นิธิที่เรียกว่า “ฉบับสกปรก” หรือก็อปปี้นั้นยังคงเก็บรักษาไว้โดยไม่ให้มีการเข้าถึงได้อย่างง่ายๆ (ต้องผ่านขั้นตอนขออนุญาตอย่างเป็นทางการประมาณนั้น)
โดยส่วนตัวมองว่า การที่จะเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี การเมือง ของชนชาติตัวเองอย่างลึกซึ้งเพื่อการวิวัฒน์นั้น ควรที่คนชนชาตินั้นจะได้รับรู้เรื่อง ความเป็นไป และการเปลี่ยนแปลง ของแต่ละยุคแต่ละสมัยโดยถ่องแท้จากเอกสารต้นฉบับที่บรรพชนทิ้งเป็นมรดกเอาไว้ เหมือนชนชาติอังกฤษที่เรียนรู้รากเง้าของตัวเองจากข้อเท็จและข้อจริง หากไม่ใช่จากเอกสารที่ผ่านการ “ชำระ”จากภาครัฐเหมือนประเทศไทย (พูดอย่างนี้จะโดนครหาว่าชังชาติหรือเปล่า? )
ตกๆ หล่นๆ ขออภัยนะครับ เขียนสดๆ ไปเรื่อยเปื่อย นอนไม่หลับ...