ต้นฉบับจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pongsatorn.com/%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD/
ถ้าพูดถึงปีใหม่ญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่จะอดพูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ "ถุงโชคดี"
"ถุงโชคดี" (Lucky Bag) หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Fukubukuro ก็คือถุงที่ภายในบรรจุของต่าง ๆ ไว้มากมาย
แล้วขายในราคาที่น้อยกว่ามูลค่าของในถุงเช่น ราคาถุง 2,000 เยน แต่ราคาของข้างในอาจจะอยู่ที่ราคา 3,000-4,000 เยน หรือมากกว่านี้แล้วแต่ถุงที่เราได้ครับ
ซึ่งปัจจุบัน ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของถุงโชดดีไปบ้าง เช่น เปิดเผยของในถุงว่ามีอะไรบ้างเป็นการจูงใจผู้ซื้ออีกทาง
เรามาดูกันครับว่าเจ้า"ถุงโชคดี" เนี่ยมีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง เริ่มจากข้อดีก่อน
1. ได้ซื้อของในราคาสุดคุ้ม
แน่นอนว่าเราจะได้ของมากกว่ามูลค่าที่เราจ่ายไป จะคุ้มมาก คุ้มน้อยแล้วแต่ดวง แต่คุ้มแน่นอนครับ
ข้างในถุงโชคดี Disney
2. ได้ลุ้น
การได้ลุ้น ได้วัดดวง เราจะรู้สนุกว่าเดินเข้าไปซื้อธรรมดา ๆ เป็นไหน ๆ
3. limited edition
ถุงโชคดีแต่ละร้านมีจำนวนจำกัด แถมบางร้านจะสร้างความพิเศษให้กับถุงโชคดีเข้าไปอีก โดยมีสินค้าที่ทำมาเพื่อบรรจุในถุงโชคดีโดยเฉพาะด้วย จูงใจสุด ๆ
4.ช๊อปสนุก บรรยากาศครึกครื่น คึกคัก
บรรยากาศช่วงนั้น จะเต็มไปด้วยความสนุกครับ พอถึงวันขาย(ส่วนใหญ่จะเริ่มวันที่ 2 ) ทุกๆร้านจะพร้อมใจกันเข็นถุงโชคดีมาหน้าร้าน พนักงานจะตะโกนเรียกลูกค้ากันอย่างแข็งขัน
5.ฟินนน
การได้ซื้อถุงโชคดีที่เราตั้งใจไว้ เราจะรู้สึกฟิน เหมือนได้ทำภารกิจสำเร็จ ถือถุงโชดดีเดินด้วยความภาคภูมิใจ เย้ !!
พูดถึงข้อดีมาเยอะแล้ว เรามาดูข้อเสียของ
"ถุงโชคดี" กันบ้าง
1.ช่วงปีใหม่ ตั๋วเครื่องบินแพง
เนื่องจากว่าถุงโชคดีจะมีขายในช่วงปีใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ในบางร้าน และวันที่ 2 เกือบทุกร้าน ทำให้เราต้องไปญี่ปุ่นช่วงปีใหม่
ซึ่งตั๋วเครื่องบินช่วงนั้นจะแพงเป็นพิเศษ แถมโปรโมชั่นก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลยอีกต่างหาก
2.ช่วงปีใหม่ โรงแรมหายาก + ราคาสูง
ต่อเนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินเลย ช่วงปีใหม่ ราคาที่พักต่าง ๆ จะขึ้นสูงว่าปกติ แถมเต็มเร็วด้วย ใครที่คิดจะไปซื้อถุงโชคดีอาจจะต้องรีบจองโรงแรมที่อยากพักล่วงหน้ากันนานๆเลย
ไม่งั้นได้ย้ายโรงแรมนอนทุกวันตลอดทริปแน่
3.ราคาถุงโชคดี(แอบ)สูง
ราคาของถุงโชคดีทั่วไปจะมีราคาอยุ่ที 20,000 เยน 10,000 เยน 5,000 เยนตามลำดับ
ถ้าเป็นร้านขนม ร้านของเล่น ก็อาจจะเจอราคาลดลงมา่เช่น 1,000 - 3,000 เยน
จะหยิบที อาจะจะต้องมีคิดนิดนึง ถึงแม้จะเป็นร้านหรือยี่ห้อที่เราชอบก็เถอะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไรซะด้วยซฺิ (การลงทุนมีความเสี่ยง)
4.ลงทุนอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงแรง + ลงเวลาด้วย
ถุงโชคดีแต่ละร้านมีจำนวนจำกัด ซึ่งยังไงก็ไม่พอกับความต้องการแน่ ๆ
การแข่งขัน แก่งแย่งจึงเกิดขึ้น ภาพของแถวยาวที่รอต่อคิวเพื่อซื้อถุงโชคดีมีให้เห็นเป็นปกติ
ยิ่งร้านดัง ๆ แถวก็จะยิ่งยาว ซึ่งเราต้องตื่นแต่เช้า หรือต้องมาต่อแถวตั้งแต่คืนก่อนวันขายเหมือนคนอื่นๆด้วยเช่นกัน
การต้องตื่นแต่เช้าและมายืนต่อแถวท่ามกลางอากาศหนาว ๆ เป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลย
5.คุ้ม...แต่ไม่ได้ใช้ สุดท้ายก็ไม่คุ้ม
หลังจากที่แกะถุงโชคดีดูข้างในเรียบร้อย ของในถุงมูลค่ามากว่าที่เราซื้อแน่
แต่ของที่เราได้มา อาจจะเป็นของที่เราไม่อยากได้ เจอของตกรุ่น สีไม่สวย แบบไม่โดน ก็เป็นได้ครับ
ใครที่สนใจจะมา shopping ถุงโชคดี ลองอ่านและพิจารณาดูนะครับผม ส่วนตัว อยากให้ลองมาสัมผัสบรรยากาศกันสักครั้งหนึ่งนะครับผม
ถุงโชคดี ดีจริงหรือ? มาดูข้อดีและข้อเสียของถุงโชคดีกัน
ต้นฉบับจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วขายในราคาที่น้อยกว่ามูลค่าของในถุงเช่น ราคาถุง 2,000 เยน แต่ราคาของข้างในอาจจะอยู่ที่ราคา 3,000-4,000 เยน หรือมากกว่านี้แล้วแต่ถุงที่เราได้ครับ
ซึ่งปัจจุบัน ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของถุงโชดดีไปบ้าง เช่น เปิดเผยของในถุงว่ามีอะไรบ้างเป็นการจูงใจผู้ซื้ออีกทาง
เรามาดูกันครับว่าเจ้า"ถุงโชคดี" เนี่ยมีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง เริ่มจากข้อดีก่อน
1. ได้ซื้อของในราคาสุดคุ้ม
แน่นอนว่าเราจะได้ของมากกว่ามูลค่าที่เราจ่ายไป จะคุ้มมาก คุ้มน้อยแล้วแต่ดวง แต่คุ้มแน่นอนครับ
2. ได้ลุ้น
การได้ลุ้น ได้วัดดวง เราจะรู้สนุกว่าเดินเข้าไปซื้อธรรมดา ๆ เป็นไหน ๆ
3. limited edition
ถุงโชคดีแต่ละร้านมีจำนวนจำกัด แถมบางร้านจะสร้างความพิเศษให้กับถุงโชคดีเข้าไปอีก โดยมีสินค้าที่ทำมาเพื่อบรรจุในถุงโชคดีโดยเฉพาะด้วย จูงใจสุด ๆ
4.ช๊อปสนุก บรรยากาศครึกครื่น คึกคัก
บรรยากาศช่วงนั้น จะเต็มไปด้วยความสนุกครับ พอถึงวันขาย(ส่วนใหญ่จะเริ่มวันที่ 2 ) ทุกๆร้านจะพร้อมใจกันเข็นถุงโชคดีมาหน้าร้าน พนักงานจะตะโกนเรียกลูกค้ากันอย่างแข็งขัน
5.ฟินนน
การได้ซื้อถุงโชคดีที่เราตั้งใจไว้ เราจะรู้สึกฟิน เหมือนได้ทำภารกิจสำเร็จ ถือถุงโชดดีเดินด้วยความภาคภูมิใจ เย้ !!
พูดถึงข้อดีมาเยอะแล้ว เรามาดูข้อเสียของ "ถุงโชคดี" กันบ้าง
1.ช่วงปีใหม่ ตั๋วเครื่องบินแพง
เนื่องจากว่าถุงโชคดีจะมีขายในช่วงปีใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ในบางร้าน และวันที่ 2 เกือบทุกร้าน ทำให้เราต้องไปญี่ปุ่นช่วงปีใหม่
ซึ่งตั๋วเครื่องบินช่วงนั้นจะแพงเป็นพิเศษ แถมโปรโมชั่นก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลยอีกต่างหาก
2.ช่วงปีใหม่ โรงแรมหายาก + ราคาสูง
ต่อเนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินเลย ช่วงปีใหม่ ราคาที่พักต่าง ๆ จะขึ้นสูงว่าปกติ แถมเต็มเร็วด้วย ใครที่คิดจะไปซื้อถุงโชคดีอาจจะต้องรีบจองโรงแรมที่อยากพักล่วงหน้ากันนานๆเลย
ไม่งั้นได้ย้ายโรงแรมนอนทุกวันตลอดทริปแน่
3.ราคาถุงโชคดี(แอบ)สูง
ราคาของถุงโชคดีทั่วไปจะมีราคาอยุ่ที 20,000 เยน 10,000 เยน 5,000 เยนตามลำดับ
ถ้าเป็นร้านขนม ร้านของเล่น ก็อาจจะเจอราคาลดลงมา่เช่น 1,000 - 3,000 เยน
จะหยิบที อาจะจะต้องมีคิดนิดนึง ถึงแม้จะเป็นร้านหรือยี่ห้อที่เราชอบก็เถอะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไรซะด้วยซฺิ (การลงทุนมีความเสี่ยง)
4.ลงทุนอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงแรง + ลงเวลาด้วย
ถุงโชคดีแต่ละร้านมีจำนวนจำกัด ซึ่งยังไงก็ไม่พอกับความต้องการแน่ ๆ
การแข่งขัน แก่งแย่งจึงเกิดขึ้น ภาพของแถวยาวที่รอต่อคิวเพื่อซื้อถุงโชคดีมีให้เห็นเป็นปกติ
ยิ่งร้านดัง ๆ แถวก็จะยิ่งยาว ซึ่งเราต้องตื่นแต่เช้า หรือต้องมาต่อแถวตั้งแต่คืนก่อนวันขายเหมือนคนอื่นๆด้วยเช่นกัน
การต้องตื่นแต่เช้าและมายืนต่อแถวท่ามกลางอากาศหนาว ๆ เป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลย
5.คุ้ม...แต่ไม่ได้ใช้ สุดท้ายก็ไม่คุ้ม
หลังจากที่แกะถุงโชคดีดูข้างในเรียบร้อย ของในถุงมูลค่ามากว่าที่เราซื้อแน่
แต่ของที่เราได้มา อาจจะเป็นของที่เราไม่อยากได้ เจอของตกรุ่น สีไม่สวย แบบไม่โดน ก็เป็นได้ครับ
ใครที่สนใจจะมา shopping ถุงโชคดี ลองอ่านและพิจารณาดูนะครับผม ส่วนตัว อยากให้ลองมาสัมผัสบรรยากาศกันสักครั้งหนึ่งนะครับผม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่ได้มานะครับผม
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบถึงตรงนี้ครับ ^_^