อาตมาเป็นพระนวกะบวชใหม่ อยากปฏิบัติตามธรรมวินัย
ได้หนังสืออริยวินัย และก่อนบวชก็พอทราบเรื่องเงินทองเป็นของไม่สมควรแก่สงฆ์
นอกจากกัปปิยะ ที่ควรแก่สงฆ์ เช่นปัจจัย 4 ซึ่งในพระวินัย อนึ่ง ภิกษุใดรับก็ดี ให้รับก็ดี
ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงินอันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องสละทิ้งท่ามกลางสงฆ์
ทีนี้ก็เลย คุยกับสามเณรที่สนิทกันว่าจะทำอย่างไรดี
เราก็อยากทำให้ถูกต้องตามพระศาสดาบัญญัติแค่นั้น คือมองเห็นภาพตัวเอง
ในอนาคตตอนแก่ ๆ แล้วศาสนาเสื่อมถอยเพราะเรื่องเงินทองเปิดเนต
เจอแต่เรื่องพวกนี้เงินทองแล้วลามไปเรื่องยา เหล้า สาว เกย์ เละเทะ
และบางทีโดนฆ่าชิงทรัพย์ ศาสนาก็จะอยู่ยาก ในการที่จะอาศัยแค่พอฉัน วิเวก สงบ สงัด
คงหาที่ไม่ได้ง่าย ๆ แล้วเราตอนแก่และลูกหลานเราก็คงจะลำบาก
เพราะพื้นที่ศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงสร้างไว้จะมาเสื่อมสูญหายไปก็เพราะพวกเราเลยคิดว่าแก้ที่ใครไม่ได้
เริ่มจากตัวเองก่อนเลย ดีกว่า เลยคุยกันว่างั้นต่อไปนี้ไม่รับเงินดีไหมหลวงพี่กับเณร
เณรบอกตกลง แต่ปัญหามีอยู่ว่า สงฆ์ในวัดที่อยู่ไม่มีองค์ไหนที่ไม่รับปัจจัยเลย
ก็เลยอธิษฐานเองเพราะมีวินัยบางข้อระบุว่าถ้าสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่ชอบธรรมในกรณีเรื่องอื่น
แต่เอามาเทียบเคียงกับเรื่องนี้ด้วยมหาปเทส 4 ก็คิดว่าใช้วิธีนี้ร่วมกันได้
มีเราเป็นส่วนน้อยแค่ 1 ถึง 2 รูปแบบกรณีนี้ให้อธิษฐานในใจ ก็เลยอธิษฐานเองและสละกันเอง
ไม่ต้องท่ามกลางสงฆ์หละพระหาสงฆ์ที่บริสุทธิ์มาเป็นพยานในการสละไม่ได้
เริ่มจาก
1.ที่วัดจะมีการถวายปัจจัยให้พระเณรทุกรูปโดยหักจากเงินที่โยมถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟภายในวัด ในวันพระ
อันนี้เป็นแนวคิดจากเจ้าอาวาสวัดที่ให้แบ่งเงินให้พระเณรรวมทั้งเจ้าอาวาส กรณีนี้พระกับเณรก็ให้หักเงินเข้าวัดเลย
2.จะมีการใส่เงินลงขันกัณฑ์เทศน์ และนำเงินส่วนนี้ถวายให้พระเณรรูปที่ขึ้นเทศน์ กรณีนี้พระกับเณรก็ให้หักเข้าวัดเลย
3.กิจนิมนต์ กรณีนี้ไปกันหมดวัดพระจะรับมาแล้วสละกับกรรมการวัดและไม่พูดอะไรทั้ังนั้นเขาจะเอาไปทำอะไรเรื่องของโยม เขาเข้าใจ เป็น พันเอก พันตรี
เริ่มแรกพระกับเณรบิณฑบาตรหากโยมท่านใดถวายปัจจัยจะปิดฝาบาตรแล้วโยมจะวางบนฝาบาตรก็จะกล่าวอนุโมทนาจากนั้นก็จะคืนให้โยม
บอกว่าพระอนุโมทนาแล้วถ้าหากอยากทำบุญก็ไปถวายที่วัดเป็นค่าน้ำไฟใส่ตู้จะมีกรรมการวัดมาเก็บไป
หรือโยมอยากจะเอาไปทำบุญหรือเลี้ยงครอบครัวก็ได้อะไรก็ได้ครับแล้วแต่สะดวก
โยมคนไหนไม่ขัดข้องก็จบ แต่ถ้าบางคนยัดเยียดจะให้รับให้ได้
พระก็จะอ้างวินัยและบอกว่าต้องไปปลงอาบัติ และพระก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย
หากจะไปไหนแค่บอกโยมว่าพระไม่รับเงินไม่มีปัจจัยเดินไม่ไหวแล้ว
โยมไปส่งได้ไหมแค่นั้นเขาก็พร้อมจะไปส่งเพราะรถวิ่งผ่านทางที่จะไปอยู่แล้ว
ถ้าเจ็บป่วยโรงพยาบาลสงฆ์ก็มีโยม ไม่ต้องใช้เงิน
เขาก็ไม่ขัดข้องก็จบ และถ้ากลัวโยมจะเป็นภาระพระก็บอกไปว่าโยมอยากทำบุญกับพระศีลบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือครับ
เนี่ยแหละเป็นภาระแบบนี้ไม่ดีหรือครับโยมก็ไม่ขัดข้องแล้ว
แต่ถ้ารู้ว่ารับเงินมีเงินนี่ แทบไม่ไปเลย
เช่นบางทีเห็นพระกวักเรียกรถให้ไปส่งก็ยังเล่าให้ฟังอีกว่าไม่ไปหรอกครับเด็วพอขึ้นรถ
หลวงพี่ก็ขอเงินผมอีกผมเจอประจำผมหาเช้ากินค่ำนะครับ เข็ด
แบบนี้ก็มี ลำบากพระที่ปฏิบัติดีก็มี ไปไหนมาไหนถูกมองเป็นโจร
บางทีก็แซวพระเดินจาริกอยู่ว่าจะไปปล้นที่ไหนรึไอ้เสือ เสียพระเลย
วันนี้หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านทราบ ว่าพระกับเณรสละเงินและพอดีมีการประชุมกรรมการวัดทุกวันอาทิตย์กรรมการที่ได้เงินจากที่พระกับเณรสละไป
ก็เอาเรื่องนี้เข้ามาคุยในที่ประชุม สรุปว่าจะเก็บไว้เป็นเงินฉุกเฉินสำหรับพระกับเณรทุกบาททุกสตางค์ เช่นเจ็บป่วย หรืออื่น ๆ อันนี้พระกับเณรบริสุทธิ์ใจ
เพราะคิดว่า เราสละแบบนั้นไม่หวังได้อะไรคืนมาอยู่แล้วเพราะว่า ตามวินัยระบุชัดว่าภิกษุผู้สละไม่สามารถรับของที่สมควรแก่สงฆ์โดยใช้เงินจำนวนนั้นไปซื้อมาแต่ภิกษุรูปอื่นรับได้ แต่กรรมการมาประชุมกันหาทางออกแบบนี้ก็ เลยมาถามว่าได้หรือ
แล้วเจ้าอาวาสก็บอกว่าให้โยมเขียนใบปวารณาเช่นเขาถวาย 20,000 แก่ภิกษุสามเณรชื่อ แล้วให้กรรมการวัดหรือไวยาวัจกรเก็บไว้ อยากได้อะไรที่จำเป็นก็ให้ เขาซื้อให้ แล้วในวินัยบอกชัดเจนนี่ครับว่า รับก็ดีให้รับก็ดีไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ ยังคุยกันไม่ลงตัวเลย
แล้วหากใครจะตอบว่าถ้าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้นำไปใช้นอกพระบัญญัติ เช่นซื้อแต่ปัจจัย 4 ที่จำเป็นตามกาล ก็รับไปเถอะ อย่างนี้พระองค์อื่นที่ไม่บริสุทธิ์ใจก็อ้างว่าบริสุทธิ์ใจรับไปซื้อปัจจัย 4 ได้สิครับ แต่ดันไปซื้อของไม่ควร ช่วยตอบที หรือกรรมใครกรรมมัน ศาสนาจะเสื่อมไหม แล้วจะวางมาตรฐานยังไงในการปกครองวัดในอนาคตได้ครับ ให้เป็นไปตามพุทธบัญญัติ
วิธีเสียสละรูปิยะ
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบ
เท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรูปิยะไว้แล้ว ของนี้ของข้าพเจ้า เป็น
ของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละรูปิยะนี้แก่สงฆ์
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
ถ้าคนผู้ทำการวัด หรืออุบาสก เดินมาในสถานที่เสียสละนั้น พึงบอก
เขาว่า ท่านจงรู้ของสิ่งนี้ ถ้าเขาถามว่า จะให้ผมนำของสิ่งนี้ไปหาอะไร
มา อย่าบอกว่า จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา ควรบอกแต่ของที่เป็น
กัปปิยะ เช่น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย ถ้าเขานำรูปิยะนั้น
ไปแลกของที่เป็นกัปปิยะมาถวาย เว้นภิกษุผู้รับรูปิยะ ภิกษุนอกนั้นฉันได้
ทุกรูป ถ้าได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้พึงบอกเขาว่า โปรดช่วย
ทิ้งของนี้ ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี ถ้าเขาไม่ทิ้งให้ พึงสมมติภิกษุ
ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ
ปล.เจ้าอาวาสเป็นพระพ่อผมเอง ผมเป็นพระลูกชายอนาคตกรรมการเขาคุยกันแล้วผมต้องสานต่อผมจึงมาสอบถามผู้รู้ในพันทิปและหาอ่านหนังสือเองอยู่ด้วย เจริญพร
พระสอบถามผู้รู้ทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ เรื่องเกี่ยวกับเงินและทอง
ได้หนังสืออริยวินัย และก่อนบวชก็พอทราบเรื่องเงินทองเป็นของไม่สมควรแก่สงฆ์
นอกจากกัปปิยะ ที่ควรแก่สงฆ์ เช่นปัจจัย 4 ซึ่งในพระวินัย อนึ่ง ภิกษุใดรับก็ดี ให้รับก็ดี
ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงินอันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องสละทิ้งท่ามกลางสงฆ์
ทีนี้ก็เลย คุยกับสามเณรที่สนิทกันว่าจะทำอย่างไรดี
เราก็อยากทำให้ถูกต้องตามพระศาสดาบัญญัติแค่นั้น คือมองเห็นภาพตัวเอง
ในอนาคตตอนแก่ ๆ แล้วศาสนาเสื่อมถอยเพราะเรื่องเงินทองเปิดเนต
เจอแต่เรื่องพวกนี้เงินทองแล้วลามไปเรื่องยา เหล้า สาว เกย์ เละเทะ
และบางทีโดนฆ่าชิงทรัพย์ ศาสนาก็จะอยู่ยาก ในการที่จะอาศัยแค่พอฉัน วิเวก สงบ สงัด
คงหาที่ไม่ได้ง่าย ๆ แล้วเราตอนแก่และลูกหลานเราก็คงจะลำบาก
เพราะพื้นที่ศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงสร้างไว้จะมาเสื่อมสูญหายไปก็เพราะพวกเราเลยคิดว่าแก้ที่ใครไม่ได้
เริ่มจากตัวเองก่อนเลย ดีกว่า เลยคุยกันว่างั้นต่อไปนี้ไม่รับเงินดีไหมหลวงพี่กับเณร
เณรบอกตกลง แต่ปัญหามีอยู่ว่า สงฆ์ในวัดที่อยู่ไม่มีองค์ไหนที่ไม่รับปัจจัยเลย
ก็เลยอธิษฐานเองเพราะมีวินัยบางข้อระบุว่าถ้าสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่ชอบธรรมในกรณีเรื่องอื่น
แต่เอามาเทียบเคียงกับเรื่องนี้ด้วยมหาปเทส 4 ก็คิดว่าใช้วิธีนี้ร่วมกันได้
มีเราเป็นส่วนน้อยแค่ 1 ถึง 2 รูปแบบกรณีนี้ให้อธิษฐานในใจ ก็เลยอธิษฐานเองและสละกันเอง
ไม่ต้องท่ามกลางสงฆ์หละพระหาสงฆ์ที่บริสุทธิ์มาเป็นพยานในการสละไม่ได้
เริ่มจาก
1.ที่วัดจะมีการถวายปัจจัยให้พระเณรทุกรูปโดยหักจากเงินที่โยมถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟภายในวัด ในวันพระ
อันนี้เป็นแนวคิดจากเจ้าอาวาสวัดที่ให้แบ่งเงินให้พระเณรรวมทั้งเจ้าอาวาส กรณีนี้พระกับเณรก็ให้หักเงินเข้าวัดเลย
2.จะมีการใส่เงินลงขันกัณฑ์เทศน์ และนำเงินส่วนนี้ถวายให้พระเณรรูปที่ขึ้นเทศน์ กรณีนี้พระกับเณรก็ให้หักเข้าวัดเลย
3.กิจนิมนต์ กรณีนี้ไปกันหมดวัดพระจะรับมาแล้วสละกับกรรมการวัดและไม่พูดอะไรทั้ังนั้นเขาจะเอาไปทำอะไรเรื่องของโยม เขาเข้าใจ เป็น พันเอก พันตรี
เริ่มแรกพระกับเณรบิณฑบาตรหากโยมท่านใดถวายปัจจัยจะปิดฝาบาตรแล้วโยมจะวางบนฝาบาตรก็จะกล่าวอนุโมทนาจากนั้นก็จะคืนให้โยม
บอกว่าพระอนุโมทนาแล้วถ้าหากอยากทำบุญก็ไปถวายที่วัดเป็นค่าน้ำไฟใส่ตู้จะมีกรรมการวัดมาเก็บไป
หรือโยมอยากจะเอาไปทำบุญหรือเลี้ยงครอบครัวก็ได้อะไรก็ได้ครับแล้วแต่สะดวก
โยมคนไหนไม่ขัดข้องก็จบ แต่ถ้าบางคนยัดเยียดจะให้รับให้ได้
พระก็จะอ้างวินัยและบอกว่าต้องไปปลงอาบัติ และพระก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย
หากจะไปไหนแค่บอกโยมว่าพระไม่รับเงินไม่มีปัจจัยเดินไม่ไหวแล้ว
โยมไปส่งได้ไหมแค่นั้นเขาก็พร้อมจะไปส่งเพราะรถวิ่งผ่านทางที่จะไปอยู่แล้ว
ถ้าเจ็บป่วยโรงพยาบาลสงฆ์ก็มีโยม ไม่ต้องใช้เงิน
เขาก็ไม่ขัดข้องก็จบ และถ้ากลัวโยมจะเป็นภาระพระก็บอกไปว่าโยมอยากทำบุญกับพระศีลบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือครับ
เนี่ยแหละเป็นภาระแบบนี้ไม่ดีหรือครับโยมก็ไม่ขัดข้องแล้ว
แต่ถ้ารู้ว่ารับเงินมีเงินนี่ แทบไม่ไปเลย
เช่นบางทีเห็นพระกวักเรียกรถให้ไปส่งก็ยังเล่าให้ฟังอีกว่าไม่ไปหรอกครับเด็วพอขึ้นรถ
หลวงพี่ก็ขอเงินผมอีกผมเจอประจำผมหาเช้ากินค่ำนะครับ เข็ด
แบบนี้ก็มี ลำบากพระที่ปฏิบัติดีก็มี ไปไหนมาไหนถูกมองเป็นโจร
บางทีก็แซวพระเดินจาริกอยู่ว่าจะไปปล้นที่ไหนรึไอ้เสือ เสียพระเลย
วันนี้หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านทราบ ว่าพระกับเณรสละเงินและพอดีมีการประชุมกรรมการวัดทุกวันอาทิตย์กรรมการที่ได้เงินจากที่พระกับเณรสละไป
ก็เอาเรื่องนี้เข้ามาคุยในที่ประชุม สรุปว่าจะเก็บไว้เป็นเงินฉุกเฉินสำหรับพระกับเณรทุกบาททุกสตางค์ เช่นเจ็บป่วย หรืออื่น ๆ อันนี้พระกับเณรบริสุทธิ์ใจ
เพราะคิดว่า เราสละแบบนั้นไม่หวังได้อะไรคืนมาอยู่แล้วเพราะว่า ตามวินัยระบุชัดว่าภิกษุผู้สละไม่สามารถรับของที่สมควรแก่สงฆ์โดยใช้เงินจำนวนนั้นไปซื้อมาแต่ภิกษุรูปอื่นรับได้ แต่กรรมการมาประชุมกันหาทางออกแบบนี้ก็ เลยมาถามว่าได้หรือ
แล้วเจ้าอาวาสก็บอกว่าให้โยมเขียนใบปวารณาเช่นเขาถวาย 20,000 แก่ภิกษุสามเณรชื่อ แล้วให้กรรมการวัดหรือไวยาวัจกรเก็บไว้ อยากได้อะไรที่จำเป็นก็ให้ เขาซื้อให้ แล้วในวินัยบอกชัดเจนนี่ครับว่า รับก็ดีให้รับก็ดีไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ ยังคุยกันไม่ลงตัวเลย
แล้วหากใครจะตอบว่าถ้าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้นำไปใช้นอกพระบัญญัติ เช่นซื้อแต่ปัจจัย 4 ที่จำเป็นตามกาล ก็รับไปเถอะ อย่างนี้พระองค์อื่นที่ไม่บริสุทธิ์ใจก็อ้างว่าบริสุทธิ์ใจรับไปซื้อปัจจัย 4 ได้สิครับ แต่ดันไปซื้อของไม่ควร ช่วยตอบที หรือกรรมใครกรรมมัน ศาสนาจะเสื่อมไหม แล้วจะวางมาตรฐานยังไงในการปกครองวัดในอนาคตได้ครับ ให้เป็นไปตามพุทธบัญญัติ
วิธีเสียสละรูปิยะ
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบ
เท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรูปิยะไว้แล้ว ของนี้ของข้าพเจ้า เป็น
ของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละรูปิยะนี้แก่สงฆ์
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
ถ้าคนผู้ทำการวัด หรืออุบาสก เดินมาในสถานที่เสียสละนั้น พึงบอก
เขาว่า ท่านจงรู้ของสิ่งนี้ ถ้าเขาถามว่า จะให้ผมนำของสิ่งนี้ไปหาอะไร
มา อย่าบอกว่า จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา ควรบอกแต่ของที่เป็น
กัปปิยะ เช่น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย ถ้าเขานำรูปิยะนั้น
ไปแลกของที่เป็นกัปปิยะมาถวาย เว้นภิกษุผู้รับรูปิยะ ภิกษุนอกนั้นฉันได้
ทุกรูป ถ้าได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้พึงบอกเขาว่า โปรดช่วย
ทิ้งของนี้ ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี ถ้าเขาไม่ทิ้งให้ พึงสมมติภิกษุ
ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ
ปล.เจ้าอาวาสเป็นพระพ่อผมเอง ผมเป็นพระลูกชายอนาคตกรรมการเขาคุยกันแล้วผมต้องสานต่อผมจึงมาสอบถามผู้รู้ในพันทิปและหาอ่านหนังสือเองอยู่ด้วย เจริญพร