อาจจะยาวหน่อยนะคะ
ด้วยความไว้วางใจในโรงพยาบาล และความรู้ความสามารถทางการแพทย์ของบุคลากรในโรงพยาบาล จึงได้ไปฝากท้องที่โรงพยาบาลของรัฐที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะได้รับคำแนะนำ และการดูแลในช่วงที่ตั้งครรภ์ตามขั้นตอนที่ถูกวิธี และเพื่อที่ทารกจะได้เติบโตแข็งแรง และคลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งในระหว่างนั้นเราก็ได้ดูแลตนเองเป็นอย่างดี โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอเสมอมา และหมอแจ้งว่ากำหนดคลอดของทารกในครรภ์ คือ วันที่ 7 ธันวาคม 2560 โดยการคลอดเองตามธรรมชาติ (หากคลอดเองไม่ได้จะทำการผ่าตัดคลอดให้) แต่เมื่อครบกำหนดเรากลับยังไม่มีอาการปวดท้องคลอดแต่อย่างใด จึงยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 เราจึงไปตามนัดของแพทย์ ซึ่งเป็นวันที่ 8 ธันวาคม 2560 เพื่อทำการตรวจตามขั้นตอนของแพทย์ และแพทย์ได้ทำการตรวจภายในเพื่อดูการเปิดของปากมดลูก ซึ่งก็พบว่าปากมดลูกยังไม่เปิด แพทย์จึงทำการกระตุ้นการเปิดปากมดลูกให้ ในระหว่างนั้นเราก็ได้ถามแพทย์ผู้ตรวจไปว่าจะสามารถผ่าตัดคลอดให้เราในวันนั้นเลยได้หรือไม่ แพทย์ก็ตอบกลับมาว่าไม่ได้ การผ่าตัดต้องผ่าตัดตามข้อบ่งชี้ของแพทย์ และให้เรากลับไปพักฟื้นที่บ้านรอดูอาการก่อน หากปวดท้องคลอด มีน้ำเดิน หรือมีมูกเลือด ค่อยมาโรงพยาบาลอีกครั้ง และแพทย์ได้ออกใบนัดตรวจครั้งต่อไปในวันที่ 15 ธันวาคม 2560 หลังจากที่เรากลับมาพักฟื้นที่บ้านเพื่อรอดูอาการ ในเช้าวันที่ 9 ธันวาคม 2560 เราก็พบว่ามีน้ำสีเหลืองไหลออกมาจากช่องคลอด แต่ก็ไม่มาก เราคิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการกระตุ้นปากมดลูกของแพทย์ จึงยังไม่ได้ไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล แต่อาการนี้ก็เป็นมาเรื่อย ๆ จนเราไม่อาจนิ่งนอนใจ จนเช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2560 เราตัดสินใจโทรไปสอบถามกับทางโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่พยาบาลผู้รับสายแนะนำให้เดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ถึงอาการที่เราเป็นอยู่ ซึ่งเมื่อถึงคิวตรวจ แพทย์ก็ให้ไปที่ห้องตรวจภายในเพื่อตรวจดูว่าปากมดลูกเปิดหรือไม่ ซึ่งพบว่าปากมดลูกยังไม่เปิด และแพทย์ได้แจ้งว่าอาการที่เป็นอยู่ เป็นเพียงอาการตกขาว ไม่มีอันตรายใด ๆ และไม่ใช่น้ำคร่ำ จึงยังไม่สามารถทำคลอดให้เราได้ในวันนั้น แต่เราเห็นว่าเลยกำหนดคลอดมานานแล้ว เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับเด็กในครรภ์ จึงได้ร้องขอให้ผ่าตัดคลอดในวันนั้นอีกครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบมาเหมือนครั้งก่อน คือ (การผ่าตัดคลอดต้องผ่าตัดตามข้อบ่งชี้ของแพทย์) และให้เรากลับไปพักฟื้นที่บ้านรอดูอาการอีกครั้ง โดยแพทย์ได้ออกใบนัดตรวจครั้งต่อไปในวันที่ 19 ธันวาคม 2560 ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 เวลา 22:00 น. เรามีอาการปวดท้องถี่ขึ้น (ทุก ๆ 10 นาที) จนถึงเวลา 00:00 น. ของวันที่ 18 ธันวาคม 2560 จึงตัดสินใจให้สามีขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล โดยถึงโรงพยาบาลในเวลาประมาณ 00:30 น. เจ้าหน้าที่ก็ได้พาไปยังห้องคลอดทันที ในระหว่างนั้นเราก็ได้นอนรอด้วยอาการปวดท้องคลอดอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลา 10:00 น. ทีมแพทย์ พยาบาลก็ได้ทำคลอดโดยวิธีคลอดตามธรรมชาติ โดยใช้ความพยายามอยู่หลายรอบเพื่อที่จะให้ทารกคลอดออกมากระทั่งใช้อุปกรณ์เข้าช่วย จนเวลาล่วงผ่าน 10:45 น. ของวันที่ 18 ธันวาคม 2560 ทารกก็ได้คลอดออกมาเป็นเพศหญิง น้ำหนัก 2,695 กรัม แต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกับทารกภายหลังจากคลอด ซึ่งเรามีโอกาสได้เห็นลูกสาวของเราเพียงไม่กี่นาที พยาบาลก็แจ้งว่าทารกมีอาการผิดปกติ เนื่องจากได้กลืนน้ำขี้เทาเข้าไป มีภาวะออกซิเจนไปเลี้ยงในสมองไม่เพียงพอ จึงได้นำตัวทารกไปห้อง NICU เพื่อทำการรักษาตามอาการ ซึ่งตัวเราก็ยังต้องพักฟื้นอาการ จากบาดแผลคลอดบุตร จนอาการเจ็บแผลทุเลาลง เราจึงได้เข้าไปดุลูกที่ห้อง NICU ภาพที่เห็นคือ ลูกเราที่นอนแน่นิ่งอยู่ โดยมีสายอุปกรณ์ทางการแพทย์ระโยงระยางเต็มไปหมด ร่างกายมีบาดแผลรอยพกช้ำทั่วร่างอย่างเวทนา เป็นภาพที่ทรมานหัวใจคนเป็นแม่อย่างเราเป็นอย่างยิ่ง เราจึงถามกับทางแพทย์ผู้ดูแลถึงอาการของลูก แพทย์ก็บอก เนื่องจากทารกคลอดออกมายาก จึงทำให้ทารกสำลักขี้เทาจึงต้องใช้เครื่องช่วยดูดขี้เทาออกมา และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากสมองของทารกขาดออกซิเจน หรือภาวะสมองขาดเลือดจึงทำให้สมองไม่สามารถสั่งงานอวัยวะภายในให้ทำงานตามปกติได้ ซึ่งแพทย์ก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่สมองขาดออกซิเจน ว่าขาดออกซิเจนได้อย่างไร และทารกไม่สามารถหายใจเองได้ และจะรักษาโดยเครื่องรักษาอุณหภูมิในการรักษาทารกซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 วัน ในการรักษา แต่หลังจากใช้เครื่องรักษาอุณหภูมิได้เพียง 1 วัน อาการของทารกกลับไม่ดีขึ้น ระบบไตไม่ทำงานทารกไม่สามารถขับของเสียออกมาได้ กระทั่งเวลาประมาณ 09:00 น. ของวันที่ 20 ธันวาคม 2560 ลูกของเราก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งการเสียชีวิตของลูกสาวเรานี้ทางโรงพยาบาลก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้
ฉะนั้นคนเป็นแม่อย่านิ่งนอนใจ หากครบกำหนดคลอด แล้วยังไม่ปวดท้อง อาจจะต้องเสียใจอย่างเรา
เราคิดว่าหากโรงพยาบาลทำการผ่าตัดคลอดให้กับเราตามที่เราร้องขอ อาจไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งโดยหลักแล้วแพทย์จะทราบดีว่า กรณีหญิงตั้งครรภ์ ที่มีอายุครรภ์เกิน 40 สัปดาห์ แล้วไม่มีอาการปวดท้องคลอด หรือปากมดลูกยังไม่เปิด แพทย์จะต้องหาวิธีทำให้คลอดเพื่อความปลอดภัยของแม่และเด็ก เพราะถ้าปล่อยไว้จนเข้าสัปดาห์ที่ 42 ทารกในครรภ์จะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตสูง เพราะรกจะมีสภาพเสื่อมไปตามเวลาที่นานขึ้น กระทั่งเด็กมีอาการติดเชื้อ และสำลักขี้เทา หรือดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ครบกำหนดคลอดแต่ไม่ปวดท้อง ทำไมหมอไม่ผ่าคลอดให้?
ด้วยความไว้วางใจในโรงพยาบาล และความรู้ความสามารถทางการแพทย์ของบุคลากรในโรงพยาบาล จึงได้ไปฝากท้องที่โรงพยาบาลของรัฐที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะได้รับคำแนะนำ และการดูแลในช่วงที่ตั้งครรภ์ตามขั้นตอนที่ถูกวิธี และเพื่อที่ทารกจะได้เติบโตแข็งแรง และคลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งในระหว่างนั้นเราก็ได้ดูแลตนเองเป็นอย่างดี โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอเสมอมา และหมอแจ้งว่ากำหนดคลอดของทารกในครรภ์ คือ วันที่ 7 ธันวาคม 2560 โดยการคลอดเองตามธรรมชาติ (หากคลอดเองไม่ได้จะทำการผ่าตัดคลอดให้) แต่เมื่อครบกำหนดเรากลับยังไม่มีอาการปวดท้องคลอดแต่อย่างใด จึงยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 เราจึงไปตามนัดของแพทย์ ซึ่งเป็นวันที่ 8 ธันวาคม 2560 เพื่อทำการตรวจตามขั้นตอนของแพทย์ และแพทย์ได้ทำการตรวจภายในเพื่อดูการเปิดของปากมดลูก ซึ่งก็พบว่าปากมดลูกยังไม่เปิด แพทย์จึงทำการกระตุ้นการเปิดปากมดลูกให้ ในระหว่างนั้นเราก็ได้ถามแพทย์ผู้ตรวจไปว่าจะสามารถผ่าตัดคลอดให้เราในวันนั้นเลยได้หรือไม่ แพทย์ก็ตอบกลับมาว่าไม่ได้ การผ่าตัดต้องผ่าตัดตามข้อบ่งชี้ของแพทย์ และให้เรากลับไปพักฟื้นที่บ้านรอดูอาการก่อน หากปวดท้องคลอด มีน้ำเดิน หรือมีมูกเลือด ค่อยมาโรงพยาบาลอีกครั้ง และแพทย์ได้ออกใบนัดตรวจครั้งต่อไปในวันที่ 15 ธันวาคม 2560 หลังจากที่เรากลับมาพักฟื้นที่บ้านเพื่อรอดูอาการ ในเช้าวันที่ 9 ธันวาคม 2560 เราก็พบว่ามีน้ำสีเหลืองไหลออกมาจากช่องคลอด แต่ก็ไม่มาก เราคิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการกระตุ้นปากมดลูกของแพทย์ จึงยังไม่ได้ไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล แต่อาการนี้ก็เป็นมาเรื่อย ๆ จนเราไม่อาจนิ่งนอนใจ จนเช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2560 เราตัดสินใจโทรไปสอบถามกับทางโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่พยาบาลผู้รับสายแนะนำให้เดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ถึงอาการที่เราเป็นอยู่ ซึ่งเมื่อถึงคิวตรวจ แพทย์ก็ให้ไปที่ห้องตรวจภายในเพื่อตรวจดูว่าปากมดลูกเปิดหรือไม่ ซึ่งพบว่าปากมดลูกยังไม่เปิด และแพทย์ได้แจ้งว่าอาการที่เป็นอยู่ เป็นเพียงอาการตกขาว ไม่มีอันตรายใด ๆ และไม่ใช่น้ำคร่ำ จึงยังไม่สามารถทำคลอดให้เราได้ในวันนั้น แต่เราเห็นว่าเลยกำหนดคลอดมานานแล้ว เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับเด็กในครรภ์ จึงได้ร้องขอให้ผ่าตัดคลอดในวันนั้นอีกครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบมาเหมือนครั้งก่อน คือ (การผ่าตัดคลอดต้องผ่าตัดตามข้อบ่งชี้ของแพทย์) และให้เรากลับไปพักฟื้นที่บ้านรอดูอาการอีกครั้ง โดยแพทย์ได้ออกใบนัดตรวจครั้งต่อไปในวันที่ 19 ธันวาคม 2560 ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 เวลา 22:00 น. เรามีอาการปวดท้องถี่ขึ้น (ทุก ๆ 10 นาที) จนถึงเวลา 00:00 น. ของวันที่ 18 ธันวาคม 2560 จึงตัดสินใจให้สามีขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล โดยถึงโรงพยาบาลในเวลาประมาณ 00:30 น. เจ้าหน้าที่ก็ได้พาไปยังห้องคลอดทันที ในระหว่างนั้นเราก็ได้นอนรอด้วยอาการปวดท้องคลอดอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลา 10:00 น. ทีมแพทย์ พยาบาลก็ได้ทำคลอดโดยวิธีคลอดตามธรรมชาติ โดยใช้ความพยายามอยู่หลายรอบเพื่อที่จะให้ทารกคลอดออกมากระทั่งใช้อุปกรณ์เข้าช่วย จนเวลาล่วงผ่าน 10:45 น. ของวันที่ 18 ธันวาคม 2560 ทารกก็ได้คลอดออกมาเป็นเพศหญิง น้ำหนัก 2,695 กรัม แต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกับทารกภายหลังจากคลอด ซึ่งเรามีโอกาสได้เห็นลูกสาวของเราเพียงไม่กี่นาที พยาบาลก็แจ้งว่าทารกมีอาการผิดปกติ เนื่องจากได้กลืนน้ำขี้เทาเข้าไป มีภาวะออกซิเจนไปเลี้ยงในสมองไม่เพียงพอ จึงได้นำตัวทารกไปห้อง NICU เพื่อทำการรักษาตามอาการ ซึ่งตัวเราก็ยังต้องพักฟื้นอาการ จากบาดแผลคลอดบุตร จนอาการเจ็บแผลทุเลาลง เราจึงได้เข้าไปดุลูกที่ห้อง NICU ภาพที่เห็นคือ ลูกเราที่นอนแน่นิ่งอยู่ โดยมีสายอุปกรณ์ทางการแพทย์ระโยงระยางเต็มไปหมด ร่างกายมีบาดแผลรอยพกช้ำทั่วร่างอย่างเวทนา เป็นภาพที่ทรมานหัวใจคนเป็นแม่อย่างเราเป็นอย่างยิ่ง เราจึงถามกับทางแพทย์ผู้ดูแลถึงอาการของลูก แพทย์ก็บอก เนื่องจากทารกคลอดออกมายาก จึงทำให้ทารกสำลักขี้เทาจึงต้องใช้เครื่องช่วยดูดขี้เทาออกมา และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากสมองของทารกขาดออกซิเจน หรือภาวะสมองขาดเลือดจึงทำให้สมองไม่สามารถสั่งงานอวัยวะภายในให้ทำงานตามปกติได้ ซึ่งแพทย์ก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่สมองขาดออกซิเจน ว่าขาดออกซิเจนได้อย่างไร และทารกไม่สามารถหายใจเองได้ และจะรักษาโดยเครื่องรักษาอุณหภูมิในการรักษาทารกซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 วัน ในการรักษา แต่หลังจากใช้เครื่องรักษาอุณหภูมิได้เพียง 1 วัน อาการของทารกกลับไม่ดีขึ้น ระบบไตไม่ทำงานทารกไม่สามารถขับของเสียออกมาได้ กระทั่งเวลาประมาณ 09:00 น. ของวันที่ 20 ธันวาคม 2560 ลูกของเราก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งการเสียชีวิตของลูกสาวเรานี้ทางโรงพยาบาลก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้
ฉะนั้นคนเป็นแม่อย่านิ่งนอนใจ หากครบกำหนดคลอด แล้วยังไม่ปวดท้อง อาจจะต้องเสียใจอย่างเรา
เราคิดว่าหากโรงพยาบาลทำการผ่าตัดคลอดให้กับเราตามที่เราร้องขอ อาจไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งโดยหลักแล้วแพทย์จะทราบดีว่า กรณีหญิงตั้งครรภ์ ที่มีอายุครรภ์เกิน 40 สัปดาห์ แล้วไม่มีอาการปวดท้องคลอด หรือปากมดลูกยังไม่เปิด แพทย์จะต้องหาวิธีทำให้คลอดเพื่อความปลอดภัยของแม่และเด็ก เพราะถ้าปล่อยไว้จนเข้าสัปดาห์ที่ 42 ทารกในครรภ์จะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตสูง เพราะรกจะมีสภาพเสื่อมไปตามเวลาที่นานขึ้น กระทั่งเด็กมีอาการติดเชื้อ และสำลักขี้เทา หรือดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้