สมัย 100 ปีก่อน บ้านกลางป่าไม่มีไฟฟ้าแน่นอน
ดังนั้นในบ้านต้องมืดมาก ไม่มีทางที่พิกุลจะมองเห็นว่าเป็นท่านขุนอยู่กับหญิงอื่นได้เร็วขนาดนั้น (อยากรู้ว่ามืดขนาดไหน คุณลองปิดไฟในห้องดู ปิดม่านด้วย เพื่อไม่ให้ไฟตามถนนเข้ามา นั่นล่ะก็จะนึกเห็นภาพเมื่อ 100 ปีก่อนได้ค่ะ) ก็น่าจะมีฉากผู้หญิงคนนั้นจุดตะเกียง แต่ถึงจะจุดตะเกียงพิกุลก็ยังต้องเพ่งมองเช่นกันว่าผู้ชายคนนั้นใช่คุณหลวงหรือเปล่า เพราะแสงตะเกียงก็ไม่ได้สว่างแบบหลอดนีออนนะ แต่ยืนยันว่าในฉากไม่มีตะเกียงเลย
ต่อมาพ่อของพิกุลสู้กับผี จนผีกลายเป็นหุ่นดินเล็กๆตกอยู่พื้น พระเอกก็มองเห็นเร็วจังว่าเป็นหุ่น ทั้งที่มิดแบบนั้น
และน่าจะจัดแสงให้มืดๆทึมๆกว่านี้หน่อย ไม่ใช่สาดสปออตไลท์แบบละครพื้นบ้านเช้าเสาร์ อาทิตย์
แล้วก็ตอนนายชมจูงพิกุลมา จะไม่มีไต้หรือตะเกียงหน่อยเหรอ อย่าลืมว่าไม่มีหลอดไฟข้างถนนนะคะ มืดมากไม่กลัวเหยีบบงูเหรอคะ สมัยนี้งูไม่ชุมแบบเมื่อก่อน ถ้าไปไหนมืดๆเราก็ยังต้องถือไฟฉายไปด้วยเล้ย
วังนางโหง พลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆไปนะคะ
ดังนั้นในบ้านต้องมืดมาก ไม่มีทางที่พิกุลจะมองเห็นว่าเป็นท่านขุนอยู่กับหญิงอื่นได้เร็วขนาดนั้น (อยากรู้ว่ามืดขนาดไหน คุณลองปิดไฟในห้องดู ปิดม่านด้วย เพื่อไม่ให้ไฟตามถนนเข้ามา นั่นล่ะก็จะนึกเห็นภาพเมื่อ 100 ปีก่อนได้ค่ะ) ก็น่าจะมีฉากผู้หญิงคนนั้นจุดตะเกียง แต่ถึงจะจุดตะเกียงพิกุลก็ยังต้องเพ่งมองเช่นกันว่าผู้ชายคนนั้นใช่คุณหลวงหรือเปล่า เพราะแสงตะเกียงก็ไม่ได้สว่างแบบหลอดนีออนนะ แต่ยืนยันว่าในฉากไม่มีตะเกียงเลย
ต่อมาพ่อของพิกุลสู้กับผี จนผีกลายเป็นหุ่นดินเล็กๆตกอยู่พื้น พระเอกก็มองเห็นเร็วจังว่าเป็นหุ่น ทั้งที่มิดแบบนั้น
และน่าจะจัดแสงให้มืดๆทึมๆกว่านี้หน่อย ไม่ใช่สาดสปออตไลท์แบบละครพื้นบ้านเช้าเสาร์ อาทิตย์
แล้วก็ตอนนายชมจูงพิกุลมา จะไม่มีไต้หรือตะเกียงหน่อยเหรอ อย่าลืมว่าไม่มีหลอดไฟข้างถนนนะคะ มืดมากไม่กลัวเหยีบบงูเหรอคะ สมัยนี้งูไม่ชุมแบบเมื่อก่อน ถ้าไปไหนมืดๆเราก็ยังต้องถือไฟฉายไปด้วยเล้ย