สวัสดีค่า นี่เป็นกระทู้แรกที่เราเขียนรีวิวเลย ดีไม่ดียังไงฝากติชมกันได้นะค้า
วันนี้เราจะมารีวิวกับการไปเที่ยวเกาหลีใต้ครั้งที่สอง ซึ่งครั้งแรกเราเคยไปกับทัวร์เมื่อธันวาปีที่แล้ว แต่ไม่ได้เขียนรีวิวลง ยังไงถ้ามีเวลาเราจะเขียนรีวิวให้ทุกคนได้รับชมกันนะคะ ปีนี้เราไปต้นเดือนพฤศจิกายน 2017 จะเป็นช่วงฤดูใบร่วงและใบไม้เปลี่ยนสี
กล้องที่ถ่าย คือ Panasonic Lumix gx85 + เลนส์12-32 + เลนส์มือหมุน
แต่งรูปทั้งหมดด้วย แอพ Vscocam
รูปอาจจะเยอะไปนิดนึง ขออภัยด้วยนะค้าาา ตอนถ่ายคือเห็นอะไรก็สวยไปหมดเลย ><
DAY 1 (03/11/17)
ครั้งนี้เราไป วันที่3-9พฤศจิกายน 60 รวมทั้งหมด 7วัน 6คืน ค่ะ ไปกับสายการบิน Air AsiaX บินตรงจากดอนเมืองไปถึงสนามบินอินชอนเลย ตอนที่พี่สาวเราจองโปรบินนี้ ตั๋วบินไปกลับรวมๆแล้วราคาคนละ 8,000 บาทค่ะ
เรามารอเครื่องออกจากสนามบินประมาน 8โมงเช้า จะถึงสนามบินอินชอน บ่าย3โมงเย็นของที่นั่นค่ะ
พอมาถึงสนามบินอินชอนกว่าจะผ่าน ตม.มาได้ นี่นานมากกกกกกก คนเข้าประเทศเกาหลีนี่เยอะมากเลยค่ะ เพราะช่วงที่เราไปนั้นจะตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เขาว่ากันว่า ช่วงนี้สวยมากกกก ><
กว่าจะเดินทางมาถึงที่พักได้ใช้เวลาจากสนามบินมาถึงที่พักประมาน 2 ชั่วโมงค่ะ ที่พักที่เราสามคนพี่น้องพักคือ The Burrow Homestay บ้านโพรงกระต่ายนั้นเอง เจ้าของที่นี่เป็นผู้หญิงคนไทยค่ะ น่ารักมากๆ เป็นกันเองด้วยค่ะ แล้วแถมยังมีลูกชายน่ารักๆคนนึงอยู่ด้วย ค่าที่พัก6 คืน ราคาจะตกคนละ 450,000 วอน นี่คือหน้าตาห้องพักของเรานะคะ จะเป็นเตียง2 ชั้น ห้องนี้จะพักได้ประมาน3-4คนค่ะ
พอเก็บของทำอะไรเสร็จก็ถึงเวลาหาข้างกินซะที หิวมากกกกกก เพราะตั้งแต่ลงเครื่องมาคือนี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย เลยออกมาเดินเซอร์เวย์แถวย่านที่พักกัน
บ้านโพรงกระต่ายที่เราพักอยู่นั้น สามารถนั่งรถไฟสายสีส้มมาลงที่สถานี ยอนชินแนได้เลยค่ะ
อยากจะบอกว่าตอนก้าวขาออกจากที่พักนั้นคือสั่นมากกกกก ดูอุณหภูมิอยู่ประมาน 12 องศา แต่ปีนี้เกาหลีหนาวเร็วมากค่ะ จากที่คิดว่ามาเที่ยวครั้งนี้จะถ่ายรูปชิวๆ ไม่ต้องพกเสื้อโค้ทให้หนักไป เปล่าเลยค่ะ เราดูถูกอากาศที่นี่ต่ำไป แทบอยากจะหาซื้อเสื้อโค้ทไม่ทันเลย TT
แล้วก็ได้เวลาตามหาของกินค่ะ คือตอนนั้นหิวมากกก แล้วมันก็เริ่มดึกแล้ว ร้านอาหารบางร้านก็เริ่มปิด พอดีเดินไปเดินมา เห็นร้านข้างทางที่เป็นเต้นท์น้ำเงินๆ ความหิวนั้นไม่ปรานีใคร เรา3คนเลยมุ่งเข้าไปเลยทั้งที่ยังไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร
ก่อนที่เราจะถ่ายรูปมาได้ คือต้องถามคนขายก่อนนะคะว่าเขาอนุญาตหรือเปล่า เพราะบางคนจะไม่ยอมให้เราถ่ายค่ะ หน้าตาของกินที่เราได้คือ เป็นก๋วยเตี๋ยวอูด้ง ของกินอย่างแรกของคนที่นี่เขาจะเสริฟกิมจิกันก่อนเลย อูด้งชามนึงราคาประมาน 4,000 วอนค่ะ
DAY 2 (04/11/17)
เข้าของวันที่สอง เราสามารถเดินทางไปขึ้นรถไฟฟ้าได้เลย เดินประมาน5นาที ก็จะถึงสถานียอนชินแนค่ะ
นี่เป็นบัตรรถไฟฟ้าที่เราใช้กัน คือบัตร T-Money ต้องเติมเงินเข้าไปถึงจะสามารถใช้ได้ หน้าตาของบัตรก็จะน่ารักๆหน่อย ไว้เก็บสะสมได้ค่ะ
วันนี้สถานที่แรกที่เราจะไปนั่นคือ พระราชวัง คยองบกกุง(Gyeongbokkung) พระราชวังนี้ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของคนที่มาเที่ยวเลยก็ว่าได้
ก่อนที่เราจะเข้าไปต้องซื้อบัตรผ่านที่จะเข้าไปข้างใน เพราะตรงซุ้มประตูทางเข้าจะมีเจ้าหน้าทีตรวจบัตรด้วย
วันที่เราไปตรงกับวันศุกร์แต่คนก็ยังเยอะมากกันทีเดียว ยิ่งตรงหน้าทางเข้าไปในพระราชวังแล้ว คนออแย่งกันถ่ายรูปเลย คนที่มาที่นี่ใช่ว่าจะเป็นคนต่างประเทศอย่างเดียว คนเกาหลีที่นี่ก็ชอบมาด้วย เพราะถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดี คนเกาหลีบางคนจึงเช่าชุดฮันบกและมาถ่ายรูปอัพลงเฟสบุ้คและอินสตราแกรมกันมากมาย
ที่นี่ใช่ว่าจะมีแต่พระราชวังอย่างเดียว ยังมีพวกต้นไม้เปลี่ยนสีเยอะแยะมากเลย ทริปนี้กล้องเราที่พกไปมีแต่รูปต้นไม้เต็มไปหมด 😂
พอออกจากพระราชวังมา เราได้ข้ามถนนมาตรงเกาะกลาง คล้ายๆริมฟุตบาทของถนนอีกที แต่เป็นทางเดินกว้าง
เดินมาได้สักพักจะเจอรูปปั้นอนุเสาวรีย์ น่าจะเป็นท่านผู้นำอะไรสักอย่างนี่หล่ะ ซึ่งเราเองก็อ่านภาษาเกาหลีไม่ไม่ออก แต่รู้ว่าคนเกาหลีที่นี่ได้เดินทางมาไหว้ด้วย
เดินมาอีกสักพัก จะเจอซุ้มต่างๆ รู้สึกว่าวันที่เราไปนั้นจะมีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโอลิมปิกของเกาหลีใต้ จะมีมาสคอตต่างๆวางไว้และให้เราไปถ่ายรูปมา แล้วยังมีการแสดงอีกด้วย ซึ่งตอนที่เราเดินผ่านนั้นก็ยังได้เห็นพวกเขาได้ทำการซ้อมกิจกรรมอยู่ ที่เราเห็นนั้นจะเป็นคนมีอายุมากหน่อย มาร่วมทำกิจกรรมกัน
เดินมาสุดทางเดิน จะเจอคลองชื่อว่าคลองชองเกชอน ตอนที่เราไปใต้ทางเดินจะเป็นคลองจะมีการจัดไฟตามทางเดินคลองมาเป็นระยะประมาน2-3กิโลได้ มีสัญลักษณ์หอยม่วงตั้งอยู่หัวคลอง
เดินตรงมาเรื่อยๆทางที่เรากำลังจะไปนั้นได้ผ่านซุ้มกิจกรรมกิมจิ ที่ได้รู้มาจะเป็นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับกิมจิ จะมีการขายกิมจิ การสาธิตทำกิมจิให้ดู และบางครอบครัวได้ออกมานั่งเล่นที่แห่งนี้อีกด้วย
แล้วเราก็มาถึงแล้ววววว ถนนเลียบกำแพงหิน (Stonewall Street) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและโรแมนติกสายหนึ่งในเกาหลี ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถ็อกซูกุง โดดัม-กิล (Deoksugung Doldam-gil) หรือชองดง-กิล (Jeongdong-gil) ที่นี่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คอีกที่นึงของคนมาเที่ยวเลยก็ว่าได้ เพราะสองข้างทางจะเรียงรายไปด้วยต้นกิงโกะ (แปะก๊วย) ที่ปลูกไว้เลียบไปกับความโค้งของเส้นถนน ระหว่างทางจะมีซุ้มขายของต่างๆ เช่น ของแฮนเมด กระเป๋า เสื้อผ้า และเครื่องประดับ ถ้าอดใจไม่ไหวที่นี่คือที่ละลายทรัพย์ดีๆนี่เอง T^T
มีซุ้มศิลปะให้คนที่ชอบวาดรูประบายสีมาทำกันได้
บางคนบางกลุ่มก็มีการโชว์ความสามารถของตนเองด้านต่างๆ แต่ไม่ใช่เป๋นการหาเงินเข้าตัวเองแน่นอน
ต้นไม้เยอะแยะเต็มไปหมดเลยยย เราชอบมากกกก ><
พอออกจากถนนเลียบกำแพงเราก็ได้หาอะไรกินแถวนั้น เดินหานานสองนานมากกกก เพราะคนเยอะมากกกกกก เลยไม่รู้ว่าจะกินอะไรกันดี สุดท้ายก็มาจบลงที่ร้านนี้ เป็นร้านดังร้านนึงเพราะร้านนี้ได้ออกรายการต่างๆด้วย อยู่ข้างๆร้านกาแฟ อาหารที่สั่งมากินนั้น คล้ายๆข้าวคลุกซอสพิเศษของบ้านเขา มีไข่ดาวอยู่บนข้าว มีเมนูนึงที่พี่สาวเราสั่งมาคือบีบิมบับ อร่อยมากกกกก ไม่รู้ว่าหิวด้วยหรือเปล่า😂
ต่อจากนั้นเราก็ได้เดินทางไปที่มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาโดยนั่งรถไฟฟ้าไปลง ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในเกาหลีใต้ และแถมยังได้ชื่อว่าเป็น มหาวิทยาลัยหญิงล้วนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถือว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกกกกก เพราะเต็มไปด้วยต้นไม้ต่างๆ ดูร่มรื่นและสบายตาสุดๆเลย
ตึกที่นี่ก็สวยมากไม่แพ้กัน คนชอบมาถ่ายรูปที่ตึกนี้เยอะมากกก เพราะเป็นการออกแบบที่แตกต่างจากที่อื่น และข้างๆที่เราเห็นนั้นเป็นกระจกยาวทั้งหมด และตึกที่นี่ก็สวยและเป็นระเบียบมากๆ นึกแล้วอยากไปนั่งในนั้นสักครั้งนึง
ด้านหน้ามหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา มุมถ่ายรูปก็สวยไม่แพ้ข้างในเช่นกัน ตอนนั้นแสงและใบไม้กำลังได้ฟิว เราเลยแอบถ่ายมาสักนิดดดดดด
ระหว่างทางที่เราจะไปต่อนั้น ได้เดินผ่าน Line store พวกเราเลยแวะถ่ายรูปกับพี่หมีบราวน์มาสักหน่อย
ต่อจากนั้นก็ได้ไป ตลาดฮงแด เป็นตลาดกลางคืน อากาศตอนนั้นคือเย็นมากกกกก ลมพัดมานี่หน้าชากันทีเดียวเลย555 ที่นี่จะมีขายเสื้อผ้ารองเท้า น่ารักๆมากมาย และที่สำคัญมีโอปป้าหล่อๆเยอะมากกกกกกกก >< ได้โค้ทมาจากที่นี่ตัวนึง ราคาประมานพันกว่าบาทได้ ถือว่าถูกมากๆๆๆเลยนะ และแล้วก็ถึงเวลาหิวอีกรอบ อยู่ที่นี่คือกินไม่เป็นเวลาจริงๆเลย ถึงกับเกือบปวดท้องเป็นโรคกระเพราะเลยว่าได้ T^T เดินมาเจอร้านๆนึง คือไม่รู้ชื่อร้านอีกเช่นเคย55 เป็นอาหารกะทะจานร้อน น้ำซุปกับน้ำคือไม่อั้น แต่เราต้องบริการตนเองนะคะ
DAY 3 (05/11/17)
เช้าวันนี้เราเริ่มต้นด้วยการไปวัด คือ วัดโดซอนซา วัดที่นี่จะบนเขา การเดินทางหลายต่อมากจากที่พัก ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปต่อรถบัสประจำทางแล้วต่อขึ้นรถซัทเทิ้ลบัสขึ้นไปบนวัดอีกที จะมีเวลาบอกแต่ละรอบว่าออกกี่โมง และรถซัทเทิ้ลบัสทีเราขึ้นนั้นจะเป็นคันสีแดงๆ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพราะเป็นรถรับส่งขึ้นลงจากวัด
พอลงจากรถเราต้องเดินต่อขึ้นไปอีกประมาณ500เมตร ก็จะถึงวัด
Review>> Korea in Autumn 03-09/11/17
วันนี้เราจะมารีวิวกับการไปเที่ยวเกาหลีใต้ครั้งที่สอง ซึ่งครั้งแรกเราเคยไปกับทัวร์เมื่อธันวาปีที่แล้ว แต่ไม่ได้เขียนรีวิวลง ยังไงถ้ามีเวลาเราจะเขียนรีวิวให้ทุกคนได้รับชมกันนะคะ ปีนี้เราไปต้นเดือนพฤศจิกายน 2017 จะเป็นช่วงฤดูใบร่วงและใบไม้เปลี่ยนสี
กล้องที่ถ่าย คือ Panasonic Lumix gx85 + เลนส์12-32 + เลนส์มือหมุน
แต่งรูปทั้งหมดด้วย แอพ Vscocam
รูปอาจจะเยอะไปนิดนึง ขออภัยด้วยนะค้าาา ตอนถ่ายคือเห็นอะไรก็สวยไปหมดเลย ><
DAY 1 (03/11/17)
ครั้งนี้เราไป วันที่3-9พฤศจิกายน 60 รวมทั้งหมด 7วัน 6คืน ค่ะ ไปกับสายการบิน Air AsiaX บินตรงจากดอนเมืองไปถึงสนามบินอินชอนเลย ตอนที่พี่สาวเราจองโปรบินนี้ ตั๋วบินไปกลับรวมๆแล้วราคาคนละ 8,000 บาทค่ะ
เรามารอเครื่องออกจากสนามบินประมาน 8โมงเช้า จะถึงสนามบินอินชอน บ่าย3โมงเย็นของที่นั่นค่ะ
พอมาถึงสนามบินอินชอนกว่าจะผ่าน ตม.มาได้ นี่นานมากกกกกกก คนเข้าประเทศเกาหลีนี่เยอะมากเลยค่ะ เพราะช่วงที่เราไปนั้นจะตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เขาว่ากันว่า ช่วงนี้สวยมากกกก ><
กว่าจะเดินทางมาถึงที่พักได้ใช้เวลาจากสนามบินมาถึงที่พักประมาน 2 ชั่วโมงค่ะ ที่พักที่เราสามคนพี่น้องพักคือ The Burrow Homestay บ้านโพรงกระต่ายนั้นเอง เจ้าของที่นี่เป็นผู้หญิงคนไทยค่ะ น่ารักมากๆ เป็นกันเองด้วยค่ะ แล้วแถมยังมีลูกชายน่ารักๆคนนึงอยู่ด้วย ค่าที่พัก6 คืน ราคาจะตกคนละ 450,000 วอน นี่คือหน้าตาห้องพักของเรานะคะ จะเป็นเตียง2 ชั้น ห้องนี้จะพักได้ประมาน3-4คนค่ะ
พอเก็บของทำอะไรเสร็จก็ถึงเวลาหาข้างกินซะที หิวมากกกกกก เพราะตั้งแต่ลงเครื่องมาคือนี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย เลยออกมาเดินเซอร์เวย์แถวย่านที่พักกัน
บ้านโพรงกระต่ายที่เราพักอยู่นั้น สามารถนั่งรถไฟสายสีส้มมาลงที่สถานี ยอนชินแนได้เลยค่ะ
อยากจะบอกว่าตอนก้าวขาออกจากที่พักนั้นคือสั่นมากกกกก ดูอุณหภูมิอยู่ประมาน 12 องศา แต่ปีนี้เกาหลีหนาวเร็วมากค่ะ จากที่คิดว่ามาเที่ยวครั้งนี้จะถ่ายรูปชิวๆ ไม่ต้องพกเสื้อโค้ทให้หนักไป เปล่าเลยค่ะ เราดูถูกอากาศที่นี่ต่ำไป แทบอยากจะหาซื้อเสื้อโค้ทไม่ทันเลย TT
แล้วก็ได้เวลาตามหาของกินค่ะ คือตอนนั้นหิวมากกก แล้วมันก็เริ่มดึกแล้ว ร้านอาหารบางร้านก็เริ่มปิด พอดีเดินไปเดินมา เห็นร้านข้างทางที่เป็นเต้นท์น้ำเงินๆ ความหิวนั้นไม่ปรานีใคร เรา3คนเลยมุ่งเข้าไปเลยทั้งที่ยังไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร
ก่อนที่เราจะถ่ายรูปมาได้ คือต้องถามคนขายก่อนนะคะว่าเขาอนุญาตหรือเปล่า เพราะบางคนจะไม่ยอมให้เราถ่ายค่ะ หน้าตาของกินที่เราได้คือ เป็นก๋วยเตี๋ยวอูด้ง ของกินอย่างแรกของคนที่นี่เขาจะเสริฟกิมจิกันก่อนเลย อูด้งชามนึงราคาประมาน 4,000 วอนค่ะ
DAY 2 (04/11/17)
เข้าของวันที่สอง เราสามารถเดินทางไปขึ้นรถไฟฟ้าได้เลย เดินประมาน5นาที ก็จะถึงสถานียอนชินแนค่ะ
นี่เป็นบัตรรถไฟฟ้าที่เราใช้กัน คือบัตร T-Money ต้องเติมเงินเข้าไปถึงจะสามารถใช้ได้ หน้าตาของบัตรก็จะน่ารักๆหน่อย ไว้เก็บสะสมได้ค่ะ
วันนี้สถานที่แรกที่เราจะไปนั่นคือ พระราชวัง คยองบกกุง(Gyeongbokkung) พระราชวังนี้ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของคนที่มาเที่ยวเลยก็ว่าได้
ก่อนที่เราจะเข้าไปต้องซื้อบัตรผ่านที่จะเข้าไปข้างใน เพราะตรงซุ้มประตูทางเข้าจะมีเจ้าหน้าทีตรวจบัตรด้วย
วันที่เราไปตรงกับวันศุกร์แต่คนก็ยังเยอะมากกันทีเดียว ยิ่งตรงหน้าทางเข้าไปในพระราชวังแล้ว คนออแย่งกันถ่ายรูปเลย คนที่มาที่นี่ใช่ว่าจะเป็นคนต่างประเทศอย่างเดียว คนเกาหลีที่นี่ก็ชอบมาด้วย เพราะถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดี คนเกาหลีบางคนจึงเช่าชุดฮันบกและมาถ่ายรูปอัพลงเฟสบุ้คและอินสตราแกรมกันมากมาย
ที่นี่ใช่ว่าจะมีแต่พระราชวังอย่างเดียว ยังมีพวกต้นไม้เปลี่ยนสีเยอะแยะมากเลย ทริปนี้กล้องเราที่พกไปมีแต่รูปต้นไม้เต็มไปหมด 😂
พอออกจากพระราชวังมา เราได้ข้ามถนนมาตรงเกาะกลาง คล้ายๆริมฟุตบาทของถนนอีกที แต่เป็นทางเดินกว้าง
เดินมาได้สักพักจะเจอรูปปั้นอนุเสาวรีย์ น่าจะเป็นท่านผู้นำอะไรสักอย่างนี่หล่ะ ซึ่งเราเองก็อ่านภาษาเกาหลีไม่ไม่ออก แต่รู้ว่าคนเกาหลีที่นี่ได้เดินทางมาไหว้ด้วย
เดินมาอีกสักพัก จะเจอซุ้มต่างๆ รู้สึกว่าวันที่เราไปนั้นจะมีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโอลิมปิกของเกาหลีใต้ จะมีมาสคอตต่างๆวางไว้และให้เราไปถ่ายรูปมา แล้วยังมีการแสดงอีกด้วย ซึ่งตอนที่เราเดินผ่านนั้นก็ยังได้เห็นพวกเขาได้ทำการซ้อมกิจกรรมอยู่ ที่เราเห็นนั้นจะเป็นคนมีอายุมากหน่อย มาร่วมทำกิจกรรมกัน
เดินมาสุดทางเดิน จะเจอคลองชื่อว่าคลองชองเกชอน ตอนที่เราไปใต้ทางเดินจะเป็นคลองจะมีการจัดไฟตามทางเดินคลองมาเป็นระยะประมาน2-3กิโลได้ มีสัญลักษณ์หอยม่วงตั้งอยู่หัวคลอง
เดินตรงมาเรื่อยๆทางที่เรากำลังจะไปนั้นได้ผ่านซุ้มกิจกรรมกิมจิ ที่ได้รู้มาจะเป็นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับกิมจิ จะมีการขายกิมจิ การสาธิตทำกิมจิให้ดู และบางครอบครัวได้ออกมานั่งเล่นที่แห่งนี้อีกด้วย
แล้วเราก็มาถึงแล้ววววว ถนนเลียบกำแพงหิน (Stonewall Street) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและโรแมนติกสายหนึ่งในเกาหลี ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถ็อกซูกุง โดดัม-กิล (Deoksugung Doldam-gil) หรือชองดง-กิล (Jeongdong-gil) ที่นี่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คอีกที่นึงของคนมาเที่ยวเลยก็ว่าได้ เพราะสองข้างทางจะเรียงรายไปด้วยต้นกิงโกะ (แปะก๊วย) ที่ปลูกไว้เลียบไปกับความโค้งของเส้นถนน ระหว่างทางจะมีซุ้มขายของต่างๆ เช่น ของแฮนเมด กระเป๋า เสื้อผ้า และเครื่องประดับ ถ้าอดใจไม่ไหวที่นี่คือที่ละลายทรัพย์ดีๆนี่เอง T^T
มีซุ้มศิลปะให้คนที่ชอบวาดรูประบายสีมาทำกันได้
บางคนบางกลุ่มก็มีการโชว์ความสามารถของตนเองด้านต่างๆ แต่ไม่ใช่เป๋นการหาเงินเข้าตัวเองแน่นอน
ต้นไม้เยอะแยะเต็มไปหมดเลยยย เราชอบมากกกก ><
พอออกจากถนนเลียบกำแพงเราก็ได้หาอะไรกินแถวนั้น เดินหานานสองนานมากกกก เพราะคนเยอะมากกกกกก เลยไม่รู้ว่าจะกินอะไรกันดี สุดท้ายก็มาจบลงที่ร้านนี้ เป็นร้านดังร้านนึงเพราะร้านนี้ได้ออกรายการต่างๆด้วย อยู่ข้างๆร้านกาแฟ อาหารที่สั่งมากินนั้น คล้ายๆข้าวคลุกซอสพิเศษของบ้านเขา มีไข่ดาวอยู่บนข้าว มีเมนูนึงที่พี่สาวเราสั่งมาคือบีบิมบับ อร่อยมากกกกก ไม่รู้ว่าหิวด้วยหรือเปล่า😂
ต่อจากนั้นเราก็ได้เดินทางไปที่มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาโดยนั่งรถไฟฟ้าไปลง ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในเกาหลีใต้ และแถมยังได้ชื่อว่าเป็น มหาวิทยาลัยหญิงล้วนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถือว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกกกกก เพราะเต็มไปด้วยต้นไม้ต่างๆ ดูร่มรื่นและสบายตาสุดๆเลย
ตึกที่นี่ก็สวยมากไม่แพ้กัน คนชอบมาถ่ายรูปที่ตึกนี้เยอะมากกก เพราะเป็นการออกแบบที่แตกต่างจากที่อื่น และข้างๆที่เราเห็นนั้นเป็นกระจกยาวทั้งหมด และตึกที่นี่ก็สวยและเป็นระเบียบมากๆ นึกแล้วอยากไปนั่งในนั้นสักครั้งนึง
ด้านหน้ามหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา มุมถ่ายรูปก็สวยไม่แพ้ข้างในเช่นกัน ตอนนั้นแสงและใบไม้กำลังได้ฟิว เราเลยแอบถ่ายมาสักนิดดดดดด
ระหว่างทางที่เราจะไปต่อนั้น ได้เดินผ่าน Line store พวกเราเลยแวะถ่ายรูปกับพี่หมีบราวน์มาสักหน่อย
ต่อจากนั้นก็ได้ไป ตลาดฮงแด เป็นตลาดกลางคืน อากาศตอนนั้นคือเย็นมากกกกก ลมพัดมานี่หน้าชากันทีเดียวเลย555 ที่นี่จะมีขายเสื้อผ้ารองเท้า น่ารักๆมากมาย และที่สำคัญมีโอปป้าหล่อๆเยอะมากกกกกกกก >< ได้โค้ทมาจากที่นี่ตัวนึง ราคาประมานพันกว่าบาทได้ ถือว่าถูกมากๆๆๆเลยนะ และแล้วก็ถึงเวลาหิวอีกรอบ อยู่ที่นี่คือกินไม่เป็นเวลาจริงๆเลย ถึงกับเกือบปวดท้องเป็นโรคกระเพราะเลยว่าได้ T^T เดินมาเจอร้านๆนึง คือไม่รู้ชื่อร้านอีกเช่นเคย55 เป็นอาหารกะทะจานร้อน น้ำซุปกับน้ำคือไม่อั้น แต่เราต้องบริการตนเองนะคะ
DAY 3 (05/11/17)
เช้าวันนี้เราเริ่มต้นด้วยการไปวัด คือ วัดโดซอนซา วัดที่นี่จะบนเขา การเดินทางหลายต่อมากจากที่พัก ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปต่อรถบัสประจำทางแล้วต่อขึ้นรถซัทเทิ้ลบัสขึ้นไปบนวัดอีกที จะมีเวลาบอกแต่ละรอบว่าออกกี่โมง และรถซัทเทิ้ลบัสทีเราขึ้นนั้นจะเป็นคันสีแดงๆ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพราะเป็นรถรับส่งขึ้นลงจากวัด
พอลงจากรถเราต้องเดินต่อขึ้นไปอีกประมาณ500เมตร ก็จะถึงวัด