สวัสดีค่ะ เราเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยรัฐที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งค่ะ จบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง พ่อกับแม่ก็ภาคภูมิใจค่ะ เขาอยากให้เราเรียนต่อป.โทเลยเพราะเห็นว่าภาษีดีกว่าหลายๆคน อีกอย่างคือเราจะได้ไม่ลืมความรู้ที่เพิ่งเรียนมา ตอนแรกที่ยังเรียนไม่จบเราก็คิดแบบนี้นี่แหละค่ะ คิดว่าจบตรีปุ๊บ รีบต่อโทเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา เรียนจบตั้งแต่อายุยังน้อย แต่พอโตขึ้นความคิดเราก็เปลี่ยนไปค่ะ ก่อนจบปี4 เราตัดสินใจจะไปเวิร์คแอนทราเวล เพราะสามารถอยู่ทำงานและเที่ยวได้นานกว่าเด็กที่ยังเรียนไม่จบ พ่อเราไม่เห็นด้วยอย่างมาก เขาบอกว่า จะไปเสียเวลาทำไมตั้งสามสี่เดือน รีบเอาเวลามาหาทุนเรียนต่อ มาหางานทำไม่ดีกว่าเหรอ และอีกหลายๆคำพูดที่ทำให้เรารู้สึกว่า แค่การไปเวิร์คหลังจบปีสี่ที่ใครๆก็ไปกันมันผิดมากเลยเหรอ? แต่สุดท้ายเราก็ดึงดันไปจนได้ค่ะ จำได้ว่าเขาเองก็ตื่นเต้นไปกับเราด้วย เหมือนกับลืมไปหมดแล้วว่าเคยพูดอะไรกับเราไว้บ้าง
แต่พอเรากลับจากอเมริกานั่นแหละ ก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มหางานแบบจริงจัง (สุดท้ายก็คุยกับครอบครัวว่าขอหางานทำก่อนซักหนึ่งปี เพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ แล้วจะกลับไปเรียนโทแน่นอน ซึ่ง... กว่าท่านพ่อจะยอมก็มีทะเลาะกันไปยกหนึ่งเต็มๆ) เพื่อนเราบางคนจบมาก็ได้งานเลย เราก็บ่นๆให้ที่บ้านฟังว่าอยากได้งานเร็วๆแบบเพื่อนบ้างจัง พ่อเราก็มาเลยค่ะ "เนี่ย ดูซิ มัวแต่ไปเสียเวลาสี่ห้าเดือนอยู่ที่นู่น เพื่อนคนอื่นเขาได้งานทำไปก่อนแล้ว ตามหลังเพื่อนไปตั้งหลายเดือน'
ซึ่ง!!!!! ฮัลโหล? เราต้องมาอธิบายให้เขาฟังว่ามันก็แค่บางคน ส่วนน้อยนิดเท่าหยิบมือที่มีงานทำ ที่เหลืออีกเป็นร้อยๆก็กำลังหางานอยู่ ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนเหมือนพ่อเราเลย นั่นแหละค่ะ เฟลเพราะคำพูดพ่อไปอีกดอกหนึ่ง แต่หลังจากที่เรากลับมาได้เดือนกว่าๆ เราก็ได้งานค่ะ ซึ่งรายได้เกือบๆสามหมื่น ที่บ้านก็ดูพออกพอใจ แต่ก็ไม่ลืมย้ำเป็นระยะว่ากลับมาหาทุนเรียนป.โทด้วยนะลูก
แต่เมื่อประมาณสองเดือนก่อน เราเริ่มให้ความสนใจโครงการออแพร์หรือการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่เมืองนอกระยะเวลา1-2ปี คือเราเป็นคนที่ชอบเที่ยว ชอบผจญภัย และไม่ติดครอบครัวค่ะ เลยได้คุยๆกับพ่อแม่ว่าอยากลองสมัครดู แม่เราก็พูดขึ้นมาเลยว่า ถ้าเงินน้อยขนาดนี้ สู้อยู่เมืองไทยหางานทำไม่ดีกว่าเหรอลูก เราก็โต้กลับแบบขำๆว่า อยู่เมืองไทยก็ไม่ได้ออกไปสัมผัสโลกข้างนอก ไม่มีประสบการณ์ ไม่ได้ใช้ชีวิต ชีวิตเราเกิดมาแค่ครั้งเดียวนะแม่ หนูอยากใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุด แล้วถ้าไปเป็นออแพร์ หนูเที่ยวได้ทั่วยุโรปภายในหนึ่งปี มันคุ้มค่าออก ส่วนพ่อเราก็นิ่งค่ะ แต่ดูก็รู้แหละว่าไม่พอใจแน่นอน
ล่าสุดเราเพิ่งได้รับแจ้งว่าเราได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง และหาครอบครัวอุปถัมภ์ในยุโรปได้แล้วด้วย แม่เราก็บอกให้คิดดีๆ อย่าเอาอนาคตมาหยุดไว้ที่การไปเลี้ยงเด็กเมืองนอก มันจะเสียโอกาสเรียนต่อ เงินก็ได้ไม่เยอะ ทำงานเมืองไทยเก็บเงินแล้วค่อยไปเที่ยวก็ยังได้ (คำถามคือ เมื่อไหร่?) พ่อเรานี่มาเลยค่ะ เขาบอกว่า ได้ตั้งเกียรตินิยมเหรียญทอง จะไปเป็นแค่คนเลี้ยงเด็กทำไม ทำไมคิดได้แค่นี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้เรียนต่อซักที น้ำเสียงนิ่งๆแต่เต็มไปด้วยความตำหนิ เรารู้สึกจุกและแย่มาก ทำไมถึงไม่มีใครอยากสนับสนุนความฝันของเราเลย? เรารู้ค่ะว่าพ่อกับแม่เป็นห่วง หวังดีอยากให้เรามีอนาคตที่สดใส แต่สุดท้ายแล้วนี่ก็คือชีวิตของเราเองไม่ใช่เหรอคะ? แล้วการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กแค่ปีเดียวแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อโทนี่แย่มากเลยเหรอ? มันเสียเวลาขนาดนั้นเลยเหรอคะ?
เรียนจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งแต่อยากไปเป็นออแพร์ต่างประเทศผิดด้วยเหรอคะ
แต่พอเรากลับจากอเมริกานั่นแหละ ก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มหางานแบบจริงจัง (สุดท้ายก็คุยกับครอบครัวว่าขอหางานทำก่อนซักหนึ่งปี เพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ แล้วจะกลับไปเรียนโทแน่นอน ซึ่ง... กว่าท่านพ่อจะยอมก็มีทะเลาะกันไปยกหนึ่งเต็มๆ) เพื่อนเราบางคนจบมาก็ได้งานเลย เราก็บ่นๆให้ที่บ้านฟังว่าอยากได้งานเร็วๆแบบเพื่อนบ้างจัง พ่อเราก็มาเลยค่ะ "เนี่ย ดูซิ มัวแต่ไปเสียเวลาสี่ห้าเดือนอยู่ที่นู่น เพื่อนคนอื่นเขาได้งานทำไปก่อนแล้ว ตามหลังเพื่อนไปตั้งหลายเดือน'
ซึ่ง!!!!! ฮัลโหล? เราต้องมาอธิบายให้เขาฟังว่ามันก็แค่บางคน ส่วนน้อยนิดเท่าหยิบมือที่มีงานทำ ที่เหลืออีกเป็นร้อยๆก็กำลังหางานอยู่ ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนเหมือนพ่อเราเลย นั่นแหละค่ะ เฟลเพราะคำพูดพ่อไปอีกดอกหนึ่ง แต่หลังจากที่เรากลับมาได้เดือนกว่าๆ เราก็ได้งานค่ะ ซึ่งรายได้เกือบๆสามหมื่น ที่บ้านก็ดูพออกพอใจ แต่ก็ไม่ลืมย้ำเป็นระยะว่ากลับมาหาทุนเรียนป.โทด้วยนะลูก
แต่เมื่อประมาณสองเดือนก่อน เราเริ่มให้ความสนใจโครงการออแพร์หรือการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่เมืองนอกระยะเวลา1-2ปี คือเราเป็นคนที่ชอบเที่ยว ชอบผจญภัย และไม่ติดครอบครัวค่ะ เลยได้คุยๆกับพ่อแม่ว่าอยากลองสมัครดู แม่เราก็พูดขึ้นมาเลยว่า ถ้าเงินน้อยขนาดนี้ สู้อยู่เมืองไทยหางานทำไม่ดีกว่าเหรอลูก เราก็โต้กลับแบบขำๆว่า อยู่เมืองไทยก็ไม่ได้ออกไปสัมผัสโลกข้างนอก ไม่มีประสบการณ์ ไม่ได้ใช้ชีวิต ชีวิตเราเกิดมาแค่ครั้งเดียวนะแม่ หนูอยากใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุด แล้วถ้าไปเป็นออแพร์ หนูเที่ยวได้ทั่วยุโรปภายในหนึ่งปี มันคุ้มค่าออก ส่วนพ่อเราก็นิ่งค่ะ แต่ดูก็รู้แหละว่าไม่พอใจแน่นอน
ล่าสุดเราเพิ่งได้รับแจ้งว่าเราได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง และหาครอบครัวอุปถัมภ์ในยุโรปได้แล้วด้วย แม่เราก็บอกให้คิดดีๆ อย่าเอาอนาคตมาหยุดไว้ที่การไปเลี้ยงเด็กเมืองนอก มันจะเสียโอกาสเรียนต่อ เงินก็ได้ไม่เยอะ ทำงานเมืองไทยเก็บเงินแล้วค่อยไปเที่ยวก็ยังได้ (คำถามคือ เมื่อไหร่?) พ่อเรานี่มาเลยค่ะ เขาบอกว่า ได้ตั้งเกียรตินิยมเหรียญทอง จะไปเป็นแค่คนเลี้ยงเด็กทำไม ทำไมคิดได้แค่นี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้เรียนต่อซักที น้ำเสียงนิ่งๆแต่เต็มไปด้วยความตำหนิ เรารู้สึกจุกและแย่มาก ทำไมถึงไม่มีใครอยากสนับสนุนความฝันของเราเลย? เรารู้ค่ะว่าพ่อกับแม่เป็นห่วง หวังดีอยากให้เรามีอนาคตที่สดใส แต่สุดท้ายแล้วนี่ก็คือชีวิตของเราเองไม่ใช่เหรอคะ? แล้วการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กแค่ปีเดียวแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อโทนี่แย่มากเลยเหรอ? มันเสียเวลาขนาดนั้นเลยเหรอคะ?