[CR] [Review] Land of Mine (2015) สงครามชีวิต ดินแดนกับระเบิด


เมื่อพูดถึงหนังสงคราม ส่วนใหญ่หนังสงครามมักจะสร้างจากเหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งนี้เป็นเพราะยุคสมัยดังกล่าวเป็นยุคสมัยที่ตราตรึงใจของทุกๆ คนก็แทบจะว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสูญเสียของประชากรหลายล้านคน เรียกได้ว่ามากมายกว่าสงครามระดับโลกครั้งไหนๆ หรือแม้กระทั่งความมีชีวิตชีวาผ่านการบันทึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ ความสูญเสีย ความพลัดพรากที่ถูกพรรณนาออกมาเป็นตัวหนังสือที่สามารถหาได้ง่ายเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมา 70 กว่าปีเท่านั้นจึงทำให้ง่ายต่อการนำมาสร้างเป็นเรื่องราวไว้บนแผ่นฟิล์ม Land of Mine เป็นหนังเล่าเรื่องเชิงสารคดียุคสงครามโลกครั้งที่สอง จากผู้กำกับชาวเดนมาร์ก มาร์ติน ซานด์เวียต ที่พาเราไปสำรวจด้านมืดของประเทศเดนมาร์ก ที่ปฏิบัติต่อทหารเยอรมันเมื่อถึงจุดจบของสงคราม และได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง นำแสดงโดย โรลันด์ โมลเลอร์ ร่วมด้วย มิคเคล โฟลสการ์ด หลุย ฮอฟมันน์ และ โจเอล บาสแมน

หนังบอกเล่าเรื่องราวในประเทศเดนมาร์กหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลง เชลยศึกสงครามชาวเยอรมันนับพันคนได้ถูกปลดอาวุธและจับกุม ซึ่งในระหว่างช่วงสงครามนั้นเยอรมันได้เข้ายึดครองเดนมาร์กและได้วางกับระเบิดไว้ทั่วชายหาดฝั่งตะวันตกของประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบก หน้าที่ของเชลยศึกสงครามชาวเยอรมันทั้งหลายจึงไม่พ้นที่จะต้องทำการกู้กับระเบิดและทำให้ชายหาดนั้นกลับมาปลอดภัยเหมือนเดิม โดยก่อนที่พวกเขาจะไปปฏิบัติหน้าที่นั้นจะต้องผ่านการฝึกการกู้ระเบิดจากผู้กองเอ็บเบ้(โฟลสการ์ด) นายทหารชาวเดนมาร์ก เมื่อเสร็จสิ้นจากการฝึกพวกเชลยเหล่านั้นก็จะถูกส่งตัวไปยังชายหาดต่างๆ เพื่อปฏิบัติภารกิจ โดยมีทหารเยอรมันจำนวนสิบคนได้ถูกส่งให้มาอยู่ในความรับผิดชอบของจ่าคาร์ล(โมลเลอร์)ในการกู้ระเบิดในพื้นที่นั้นจำนวนหมื่นกว่าลูก แต่ทว่าพวกเขาทั้งสิบคนนั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ไร้ประสบการณ์เท่านั้นโดยมีผู้นำกลุ่มคือ เฮลมุท(บาสแมน) และเซบาสเตียน(ฮอฟมันน์) ซึ่งจ่าคาร์ลบอกกับว่าถ้าพวกเขากู้ระเบิดจนครบทั้งชายหาดแล้วพวกเขาก็จะสามารถกลับบ้านที่เยอรมันได้ แรกเริ่มเดิมทีนั้นจ่าคาร์ลนั้นเกลียดชังพวกเยอรมันและปฏิบัติกับพวกเขาราวกับว่าไม่มีค่าอะไร แต่ต่อมาเมื่อร่วมกันทำงานนานเข้าความสัมพันธ์ของจ่าคาร์ลทหารชาวเดนมาร์กและเหล่าเชลยศึกวัยรุ่นชาวเยอรมันก็เริ่มพัฒนาขึ้นท่ามกลางการจับตามองจากผู้บังคับบัญชา

Land of Mine หรือชื่อเดนส์คือ Under Sandet ถือได้ว่าเป็นหนังที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองที่ซึ่งมีความแตกต่างจากหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ตรงที่บอกเล่าในเรื่องราวของทหารเยอรมันที่ดูมีความเป็นคนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นปิศาจร้าย เราจะเห็นเชลยศึกทหารเยอรมันที่เป็นแค่เด็กหนุ่มที่เพิ่งก้าวพ้นวัยรุ่นมาหมาดๆ และไม่ประสีประสาต่อโลก คิดแต่เพียงจะกลับบ้านแถมยังร้องไห้คิดถึงแม่ ซึ่งตรงกันข้ามกับในหลายๆ เรื่องที่เราจะเห็นแต่พวกนาซีที่ชั่วช้าไล่เข่นฆ่าชาวยิวนับล้านคน หรือทรมานเชลยศึกอย่างโหดร้าย ในทางตรงกนข้ามเรื่องนี้เราจะเห็นด้านมืดของชาวเดนมาร์กที่ถือเป็นชาติที่เป็นเหยื่อในระหว่างสงครามที่เกลียดชังทหารเยอรมันโดยไม่สนว่าจะเป็นเพียงแค่เด็กน้อยหรือไม่ โดยพวกเขาปฏิบัติกับเชลยเหล่านั้นต่ำยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก โดนใช้งานทั้งวันแถมยังต้องอดอยากโดยไม่ให้อะไรกินแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่เด็กวัยรุ่นพวกนั้นอาจจะไม่เคยทำอะไรให้กับชาวเดนส์เลยก็ได้และที่มาอยู่ที่นี่ก็เพราะถูกเกณฑ์เข้ามา แม้แต่ชาวบ้านเองยังเอาอาหารที่เป็นพิษมาแอบทิ้งไว้จงใจให้เชลยมาขโมยไปกินจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เราก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของชาวเดนมาร์กได้ว่าจะเก็บกดขนาดไหน อีกประเด็นนึงคงเป็นเรื่องชื่อของหนัง Land of Mine ซึ่งอาจตีความได้หลายความหมาย ถ้าความหมายแรกคงเป็นไปตามตัวหนังคือ แผ่นดินที่เต็มไปด้วยกับระเบิด ในเรื่องเราจะเห็นความสูญเสียที่เกิดจากการกู้ระเบิดที่ผิดพลาดที่ทำให้เชลยศึกต้องค่อยๆ ตายไปทีละคนสองคน อีกความหมายนึงคงจะเป็นในความหมายที่ว่า ที่นี่คือดินแดนของฉัน(ชาวเดนมาร์ก) ที่ในเรื่องเราจะเห็นความเกลียดชังของชาวเดนส์ต่อศัตรูผู้เคยคุกคามประเทศ อย่างเช่นในฉากหนึ่งที่มีเชลยถือธงชาติเดนมาร์กแล้วจ่าคาร์ลขับรถผ่าน เขาจึงหยุดรถแล้วเข้าไปทำร้ายร่างกายเชลยคนนั้นเพราะรู้สึกว่าเชลยไม่มีสิทธิมาถือธงชาติของเขา พอทำร้ายร่างกายเสร็จเขาก็ตะโกนไล่ไปว่า พวกแกไสหัวไปจากประเทศนี้ซะ และอีกความหมายนึงก็หมายถึง ในแง่ว่าที่นี่คือดินแดนของฉัน (พวกเด็กๆ เชลยชาวเยอรมัน) ที่พวกเขารู้สึกปลอดภัยจากความเกลียดชังของชาวเดนส์ แม้จะไม่ปลอดภัยในแง่ความเสี่ยงต่อการตายจากระเบิดก็ตาม พวกเขาแทบจะอยู่กันตามลำพังและทำงานกันอย่างแข็งขัน แถมบางครั้งยังมีโอกาสได้เล่นสนุกผ่อนคลายกันในบางครั้ง ส่วนในเรื่องของความสมจริงในการถ่ายทำ พูดได้คำเดียวครับสมจริงมากๆ ยิ่งตอนกู้ระเบิดแล้วมีเพลงประกอบร่วมนะทำให้เราร่วมลุ้นกับเด็กๆ ไปด้วยเลย แถมยังมีบางช่วงที่ไม่ใช้เสียงประกอบแต่ก็สามารถกระชากอารมณ์แห่งความเศร้าสลดให้กับเราได้เป็นอย่างดี

ทีนี้มาพูดถึงบทบาทการแสดงเริ่มต้นที่จ่าคาร์ล ราสมุสเซ่นโดยโมลเลอร์ ต้องยอมรับเลยครับว่าแกเล่นได้ดีเอามากๆ ถ้าใครเคยฝึกรด. หรือผ่านการเป็นทหารมาก่อนจะต้องนึกถึงภาพจ่าโหดๆ ถ่อยๆ ที่ชอบหัวร้อนประมาณนั้นเลย เรื่องนี้ทำให้เชื่อได้เลยว่าแกมีความรู้สึกเกลียดชังทหารเยอรมันอย่างจริงจัง แล้วตอนยิ่งแกตะโกนใส่หน้าเหล่าเด็กๆ แล้วเด็กๆ กลัวจนตัวสั่นแกยิ่งมีความรู้สึกภูมิใจราวกับว่าตัวเองมีความเหนือกว่าอย่างไงอย่างงั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปแกก็มีความรู้สึกเอ็นดูเด็กๆ ไม่ใช่ว่าแกลืมว่าเยอรมันเคยทำอะไรไว้แต่แกสามารถแยกแยะได้ว่าเด็กพวกนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนโยบายของชาติ พวกเขาก็แค่เด็กน้อยคนนึง ทำให้มีความรู้สึกว่าจริงๆ แกก็เป็นคนอบอุ่นคนนึงทีเดียว ส่วนในบทของเซบาสเตียน โดยฮอฟมันน์ หนุ่มคนนี้ถือว่าเล่นใช้ได้ เขาเล่นเป็นเชลยทหารวัยรุ่นชาวเยอรมันที่มีความกล้าหาญพอสมควร เขาเองกล้าที่จะไปขอสิทธิสำหรับพรรคพวกที่พึงได้ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือยารักษาโรค รวมไปถึงบางครั้งที่เขามีความรู้สึกเข้าอกเข้าใจคนอื่นแถมยังคอยห้ามปรามเฮลมุท หัวหน้ากลุ่มที่มักจะคอยประชดประชันและทำร้ายความรู้สึกของพวกพ้องจนทำให้เรามีความรู้สึกว่า เซบาสเตียนนี่แหละคือหัวหน้ากลุ่มตัวจริง สำหรับบทเฮลมุท ที่แสดงโดยบาสแมน เขาทำให้เราได้เห็นถึงคนธรรมดาๆ คนนึงที่มีครบทุกอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ประชดประชันที่คอยดักคอทำลายความหวังของเพื่อนๆ ที่คิดว่าสักวันจะได้กลับบ้าน หรืออารมณ์ที่ผิดหวังและหวาดกลัวต่อจ่าคาร์ลที่อาจจะทำร้ายหรือฆ่าพวกเขาจนทำให้คิดว่าจะหนีออกจากที่แห่งนี้ไป แต่ก็มีบางมุมในแง่ที่เขาเองในฐานะที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็มีความรับผิดชอบที่จะแอบออกจากที่พักเพื่อไปหาอาหารมาให้เพื่อนๆ ที่กำลังจะอดตายกัน ซึ่งทำให้เรามีความรู้สึกว่าคนๆ นี้มีตัวตนจริงในสังคม แลดูมีมิติสำหรับตัวละครตัวนี้ ส่วนบทของเด็กหนุ่มเชลยศึกคนอื่นๆ ก็ถือว่าเล่นได้ดี แลดูมีความไร้เดียงสาแอบมีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้กลับบ้าน บางคนจะกลับไปเป็นช่างรับเหมาก่อสร้าง บางคนจะกลับไปเปิดบริษัทที่มีชื่อของตัวเอง โดยเฉพาะคู่แฝดเชลยเยอรมันในหนังที่ทำให้เรารู้สึกว่าคู่นี้รักกันดีจริงๆ

เรื่องนี้ดีงามมากๆ ครับ เอาไปเลย 9 เต็ม 10 ครับ หักนิดหน่อยตรงที่จ่าคาร์ลแกร้ายมาเกินครึ่งเรื่องแล้วจู่ๆ ก็ใจดีหยอกเอินกับเด็กๆ ประมาณว่าปรับอารมณ์ไม่ทันครับ แล้วก็ในส่วนของตอนจบที่ดูว่าจบง่ายๆ อย่างนี้เนี่ยนะ แอบสงสัยชะตากรรมของตัวละครว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรน่าจะเอาให้สุดสักหน่อยจะดีมาก อย่างไรก็ตามแม้หนังจะมีฉากไม่เยอะเท่าไหร่ มีแค่ที่พักกับชายหาดเกือบทั้งเรื่อง แต่ก็ลุ้นได้เกือบทั้งเรื่องไม่น่าเบื่อ แถมยังสะท้อนแง่มุมให้เราเห็นถึงผลกระทบต่อสงคราม ที่ต้องลากเอาคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อนโยบายของบรรดาผู้นำแต่ต้องมารับกรรมที่พวกผู้นำก่อซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งในประเด็นของความเกลียดชังแบบเหมารวมที่มองคนในชาติศัตรูว่าเป็นพวกที่น่ารังเกียจไปเสียหมด ซึ่งบางครั้งความเกลียดชังก็เสมือนสิ่งที่มาบังตาทำให้มองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้นว่าเขาเองก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ คนนึงที่มิได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ครับ หนังเรื่องนี้จึงเป็นหนังสงครามที่มีจุดมุ่งหมายในการต่อต้านสงคราม หนังดีมาก คอหนังแนวสงครามไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   land of mine
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่