หลังจากป่วยเป็น ฺBell Palsy ใครครั้งนี้ทำให้ฉันผู้ที่ไม่เคยสนใจอ่านหรือแม้จะคั้งกระทู้ Pantip เลยแม้แต่สักนิด เกิดแรงจูงใจบางอย่างที่ทำให้คนที่เคยป่วยหน้าเบี้ยวครึ่งซีกจากเส้นประสาทคู่ที่เจ็ดอักเสบ อยากจะมาตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นอุทาหรณ์ และเป็นกำลังใจแก่ผู่ป่วย ฺBell Palsy ทุกคน
ฉันเป็ยวัยรุ่น ผู้หญิงอายุ 20 ปี ก่อเหมือนนิสิตทั่วไปที่เวลาสอบจะนอนดึกจากการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบแต่แตกต่างกับคนอื่นอย่างหนึ่งตรงที่ฉันมีเวลาน้อยกว่าคนอื่น เนื่องจากฉันต้องทำงานหลังเลิกเรียน ดังนั้นจึงเกิดการพักผ่อนไม่เพียงพอ ประกอบกับการติดเชื้องูสวัดจากเพื่อนที่เป็น เชื้อนี้จึงไปจับตัวบริเวณเส้นประสาทคู่ที่เจ็ด ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้ใบหน้าข้างซ้ายของฉันหยุดทำงานไป จึงทำให้ดูหน้าเบี้ยวไปครึ่งหนึ่ง
อาการเริ่มแรกวันที่ 7 มิถุนายน 2560 ฉันสังเกตุได้ว่าตนเองมีภาวะต่อมน้ำเหลืองหลังหูซ้ายโตผิดปกติ ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าฉันกำลังจะป่วยเป็นไข้หรือคออักเสบสักอย่างจากประสบการณ์ที่เคยเป็น จึงไปหาหมอที่คลินิคแห่งหนึ่ง เขาได้จ่ายยาแก้อักเสบมาทาน จากนั้นตอนกลางคืนฉันเข้านอนเริ่มมีอาการปวดหลังหูปวดทรมานเหมือนจะทนไม่ไหวนอนไม่ได้เลยทั้งคืน
เช้าวันที่ 8 ฉันเริ่มรู้สึกปากชาในยามเช้าเม้มปากและบ้วนน้ำได้ลำบากขึ้นปากประกบกันเบี้ยวนิดๆ เลยคิดว่าตนเองแ้ยาจากคลินิก จึงได้ รพ คราวนี้หาสาเหตุกับวุ่นวายทั้งเภสัชและหมอ คือเรายังไม่รู้ตัวว่าติดเชื้องูสวัด บอกตรงๆเลยว่าหมอตรวจไม่ค่อยละเอียดเท่าไร เราไป รพ รัฐต้องทำใจเราเข้าใจจะให้ดีเท่าเอกชนคงไม่ได้เพราะไม่ได้มีเราป่วยแค่คนเดียวมีคนรออีกมากมาย ผลจากการไป รพ หมอให้ยาตัวใหม่กลับมาเป็ฯยาแก้อักเสบอีกเช่นเคย
เราก่อทานยาช่วยให้ปวดน้อยลงแต่ต่อมหลังหูก่อยังไม่ยุบและยังคงปวดอยู่ หนำซ้ำอาการใบหน้าข้างซ้ายยิ่งแย่ลงประกบปากเบี้ยวมากขึ้นยิ้มปากเบี้ยว เราจึงบอกพ่อเราพ่อเราบอกว่าให้ไปหา รพ เอกชน ถ้าเช้าวันที่ 10 ยังไม่ดีขึ้น ใบหน้าข้างซ้ายเราขยับไม่ได้แล้ว ตาปิดไม่สนิทกระพริบตาไม่ได้แล้ว เรานอนไม่ได้ทั้งคืนจากการทรมานใจ อีกทั้งเราหาข้อมูลจากเน็ตทั้งคืนยิ่งทำให้เรารู้มากขึ้นว่าอาการที่เราเป็นนั้นอาจเป็น Bell Palsy เราไป รพ แห่งหนึ่งที่พัทยา เขาฉีดยาแก้อักเสบให้เราบอกว่าเราเป็น Bell Palsy จากการติดเชื้องูสวัด มีผื่นขึ้นที่คอใสๆสองสามจุดเองเล็กมากกกก และให้วิตามินบีกับยาต้านเชื้อมาทาน จากนั้นแนะนำให้เรากลับไปรักษาที่ รพ ใกล้บ้านต่อเพราะสิทธิการรักษาของเราอยู่ที่นั่น
เรามารู้ตัวว่าเป็น Bell Palsy ก่อเข้าวันที่สามของการป่วยแล้ว เราใช้ชีวิตลำบากมาก กินข้าวก่อลำบากเพราะปากประกบกันไม่ได้ กระพุ้งแก้มข้างซ้ายก่อไม่สามารถเคลียอาหารได้ เวลาเคี้ยวอาหารจะไปคชติดที่กรุ้งแก้มซ้ายตลอดเวลา กินน้ำก่อหกออกจากปากเพราะไม่สามารถควบคุมปากได้ พูดก่อไม่ชัดโดบเฉพาะคำที่ต้องใช้ ป ฟ บ ยากมาก ทำให้เราพูดกับคนอื่นน้อยลง กินได้น้อยลง นอนไม่หลับ เอาง่ายๆเครียดจนเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้า เราจึงไปทำเรื่องรกษาตัวที่ รพ รัฐที่เดิมต่อ เขาบอกเราว่าอาการนี้จะหายหรือดีขึ้นในหกเดือนหรือมากกว่านั้นแล้วแต่คน เขาไม่รับประกันว่าใบหน้าจะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมไหม เขาให้เราทำกายภาพด้วยตนเอง กายภาพด้วยกระตุ้นไฟฟ้า ตรวจเส้นประสาทคลื่นไฟฟ้า และตรวจหูและดวงตา เราต้องหาหมอห้าคนพร้อมกันในทุกเดือน
ในช่วงเดือนแรกเราต้องทานยาต้านเชื้อทุกๆ 4 ชม 4 เวลาต่อวัน ต้องทานเสตียรอยครั้งละ 3 เม็ด และวิตามินบี ทุกๆ 6 ชม สรุปแล้ววันๆนึงเราทานยา 17 เม็ดต่อวัน อีกทั้งต้องทานยาคลายเคลียดก่อนนอนเพื่อให้นอนหลับจากการเครียด เราต้องไปกระตุ้นไฟฟ้าทุกอาทิตในสามเดือนแรกเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตาย เราต้องไปหาหมอตาทุกเดือนเพื่อป้องกันการได้รับความเสียหายของกระจกตาจากการหลับตาไม่สนิท เราต้องตรวจหูทุกเดือนเนื่อจากอาการนี้จะกระทบต่อการได้ยินเสียงจะทำให้เราได้ยินเสียงดังกว่าคนปกติหลายเท่าแค่เสียงจานกระทบกันยังปวดหู แล้วทุกคนลองคิดดูนะว่า รพ รัฐขั้นตอนมากมาย เราต้องทนนั่งรอคิวนั่งติดต่อ ในทุกๆขั้นตอนนานและช้ามากขนาดไหน
แต่สิ่งที่ทุกคนต้องมีเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับการป่วยครั้งนี้คือ
1 กำลังใจและความอดทน สำคัญมากๆเราเชื่อว่าไม่มีคนไหนหรอกที่จะไม่เครียดถ้าหน้าตัวเองเบี้ยว
2 การจัดการความเครียด สำคัญมากเช่นกัน เราใช้วิธีดูหนังตลก การ์ตูน บอกเลยเราดู มิ้นกับมิวเบนชลาทิศ ไดอารี่ตุ้ดซี่ โทริโกะ ร้องไห้ได้ถ้าเครียดมากแต่ร้องแบบมีลิมิตอาทิตละครั้งพอ
3 แว่นตา เราต้องปกป้องดวงตาของเราไม่ให้กระจกตาได้รับความเสียหาย
4 เจลใส่ตา ไม่ให้ตาแห้งเพราะหลับตาไม่สนิทเวลานอน
5 หน้ากากอนามัย แน่นอนว่าอายที่ปากเบี้ยวปากตก
เราโชคดีที่เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ปีสอง แต่โชคร้ายคืออีก 1 เดือนจะเปิดเทอม แน่นอนว่าภายในหนึ่งเดือนที่เราป่วยนั้นวุ่นวายอยู่กับการหาหมอในช่วงแรก จนมาถึงจุดที่เราเครียดอีกครั้งก่อคือวันเปิดเทอม เรากังวลมากว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร แต่เราก่อต้องยอมรับความจริงว่าชีวิตต้องเดินต่อ เราเป็นเด็กธรรมดาที่ฐานะทางบ้านไม่ได้รวย แต่ก่อไม่จน ใจเราอยากดรอปเรียน อยากไปหาหมอดีๆ แต่เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะพ่อแม่เราต้องลำบากมากขึ้นถ้าเราทำเช่นนั้น เราเชื่อว่าถ้าเราร้องขอกับพ่อแม่ไปเช่นนั้นพ่อแม่เราต้องทำทุกวิธีให้เราได้รักษาใน รพ ดีๆแพงๆ แต่เราคิดเพียงแต่ว่ารักษาไปตามกำลังของเราก่อพอ เราไม่อยากให้พ่อแม่เราเดือดร้อนเพราะเราคนเดียว นี่คือสิ่งที่เราเลือกที่จะกระทำได้ในตอนนั้น แต่สิ่งที่เราปกปิดให้มันไม่แสดงออกมาได้คือความเครียดความกังวลของเรา ซึ่งเราก่อไม่อยากแสดงออกมาให้พ่อแม่ไม่สบายใจหรอกแต่เราก่ออดไม่ได้เราพยายามแล้ว อีกทั้งถ้าเราดรอปเราก่อจะเรียนจบช้าลง ทำงานหาเงินได้ช้าลง พ่อแม่เราก่อจะหมดภาระช้าลง เราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น จึงตัดสินใจลงทะเบียนเรียนไป เราเพียงแต่คิดไว้ว่าเพื่อแม่และคิดเพียงว่านี่คือแบบทดสอบของชีวิตเรา ถ้าเราผ่านมันไปได้เราจะประสบความสำเร็จและเจอกับสิ่งที่คุ้มค่าต่อการอดทนที่ผ่านมา
และแน่นอนค่ะวันเปิดเทอมวันแรกจิตตกนิดหน่อย พูดคุยกับเพื่อนน้อยลงจากคนที่ร่าเริงเฮฮา อาการเราดีขึ้นไม่ปวดหลังหูบวมน้อยลง แต่ใบหน้ายังขยับไม่ได้ เราใส่แว่น ใส่หน้ากากไปเรียน ใครถามก่อบอกว่าป่วย เราทานข้าวลำบากมากจะเลือกทานต่อหน้าเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะเวลาทานอาจดูไม่เรียบร้อย เราทำอย่างนี้ไปเรียนทุกวันใส่หน้าการแว่นตาทุกคาบ
อาการเราเริ่มดีขึ้นในเดือนที่ 3 สัญญานของการดีขึ้นคือใบหน้าข้างซ้ายจุดที่มีการพัฒนาจะกระตุก เริ่มจากตาสามารถขยับได้ทีละนิดนิดเดียวจิงๆ มาปากทีละยิดสั่นๆกระตุกๆเหมือนกัน มาจมูก
ในเดือนที่ 4 ขยับได้มากขึ้นพอยกปากได้เวลายิ้ม ตาเริ่มปิดลงมาได้มากกว่าเดิมเวลานอน หมอเลิกนัดกายภาพไฟฟ้า เหลือแต่นวดเองที่บ้าน
ในเดือนที่ 5 เราเริ่มยิ้มได้นิดหน่อยตาปิดได้มากขึ้น ปากเริ่มประกบได้เบี้ยวน้อยลง
ในเดือนที่ 6 ณ วันนี้ปัจจุบันนี้ปิดเทอมพอดี เรายิ้มได้แล้ว แต่ไม่เท่ากันยังคงเบี้ยวยักคิ้วได้แล้วแต่มีผลข้างเคียงคือเวลาเรายักคิ้วปากเราจะยับตามไปด้วยดื่มน้ำไม่หกแล้ว ตาปิดสนิท แต่เราไม่สามรถเก็บมในปากได้แบบแก้มป่อง กลั้วปากบ้วนน้ำไม่ได้ เพราะปากเรายังไม่มีแรงในข้างซ้าย แต่ยังมีการกระตุกอยู่เราจึงภาวนาว่ามันยังฟื้นฟูได้อีก ตอนนี้เราดื่มน้ำไม่หกแล้ว ทานข้าวกระพุ้งแก้มเคลียอาหารได้แล้วคุณหมเลิกนัดทุกคนแล้ว หมอบอกว่าที่เหลือแล่วแต่ร่างกายเราแล้วว่าจะฟื้นฟูได้แค่ไหน หมอบอกไว้ว่าลิมิตการหาย ภายในหกเดือน นี่ก่อเดือนที่หกแล้ว ฉันได้แต่ภาวนาให่มันหายเป็นปกติ
ชีวิตหกเดือนดำเนินมาอย่างเข้มข้น อุปสรรคมากมาย ได้เรียนรู้มากมาย เราพบว่า เรามีความอดทนมากขึ้น พยายามมากขึ้น อาจจะเสียใจเครียดบ้างที่ผ่านมา แต่สิ่งที่คุ้มค่าในการผ่านมาครั้งนี้คือ เราจะได้เรียบจบภาคปกติ 3 ปีครึ่งอย่างที่หวังไว้ ถึงเราเครียดมากยอมรับว่าเป็นอุปสรรคในการเรียน แค่เราต้องวิธีจัดการกับมัน เราค้นพบว่าถ้าเราว่างเราจะเครียด เวลาเรียนคือเวลาที่เราใช้ความคิด เวลาดูหนังเราตลกหัวเราะ เราเลยไม่ไปเครียดกับมัน สิ่งที่เราพึงทำได้ที่ผ่านมาคือ รออดทนมีวินัยในการรักษาตัวเองหาความสุขใส่ตัว นับวันรอจนมีวันนี้ที่เราผ่านมันมาได้ สิ่งที่เราต้องทำนอกจากกำจัดความเครียดในตัวเราแล้วเราต้องไม่ทำให้คนรอบข้างเราพ่อแม่เราเครียดไปกับเราด้วย เรายอมป่วยคนเดียวดีกว่าให้พ่อแม่เราต้องมาเครียดกับเรา นี่คือสิ่งที่เราคิดว่ายากที่สุดในการป่วยครั้งนี้ ส่วนเรื่องการจะหายไม่หายเราคิอเป็นประเด็นรอลงมามันขึ้นอยู่กับตัวเรา เราพร้อมที่จะพยายามไหม และเราพร้อมที่จะยอมรับไหมถ้ามันไม่หาย แต่จะหายสนิทหรือไม่คงแล้วแต่ร่างกายเราต่อไปได้แต่ภาวนาว่าจะเหมือนเดิม เราทำได้เท่าที่เราทำได้เพราะเราไม่ได้มีโอกาสที่จะไปรักษาครบวงจรขนาดนั้นเรายอมรับในส่วนนี้
แต่ที่เราคิดตอนนี้คือเราหายได้ขนาดนี้ก่อดีแล้ว
สำหรับใครที่เป็นแบบเราแนะนำให้รีบหาหมอเร็วที่สุดเพื่อป้องกันกันความเสือหายของเส้นประสาท และคุณต้องอดทนมีวินัย และระยะเวลาเท่านั้นที่จะทำให้คนดีขึ้น คุณต้องจัดการกับควาเครียดในตัวคุณให้ได้เสียก่อน ยิ่งเครียดน้อยลงจะทำให้เราหายเร็วขึ้น มันรักษาให้หายได้อย่าพึ่งท้อนะเราหายได้เธอก่อหายได้เพียงแต่ต้องใช้เวลา
ถ้าคุณคิดว่าคุณโชคร้ายที่ต้องมาพบเจอกับ ฺBell Palsy แล้ว คุณลองมองไปที่คนพิการแขนขาตา เขายังผ่านมันมาได้เลยแล้วคุณละ
ปล.ใช้ภาษาแบบรัดกุมต้องขอโทดด้วยที่พิมพ์ไม่ถูก ตั้งกระทู้สนทนาก่อไม่เป็น ต้องขอโทดด้วย
ฺBell Palsy การป่วยที่ไม่ทรมานกายแต่ทรมานใจของฉัน
ฉันเป็ยวัยรุ่น ผู้หญิงอายุ 20 ปี ก่อเหมือนนิสิตทั่วไปที่เวลาสอบจะนอนดึกจากการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบแต่แตกต่างกับคนอื่นอย่างหนึ่งตรงที่ฉันมีเวลาน้อยกว่าคนอื่น เนื่องจากฉันต้องทำงานหลังเลิกเรียน ดังนั้นจึงเกิดการพักผ่อนไม่เพียงพอ ประกอบกับการติดเชื้องูสวัดจากเพื่อนที่เป็น เชื้อนี้จึงไปจับตัวบริเวณเส้นประสาทคู่ที่เจ็ด ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้ใบหน้าข้างซ้ายของฉันหยุดทำงานไป จึงทำให้ดูหน้าเบี้ยวไปครึ่งหนึ่ง
อาการเริ่มแรกวันที่ 7 มิถุนายน 2560 ฉันสังเกตุได้ว่าตนเองมีภาวะต่อมน้ำเหลืองหลังหูซ้ายโตผิดปกติ ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าฉันกำลังจะป่วยเป็นไข้หรือคออักเสบสักอย่างจากประสบการณ์ที่เคยเป็น จึงไปหาหมอที่คลินิคแห่งหนึ่ง เขาได้จ่ายยาแก้อักเสบมาทาน จากนั้นตอนกลางคืนฉันเข้านอนเริ่มมีอาการปวดหลังหูปวดทรมานเหมือนจะทนไม่ไหวนอนไม่ได้เลยทั้งคืน
เช้าวันที่ 8 ฉันเริ่มรู้สึกปากชาในยามเช้าเม้มปากและบ้วนน้ำได้ลำบากขึ้นปากประกบกันเบี้ยวนิดๆ เลยคิดว่าตนเองแ้ยาจากคลินิก จึงได้ รพ คราวนี้หาสาเหตุกับวุ่นวายทั้งเภสัชและหมอ คือเรายังไม่รู้ตัวว่าติดเชื้องูสวัด บอกตรงๆเลยว่าหมอตรวจไม่ค่อยละเอียดเท่าไร เราไป รพ รัฐต้องทำใจเราเข้าใจจะให้ดีเท่าเอกชนคงไม่ได้เพราะไม่ได้มีเราป่วยแค่คนเดียวมีคนรออีกมากมาย ผลจากการไป รพ หมอให้ยาตัวใหม่กลับมาเป็ฯยาแก้อักเสบอีกเช่นเคย
เราก่อทานยาช่วยให้ปวดน้อยลงแต่ต่อมหลังหูก่อยังไม่ยุบและยังคงปวดอยู่ หนำซ้ำอาการใบหน้าข้างซ้ายยิ่งแย่ลงประกบปากเบี้ยวมากขึ้นยิ้มปากเบี้ยว เราจึงบอกพ่อเราพ่อเราบอกว่าให้ไปหา รพ เอกชน ถ้าเช้าวันที่ 10 ยังไม่ดีขึ้น ใบหน้าข้างซ้ายเราขยับไม่ได้แล้ว ตาปิดไม่สนิทกระพริบตาไม่ได้แล้ว เรานอนไม่ได้ทั้งคืนจากการทรมานใจ อีกทั้งเราหาข้อมูลจากเน็ตทั้งคืนยิ่งทำให้เรารู้มากขึ้นว่าอาการที่เราเป็นนั้นอาจเป็น Bell Palsy เราไป รพ แห่งหนึ่งที่พัทยา เขาฉีดยาแก้อักเสบให้เราบอกว่าเราเป็น Bell Palsy จากการติดเชื้องูสวัด มีผื่นขึ้นที่คอใสๆสองสามจุดเองเล็กมากกกก และให้วิตามินบีกับยาต้านเชื้อมาทาน จากนั้นแนะนำให้เรากลับไปรักษาที่ รพ ใกล้บ้านต่อเพราะสิทธิการรักษาของเราอยู่ที่นั่น
เรามารู้ตัวว่าเป็น Bell Palsy ก่อเข้าวันที่สามของการป่วยแล้ว เราใช้ชีวิตลำบากมาก กินข้าวก่อลำบากเพราะปากประกบกันไม่ได้ กระพุ้งแก้มข้างซ้ายก่อไม่สามารถเคลียอาหารได้ เวลาเคี้ยวอาหารจะไปคชติดที่กรุ้งแก้มซ้ายตลอดเวลา กินน้ำก่อหกออกจากปากเพราะไม่สามารถควบคุมปากได้ พูดก่อไม่ชัดโดบเฉพาะคำที่ต้องใช้ ป ฟ บ ยากมาก ทำให้เราพูดกับคนอื่นน้อยลง กินได้น้อยลง นอนไม่หลับ เอาง่ายๆเครียดจนเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้า เราจึงไปทำเรื่องรกษาตัวที่ รพ รัฐที่เดิมต่อ เขาบอกเราว่าอาการนี้จะหายหรือดีขึ้นในหกเดือนหรือมากกว่านั้นแล้วแต่คน เขาไม่รับประกันว่าใบหน้าจะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมไหม เขาให้เราทำกายภาพด้วยตนเอง กายภาพด้วยกระตุ้นไฟฟ้า ตรวจเส้นประสาทคลื่นไฟฟ้า และตรวจหูและดวงตา เราต้องหาหมอห้าคนพร้อมกันในทุกเดือน
ในช่วงเดือนแรกเราต้องทานยาต้านเชื้อทุกๆ 4 ชม 4 เวลาต่อวัน ต้องทานเสตียรอยครั้งละ 3 เม็ด และวิตามินบี ทุกๆ 6 ชม สรุปแล้ววันๆนึงเราทานยา 17 เม็ดต่อวัน อีกทั้งต้องทานยาคลายเคลียดก่อนนอนเพื่อให้นอนหลับจากการเครียด เราต้องไปกระตุ้นไฟฟ้าทุกอาทิตในสามเดือนแรกเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตาย เราต้องไปหาหมอตาทุกเดือนเพื่อป้องกันการได้รับความเสียหายของกระจกตาจากการหลับตาไม่สนิท เราต้องตรวจหูทุกเดือนเนื่อจากอาการนี้จะกระทบต่อการได้ยินเสียงจะทำให้เราได้ยินเสียงดังกว่าคนปกติหลายเท่าแค่เสียงจานกระทบกันยังปวดหู แล้วทุกคนลองคิดดูนะว่า รพ รัฐขั้นตอนมากมาย เราต้องทนนั่งรอคิวนั่งติดต่อ ในทุกๆขั้นตอนนานและช้ามากขนาดไหน
แต่สิ่งที่ทุกคนต้องมีเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับการป่วยครั้งนี้คือ
1 กำลังใจและความอดทน สำคัญมากๆเราเชื่อว่าไม่มีคนไหนหรอกที่จะไม่เครียดถ้าหน้าตัวเองเบี้ยว
2 การจัดการความเครียด สำคัญมากเช่นกัน เราใช้วิธีดูหนังตลก การ์ตูน บอกเลยเราดู มิ้นกับมิวเบนชลาทิศ ไดอารี่ตุ้ดซี่ โทริโกะ ร้องไห้ได้ถ้าเครียดมากแต่ร้องแบบมีลิมิตอาทิตละครั้งพอ
3 แว่นตา เราต้องปกป้องดวงตาของเราไม่ให้กระจกตาได้รับความเสียหาย
4 เจลใส่ตา ไม่ให้ตาแห้งเพราะหลับตาไม่สนิทเวลานอน
5 หน้ากากอนามัย แน่นอนว่าอายที่ปากเบี้ยวปากตก
เราโชคดีที่เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ปีสอง แต่โชคร้ายคืออีก 1 เดือนจะเปิดเทอม แน่นอนว่าภายในหนึ่งเดือนที่เราป่วยนั้นวุ่นวายอยู่กับการหาหมอในช่วงแรก จนมาถึงจุดที่เราเครียดอีกครั้งก่อคือวันเปิดเทอม เรากังวลมากว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร แต่เราก่อต้องยอมรับความจริงว่าชีวิตต้องเดินต่อ เราเป็นเด็กธรรมดาที่ฐานะทางบ้านไม่ได้รวย แต่ก่อไม่จน ใจเราอยากดรอปเรียน อยากไปหาหมอดีๆ แต่เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะพ่อแม่เราต้องลำบากมากขึ้นถ้าเราทำเช่นนั้น เราเชื่อว่าถ้าเราร้องขอกับพ่อแม่ไปเช่นนั้นพ่อแม่เราต้องทำทุกวิธีให้เราได้รักษาใน รพ ดีๆแพงๆ แต่เราคิดเพียงแต่ว่ารักษาไปตามกำลังของเราก่อพอ เราไม่อยากให้พ่อแม่เราเดือดร้อนเพราะเราคนเดียว นี่คือสิ่งที่เราเลือกที่จะกระทำได้ในตอนนั้น แต่สิ่งที่เราปกปิดให้มันไม่แสดงออกมาได้คือความเครียดความกังวลของเรา ซึ่งเราก่อไม่อยากแสดงออกมาให้พ่อแม่ไม่สบายใจหรอกแต่เราก่ออดไม่ได้เราพยายามแล้ว อีกทั้งถ้าเราดรอปเราก่อจะเรียนจบช้าลง ทำงานหาเงินได้ช้าลง พ่อแม่เราก่อจะหมดภาระช้าลง เราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น จึงตัดสินใจลงทะเบียนเรียนไป เราเพียงแต่คิดไว้ว่าเพื่อแม่และคิดเพียงว่านี่คือแบบทดสอบของชีวิตเรา ถ้าเราผ่านมันไปได้เราจะประสบความสำเร็จและเจอกับสิ่งที่คุ้มค่าต่อการอดทนที่ผ่านมา
และแน่นอนค่ะวันเปิดเทอมวันแรกจิตตกนิดหน่อย พูดคุยกับเพื่อนน้อยลงจากคนที่ร่าเริงเฮฮา อาการเราดีขึ้นไม่ปวดหลังหูบวมน้อยลง แต่ใบหน้ายังขยับไม่ได้ เราใส่แว่น ใส่หน้ากากไปเรียน ใครถามก่อบอกว่าป่วย เราทานข้าวลำบากมากจะเลือกทานต่อหน้าเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะเวลาทานอาจดูไม่เรียบร้อย เราทำอย่างนี้ไปเรียนทุกวันใส่หน้าการแว่นตาทุกคาบ
อาการเราเริ่มดีขึ้นในเดือนที่ 3 สัญญานของการดีขึ้นคือใบหน้าข้างซ้ายจุดที่มีการพัฒนาจะกระตุก เริ่มจากตาสามารถขยับได้ทีละนิดนิดเดียวจิงๆ มาปากทีละยิดสั่นๆกระตุกๆเหมือนกัน มาจมูก
ในเดือนที่ 4 ขยับได้มากขึ้นพอยกปากได้เวลายิ้ม ตาเริ่มปิดลงมาได้มากกว่าเดิมเวลานอน หมอเลิกนัดกายภาพไฟฟ้า เหลือแต่นวดเองที่บ้าน
ในเดือนที่ 5 เราเริ่มยิ้มได้นิดหน่อยตาปิดได้มากขึ้น ปากเริ่มประกบได้เบี้ยวน้อยลง
ในเดือนที่ 6 ณ วันนี้ปัจจุบันนี้ปิดเทอมพอดี เรายิ้มได้แล้ว แต่ไม่เท่ากันยังคงเบี้ยวยักคิ้วได้แล้วแต่มีผลข้างเคียงคือเวลาเรายักคิ้วปากเราจะยับตามไปด้วยดื่มน้ำไม่หกแล้ว ตาปิดสนิท แต่เราไม่สามรถเก็บมในปากได้แบบแก้มป่อง กลั้วปากบ้วนน้ำไม่ได้ เพราะปากเรายังไม่มีแรงในข้างซ้าย แต่ยังมีการกระตุกอยู่เราจึงภาวนาว่ามันยังฟื้นฟูได้อีก ตอนนี้เราดื่มน้ำไม่หกแล้ว ทานข้าวกระพุ้งแก้มเคลียอาหารได้แล้วคุณหมเลิกนัดทุกคนแล้ว หมอบอกว่าที่เหลือแล่วแต่ร่างกายเราแล้วว่าจะฟื้นฟูได้แค่ไหน หมอบอกไว้ว่าลิมิตการหาย ภายในหกเดือน นี่ก่อเดือนที่หกแล้ว ฉันได้แต่ภาวนาให่มันหายเป็นปกติ
ชีวิตหกเดือนดำเนินมาอย่างเข้มข้น อุปสรรคมากมาย ได้เรียนรู้มากมาย เราพบว่า เรามีความอดทนมากขึ้น พยายามมากขึ้น อาจจะเสียใจเครียดบ้างที่ผ่านมา แต่สิ่งที่คุ้มค่าในการผ่านมาครั้งนี้คือ เราจะได้เรียบจบภาคปกติ 3 ปีครึ่งอย่างที่หวังไว้ ถึงเราเครียดมากยอมรับว่าเป็นอุปสรรคในการเรียน แค่เราต้องวิธีจัดการกับมัน เราค้นพบว่าถ้าเราว่างเราจะเครียด เวลาเรียนคือเวลาที่เราใช้ความคิด เวลาดูหนังเราตลกหัวเราะ เราเลยไม่ไปเครียดกับมัน สิ่งที่เราพึงทำได้ที่ผ่านมาคือ รออดทนมีวินัยในการรักษาตัวเองหาความสุขใส่ตัว นับวันรอจนมีวันนี้ที่เราผ่านมันมาได้ สิ่งที่เราต้องทำนอกจากกำจัดความเครียดในตัวเราแล้วเราต้องไม่ทำให้คนรอบข้างเราพ่อแม่เราเครียดไปกับเราด้วย เรายอมป่วยคนเดียวดีกว่าให้พ่อแม่เราต้องมาเครียดกับเรา นี่คือสิ่งที่เราคิดว่ายากที่สุดในการป่วยครั้งนี้ ส่วนเรื่องการจะหายไม่หายเราคิอเป็นประเด็นรอลงมามันขึ้นอยู่กับตัวเรา เราพร้อมที่จะพยายามไหม และเราพร้อมที่จะยอมรับไหมถ้ามันไม่หาย แต่จะหายสนิทหรือไม่คงแล้วแต่ร่างกายเราต่อไปได้แต่ภาวนาว่าจะเหมือนเดิม เราทำได้เท่าที่เราทำได้เพราะเราไม่ได้มีโอกาสที่จะไปรักษาครบวงจรขนาดนั้นเรายอมรับในส่วนนี้
แต่ที่เราคิดตอนนี้คือเราหายได้ขนาดนี้ก่อดีแล้ว
สำหรับใครที่เป็นแบบเราแนะนำให้รีบหาหมอเร็วที่สุดเพื่อป้องกันกันความเสือหายของเส้นประสาท และคุณต้องอดทนมีวินัย และระยะเวลาเท่านั้นที่จะทำให้คนดีขึ้น คุณต้องจัดการกับควาเครียดในตัวคุณให้ได้เสียก่อน ยิ่งเครียดน้อยลงจะทำให้เราหายเร็วขึ้น มันรักษาให้หายได้อย่าพึ่งท้อนะเราหายได้เธอก่อหายได้เพียงแต่ต้องใช้เวลา
ถ้าคุณคิดว่าคุณโชคร้ายที่ต้องมาพบเจอกับ ฺBell Palsy แล้ว คุณลองมองไปที่คนพิการแขนขาตา เขายังผ่านมันมาได้เลยแล้วคุณละ
ปล.ใช้ภาษาแบบรัดกุมต้องขอโทดด้วยที่พิมพ์ไม่ถูก ตั้งกระทู้สนทนาก่อไม่เป็น ต้องขอโทดด้วย