หลังจากที่ตัดสินใจปลดเกษียร Macbook Pro รุ่น mid 2010 (แต่ซื้อใช้ตอนต้นปี 2011) เพราะที่ตัว wifi bluetooth เสียอย่างเป็นทางการ และปัญหาจิปปาถะเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่งออกอาการ หลังการใช้งานมาเป็นระยะเวลา 6 ปี 9 เดือน จึงไม่อยากจ่ายเงินค่าซ่อมค่ะ เพราะต้องบานปลายแน่ๆ จึงได้ตัดสินใจซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งก็คงไม่แปลกที่จะเลือกค่ายเดิม เพราะตั้งแต่ใช้งานมา ไม่เคยเข้าศูนย์เลยค่ะ แบตก็ยังดี แต่เครื่องใหม่ เราเลือกเป็น Macbook ธรรมดา เพราะไม่ต้องใช้งานเยอะแบบเมื่อก่อนแล้ว

เนื่องจากอยู่ต่างจังหวัด การเดินเข้า iStudio ไปซื้อของ ไม่ต้องเสี่ยงกับขนส่งน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่ปัญหาคือ เราอยากอัพเครื่องนิดหน่อย ซึ่งถ้ารอของจาก iStudio ใกล้บ้าน ต้องรอสินค้าเป็นเวลา 1 เดือนค่ะ แต่ในขณะที่สั่งออนไลน์ ได้ของภายใน 1 อาทิตย์ และสามารถคืนสินค้าได้ภายใน 14 วัน พร้อมคืนเงิน

เราก็เลยตัดสินใจแบบไม่คิดอะไรมาก อย่างน้อยก็เปลี่ยนเครื่องได้ คืนเงินได้นะ พอกดซื้อเสร็จ ก็ว่างค่ะ เลยมานั่งเข้าพันทิป ปรากฏว่าไปเจอกระทู้เก่า เรื่องการส่งของต่อให้ไปรษณีย์ 555 ทีนี้เริ่มเครียดละ เพราะเป็นคนไม่ค่อยดูข่าวเลยไม่ทราบเรื่อง แต่ในใจคิดว่า DHL เจอขนาดนี้ น่าจะทำอะไรบ้างแหละ วันรุ่งขึ้นเลยตัดสินใจโทรไปถาม DHL เลยค่ะ

คำถามแรกที่ถามเลยคือ: จังหวัดที่เราอยู่ อยู่ในเขตให้บริการของ DHL หรือเปล่าคะ (พอได้ยินชื่อจังหวัดเท่านั้น)
พนักงานก็ตอบกลับทันใดว่า: ไม่อยู่ครับ (เหอๆ เลเวลความเครียดเริ่มเพิ่มขึ้น)

จากนั้นเราเลยเล่าให้พนักงานฟังว่าสั่งของจากทาง Apple แล้วของส่งทาง DHL ถ้าไม่อยู่ในเขตให้บริการแบบนี้จะทำไง บลาๆ สุดท้ายจึงได้คำตอบว่า ของๆ เรา จะถูกส่งต่อให้ Kerry เท่านั้นล่ะค่ะ ยิ้มออกเลย 555

เราเองก็ไม่ได้จะอวย Kerry หรอกนะคะ แต่แถวบ้านเรา ไปรษณีย์ไทยมีแต่รถมอเตอร์ไซด์น่ะค่ะ พัสดุขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ก็ใส่ถุงพลาสติกหนาๆ มีที่ปิด ห้อยสองข้างตลอด ถ้าของชิ้นใหญ่ จะมีกระดาษแจ้งว่าของชิ้นใหญ่ ให้ไปรับเองที่ที่ทำการ ซึ่งเราก็รู้ว่า กล่องใส่ Mac เนี่ย ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ได้กระเตงมาทางนี้แน่นอน และถ้าเจอวันฝนตก กล่องก็จะเปียกเล็กน้อยเป็นปกติ ขณะที่ Kerry ส่งของด้วยรถกระบะ ถึงบ้านเราทุกครั้ง ทำให้เราสบายใจกว่าหากต้องส่งของที่มีราคา นี่แหละชีวิตต่างจังหวัด ที่พอมีความเจริญอยู่บ้าง โชคดีไป

และนี่คือสภาพของที่ได้รับในหนึ่งอาทิตย์ถัดมาค่ะ





มีรอยบ้างเล็กน้อยด้านนอก แต่สภาพถือว่าสมบูรณ์ดี และกล่องภายใน ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแม้แต่น้อย ไม่ต่างกับซื้อตรงจากที่ร้านเลยทีเดียว ))

สรุปคือ ชอบค่ะ ได้ของตรงตามเวลาที่กำหนด ไว้ใจหากต้องสั่งของทางนี้อีกค่ะ

ปล. ระหว่างรอของ ด้วยความตื่นเต้น รอของใหม่ 555 เราก็อดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปดูรีวิวต่างๆ ทั้ง Youtube และพันทิป ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่ ส่วนตัว เราชอบ Apple เพราะใช้แล้วคุ้ม บริการหลังการขายดี ที่ชาร์จมีปัญหาก็เปลี่ยนได้เลยอะไรแบบนี้ ส่วนของ Windows เราก็ใช้ในที่ทำงาน ก็ใช้ดี สะดวก ไม่มีปัญหาอะไร แต่ข้อดีของ Windows ไม่ใช่แบบที่เราชอบ และมีความหลังฝังใจ เลยไม่คิดกลับไปใช้อีก พอได้เข้ามาอ่านจึงรู้สึกตลกและแปลกใจกับคอมเม้นต่างๆ แม้แต่คอมเม้นว่าใช้เองก็ตาม แต่ดูจะไม่เข้าใจ Apple หรืออาจเพราะใช้ตามกระแสเลยไม่ตอบโจทย์ อย่างเช่น USB-C พอร์ตเดียวของเจ้า Macbook นี่ บ่นกันเยอะมาก (แต่ก็ซื้อมาถือและบ่นให้ดู 555) นี่แหละความเป็น Apple เอาแต่ใจ เชื่อมต่อกับชาวบ้านไม่ค่อยได้ ทำอะไรที่ตลาดส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ แต่หากมองถึงอนาคต การเชื่อมต่อไร้สายเป็นสิ่งที่พัฒนามากขึ้น พอร์ตเหล่านี้ก็จำเป็นน้อยลง เราว่านี่แหละ สิ่งที่พี่จ๊อบทิ้งไว้ เพราะเป็นสิ่งที่เขาทำมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดชีวิตของเขา และพี่ทิมก็สานต่อ แม้สไตล์จะต่างกันบ้าง แต่ความดื้อไม่ทิ้งกันเลย

เราก็สนุกที่ได้เห็น Apple ทำอะไรดื้อๆ แบบนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และที่จับตามอง ไม่สนเมื่อไอเดียถูกนำไปเลียนแบบพร้อมวางขายตัดหน้า นำสิ่งที่ดีมาให้ผู้ใช้ได้เลือกก่อนซื้อทุกครั้ง บริการหลังการขายที่ดี (เน้นที่ Apple Store แท้นะคะ อิอิ) รวมถึงการตั้งราคาไม่สนใจคู่แข่ง

และถ้ามีคนมาบ่นหรือชมผลิตภัณฑ์ของ Apple ให้ฟัง เราก็จะยิ้มพร้อมยกคิ้ว 1 ข้าง และพูดว่า "นี่แหละ Apple"

จากเด็กดื้อคนหนึ่งที่ชอบแอปเปิ้ล