สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
sex มันก็คือกิจกรรม การผ่อนคลาย เป็นสันทนาการรูปแบบหนึ่งไม่ต่างจากการไปเตะบอล เล่นบาส ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การออกไปทานอาหาร ส่วนใครที่บูชาการมีเพศสัมพันธ์ว่าเป็นสิ่งเลอค่าสูงส่งเลิศเลอมันเกิดจากการ romanticize ขึ้นมาเองล้วน ๆ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้ดีหรือวิเศษไปกว่าใคร ถ้าเจอคนแบบนี้ผมคงเฉยๆ เพราะไม่ได้คิดว่าใครจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรี หรือมีคุณค่ามากน้อยไปกว่าใครเพียงเพราะจำนวนครั้ง ในการมีเพศสัมพันธ์ หรือจำนวนคนที่มีเพศสัมพันธ์ด้วย
ความคิดเห็นที่ 6
ชีวิตจริงก็อย่างนี้แหละครับ จะมีติ่งฝรั่งมาด่าผมอีกไหมที่ตอบอย่างนี้ ผมก็ติ่งฝรั่งเหมือนกัน แต่นี่มันเป็นเรื่องจริง ทำไมจะตอบไม่ได้อะ
โลกแห่งตะวันตกเขาถือว่าเพศสัมพันธ์ คือความสุขอย่างหนึ่ง ที่ควรกอบโกย
แล้วไม่ใช่เฉพาะฝรั่ง แต่หมายถึงมนุษย์ทุกเผ่าทั่วไปที่อยู่บนโลกแห่งตะวันตกแห่งนี้ก็นึกอย่างเดียวกัน
แต่มันก็มีบรรทัดฐานของมันเหมือนกันนะ เช่น
- ถ้ามีคนรักแล้ว ก็จะมีเพศสัมพันธ์ได้แค่กับคนรักเท่านั้น อย่าว่าถึงตรงนั้นเลย ขนาดจะมองตาในลักษณะชู้สาวกับคนอื่นยังไม่ได้เลย
- ไม่ลวนลามและไม่ข่มขืน ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากทำ ก็ต้องจบ
- มีเพศสัมพันธ์เมื่ออยู่ในวัยเจริญพันธุ์
ฯลฯ
ถ้าแหกกฎเหล่านี้ เขาก็จะไม่ยอมรับว่ามันปกติ แต่ถ้ายังอยู่ในกรอบเหล่านี้ อันนี้เขายอมรับว่ามันปกติ ฉะนั้นจะมีเพศสัมพันธ์กับใคร, บ่อยเพียงใด, และเมื่อไรก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราและเขาต้องการหรือไม่ก็เท่านั้น
ทั้งนี้สำหรับคนโสด การจะมีเพศสัมพันธ์บ่อยและกับผู้คนที่หลากหลายขนาดไหน อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจริงๆ มีหลายตัวแปรมากำหนดครับ บางคนปีหนึ่งอาจจะไม่กี่ครั้ง บางคนอาจจะแทบทุกวัน
กรณีของผู้หญิง ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่หลากหลายมากๆ อาจจะโดนกัดบ้างว่าเป็นอีตัว แต่ผมว่าก็ออกแนวกัดขำๆนะ แล้วในชีวิตจริง ผู้หญิงในโลกแห่งตะวันตกก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่แตกต่างจากผู้ชายในโลกแห่งตะวันตกสักเท่าไร
แล้วการมีเพศสัมพันธ์ที่อยู่ในบรรทัดฐานเหล่านั้น มันก็จะไม่กำหนดคุณค่าของคนแต่อย่างใด
คุณค่าของคนมันก็จะถูกกำหนดจากอย่างอื่น อย่าง ความรับผิดชอบ, นิสัย, ความสนใจ, และความสามารถในด้านต่างๆ
ทั้งนี้บุคคลในโลกแห่งตะวันตกที่ใช้ชีวิตในลักษณะที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกหลังการแต่งงานก็มีครับ แล้วนี่เป็นวัฒนธรรมของโลกแห่งตะวันตกวัฒนธรรมหนึ่งด้วย ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์เลือก
ผมเห็นทุกคนเขาก็อยู่ร่วมกันได้นะ แตกต่างแต่ไม่แตกแยก ไม่ได้มานึกว่าตนวิเศษกว่าผู้อื่นและติเตียนผู้ที่แตกต่างจากตน ผมว่านี่คือความมหัศจรรย์ของโลกแห่งตะวันตกอะ ที่คนที่นี่เขาเลือกที่จะยอมรับความแตกต่างของกันและกันในแทบจะทุกเรื่อง
โลกแห่งตะวันตกเขาถือว่าเพศสัมพันธ์ คือความสุขอย่างหนึ่ง ที่ควรกอบโกย
แล้วไม่ใช่เฉพาะฝรั่ง แต่หมายถึงมนุษย์ทุกเผ่าทั่วไปที่อยู่บนโลกแห่งตะวันตกแห่งนี้ก็นึกอย่างเดียวกัน
แต่มันก็มีบรรทัดฐานของมันเหมือนกันนะ เช่น
- ถ้ามีคนรักแล้ว ก็จะมีเพศสัมพันธ์ได้แค่กับคนรักเท่านั้น อย่าว่าถึงตรงนั้นเลย ขนาดจะมองตาในลักษณะชู้สาวกับคนอื่นยังไม่ได้เลย
- ไม่ลวนลามและไม่ข่มขืน ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากทำ ก็ต้องจบ
- มีเพศสัมพันธ์เมื่ออยู่ในวัยเจริญพันธุ์
ฯลฯ
ถ้าแหกกฎเหล่านี้ เขาก็จะไม่ยอมรับว่ามันปกติ แต่ถ้ายังอยู่ในกรอบเหล่านี้ อันนี้เขายอมรับว่ามันปกติ ฉะนั้นจะมีเพศสัมพันธ์กับใคร, บ่อยเพียงใด, และเมื่อไรก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราและเขาต้องการหรือไม่ก็เท่านั้น
ทั้งนี้สำหรับคนโสด การจะมีเพศสัมพันธ์บ่อยและกับผู้คนที่หลากหลายขนาดไหน อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจริงๆ มีหลายตัวแปรมากำหนดครับ บางคนปีหนึ่งอาจจะไม่กี่ครั้ง บางคนอาจจะแทบทุกวัน
กรณีของผู้หญิง ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่หลากหลายมากๆ อาจจะโดนกัดบ้างว่าเป็นอีตัว แต่ผมว่าก็ออกแนวกัดขำๆนะ แล้วในชีวิตจริง ผู้หญิงในโลกแห่งตะวันตกก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่แตกต่างจากผู้ชายในโลกแห่งตะวันตกสักเท่าไร
แล้วการมีเพศสัมพันธ์ที่อยู่ในบรรทัดฐานเหล่านั้น มันก็จะไม่กำหนดคุณค่าของคนแต่อย่างใด
คุณค่าของคนมันก็จะถูกกำหนดจากอย่างอื่น อย่าง ความรับผิดชอบ, นิสัย, ความสนใจ, และความสามารถในด้านต่างๆ
ทั้งนี้บุคคลในโลกแห่งตะวันตกที่ใช้ชีวิตในลักษณะที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกหลังการแต่งงานก็มีครับ แล้วนี่เป็นวัฒนธรรมของโลกแห่งตะวันตกวัฒนธรรมหนึ่งด้วย ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์เลือก
ผมเห็นทุกคนเขาก็อยู่ร่วมกันได้นะ แตกต่างแต่ไม่แตกแยก ไม่ได้มานึกว่าตนวิเศษกว่าผู้อื่นและติเตียนผู้ที่แตกต่างจากตน ผมว่านี่คือความมหัศจรรย์ของโลกแห่งตะวันตกอะ ที่คนที่นี่เขาเลือกที่จะยอมรับความแตกต่างของกันและกันในแทบจะทุกเรื่อง
ความคิดเห็นที่ 40
มีกี่คนที่มีเพื่อน มีคนรู้จักที่ฝรั่ง
นี่หมายถึง ฝรั่งที่ทำงานด้วยกัน เรียนหนังสือมาด้วยกัน
และไม่นับฝรั่งที่มาเที่ยว มาหาความสำราญ หรือตั้งใจมาเพื่อหาความสุขทางเนื้อหนังนอกประเทศของเขา เพราะพวกนี้ก็ไม่ต่างจากชายไทยที่ไปเที่ยวผู้หญิง หรือไปพยายามที่จะหาผู้หญิงมานอนด้วย
ฝรั่งหัวแดงที่ Conservative ก็มีเยอะแยะไป พวกนี้บางคนเคร่งกว่าเราชาวพุทธเป็นไหนๆ
ถ้าคุณทำงานในบริษัทต่างชาติคุณจะรู้ว่าเรื่องชู้สาวเป็นเรื่องสำคัญ ในบริษัทข้ามชาติไม่ว่าคุณจะสัญชาติไหน ถ้ามีเรื่องพวกนี้ก็ไม่เจริญในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะเมื่อไปมีเรื่องมีราวในขณะที่ตัวเอง หรือคู่กรณีมีครอบครัวอยู่แล้วนั่นยิ่งทำให้หน้าที่การงานจบลงโดยทันที เห็นมาหลายคนแล้วครับ
เราอยู่ร่วมกันเป็นสังคม มีหน้าที่ มีเรื่องราวอื่นๆ ที่ต้องทำร่วมกันอีกตั้งมากตั้งมาย
จึงต้องมีกรอบบางอย่างเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรายังดำรงเป็นสังคมแบบนี้ได้
ถ้าเราไม่มีกรอบจริยธรรม เราก็ไม่ต่างจากสัตว์อื่นๆ ที่พร้อมที่จะทำตามสิ่งที่ธรรมชาติสั่ง
ใครดี ใครแข็งแรงก็ผลิตลูกได้มาก และเผลอๆ ไม่ต้องสนใจเลี้ยงให้โตแบบมีคุณภาพซะด้วย
อนึ่ง การยับยั้งชั่งใจบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการบอกความเป็นไปได้ในการอยู่ร่วมกันจนแก่จนเฒ่า บอกความสามารถในการเป็นพ่อแม่คนในอนาคต
ผมไม่ได้บอกว่าคนซิงดีกว่าคนอื่น เพราะคนเราพลาดกันได้ คิดดีแล้ว เลือกดีแล้วก็ยังผิดได้
แต่ผมเชื่อว่าคนที่ไม่มั่ว น่าจะมีชีวิตคู่ยืนยาวกว่า มีวิจารณญาณที่ดีกว่า มีความอดทนสูงกว่า
แต่งงานอยู่ด้วยก้นแล้ว มีเรื่องให้หมางใจกันก็ปรับตัวได้ง่ายกว่า
โบราณถึงให้ดูใจกันก่อนที่จะตกลงปลงใจกัน
ส่วนใครจะสนับสนุนให้ใช้ร่างกายในการหาความสุขใส่ตนเองก็แล้วแต่ เพราะนั่นเป็นร่างกายของคุณเอง
เพียงแต่เมื่อจะเลือกคู่ครอง โดยเฉพาะเมื่อโดนถามพวกคุณควรจะกล้าพูดความจริง เพราะคู่ชีวิตคุณอาจจะคิดเหมือนผม
ถ้าพยายามปกปิด ถ้าไม่พยายามบอกความจริง ก็แปลว่าไม่ได้รับผิดชอบกับทั้งหมดที่ได้เลือก เพราะเอาแต่สนุก แต่ไม่รับผลที่ตามมา
กรณีที่ตกลงปลงใจอยู่ด้วยกัน แล้วค้นเจอความจริงทีหลัง จะไปต่อว่าเมื่อเลิกกันก็คงไม่ใช่ เพราะตั้งใจหลอกเขามาตั้งแต่ต้น
แต่ละคนมีนิยามของ "ของดี" ไม่เหมือนกันครับ
นี่เป็นคนละเรื่องกับการกดขี่ทางเพศ แต่เป็นสิทธิของคนที่จะเลือกคู่ครองตามค่านิยมของตนเอง
เหมือนกับที่ใครจะเอาร่างกายตัวเองเป็นเครื่องหาความสุขนั่นแหละครับ
ที่ว่ามานี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศ เพราะผู้ชายดีๆที่พ่อแม่เขาสอนให้ไม่รังแกคนที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบนั้นมีจริงๆ ครับ
หลายครอบครัวสอนลูกชายแบบนี้ ไม่รัก ไม่ชอบก็ไม่ไปทำเขา มีจริง ขึ้นอยู่ว่าคุณเจอคนพวกนี้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง
โดยส่วนตัวผมเชื่อคนยึดอนุรักษ์นิยมเป็นส่วนใหญ่ ไม่งั้นป่านนี้คงนับญาติกันลำบากแล้วครับ
นี่หมายถึง ฝรั่งที่ทำงานด้วยกัน เรียนหนังสือมาด้วยกัน
และไม่นับฝรั่งที่มาเที่ยว มาหาความสำราญ หรือตั้งใจมาเพื่อหาความสุขทางเนื้อหนังนอกประเทศของเขา เพราะพวกนี้ก็ไม่ต่างจากชายไทยที่ไปเที่ยวผู้หญิง หรือไปพยายามที่จะหาผู้หญิงมานอนด้วย
ฝรั่งหัวแดงที่ Conservative ก็มีเยอะแยะไป พวกนี้บางคนเคร่งกว่าเราชาวพุทธเป็นไหนๆ
ถ้าคุณทำงานในบริษัทต่างชาติคุณจะรู้ว่าเรื่องชู้สาวเป็นเรื่องสำคัญ ในบริษัทข้ามชาติไม่ว่าคุณจะสัญชาติไหน ถ้ามีเรื่องพวกนี้ก็ไม่เจริญในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะเมื่อไปมีเรื่องมีราวในขณะที่ตัวเอง หรือคู่กรณีมีครอบครัวอยู่แล้วนั่นยิ่งทำให้หน้าที่การงานจบลงโดยทันที เห็นมาหลายคนแล้วครับ
เราอยู่ร่วมกันเป็นสังคม มีหน้าที่ มีเรื่องราวอื่นๆ ที่ต้องทำร่วมกันอีกตั้งมากตั้งมาย
จึงต้องมีกรอบบางอย่างเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรายังดำรงเป็นสังคมแบบนี้ได้
ถ้าเราไม่มีกรอบจริยธรรม เราก็ไม่ต่างจากสัตว์อื่นๆ ที่พร้อมที่จะทำตามสิ่งที่ธรรมชาติสั่ง
ใครดี ใครแข็งแรงก็ผลิตลูกได้มาก และเผลอๆ ไม่ต้องสนใจเลี้ยงให้โตแบบมีคุณภาพซะด้วย
อนึ่ง การยับยั้งชั่งใจบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการบอกความเป็นไปได้ในการอยู่ร่วมกันจนแก่จนเฒ่า บอกความสามารถในการเป็นพ่อแม่คนในอนาคต
ผมไม่ได้บอกว่าคนซิงดีกว่าคนอื่น เพราะคนเราพลาดกันได้ คิดดีแล้ว เลือกดีแล้วก็ยังผิดได้
แต่ผมเชื่อว่าคนที่ไม่มั่ว น่าจะมีชีวิตคู่ยืนยาวกว่า มีวิจารณญาณที่ดีกว่า มีความอดทนสูงกว่า
แต่งงานอยู่ด้วยก้นแล้ว มีเรื่องให้หมางใจกันก็ปรับตัวได้ง่ายกว่า
โบราณถึงให้ดูใจกันก่อนที่จะตกลงปลงใจกัน
ส่วนใครจะสนับสนุนให้ใช้ร่างกายในการหาความสุขใส่ตนเองก็แล้วแต่ เพราะนั่นเป็นร่างกายของคุณเอง
เพียงแต่เมื่อจะเลือกคู่ครอง โดยเฉพาะเมื่อโดนถามพวกคุณควรจะกล้าพูดความจริง เพราะคู่ชีวิตคุณอาจจะคิดเหมือนผม
ถ้าพยายามปกปิด ถ้าไม่พยายามบอกความจริง ก็แปลว่าไม่ได้รับผิดชอบกับทั้งหมดที่ได้เลือก เพราะเอาแต่สนุก แต่ไม่รับผลที่ตามมา
กรณีที่ตกลงปลงใจอยู่ด้วยกัน แล้วค้นเจอความจริงทีหลัง จะไปต่อว่าเมื่อเลิกกันก็คงไม่ใช่ เพราะตั้งใจหลอกเขามาตั้งแต่ต้น
แต่ละคนมีนิยามของ "ของดี" ไม่เหมือนกันครับ
นี่เป็นคนละเรื่องกับการกดขี่ทางเพศ แต่เป็นสิทธิของคนที่จะเลือกคู่ครองตามค่านิยมของตนเอง
เหมือนกับที่ใครจะเอาร่างกายตัวเองเป็นเครื่องหาความสุขนั่นแหละครับ
ที่ว่ามานี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศ เพราะผู้ชายดีๆที่พ่อแม่เขาสอนให้ไม่รังแกคนที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบนั้นมีจริงๆ ครับ
หลายครอบครัวสอนลูกชายแบบนี้ ไม่รัก ไม่ชอบก็ไม่ไปทำเขา มีจริง ขึ้นอยู่ว่าคุณเจอคนพวกนี้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง
โดยส่วนตัวผมเชื่อคนยึดอนุรักษ์นิยมเป็นส่วนใหญ่ ไม่งั้นป่านนี้คงนับญาติกันลำบากแล้วครับ
ความคิดเห็นที่ 71
ตอบแบบวิชาการนะ ต้องเท้าความว่าฝรั่งยุคเมื่อ100-200 ปีก่อนเขาเคร่งครัดในพรหมจรรย์มากๆ เพราะศาสนาคริสต์ เรื่องรักนวลสงวนตัวของคนไทยเราก็รับเอามาจากฝรั่งในยุคนั้นอีกทีหนึ่ง พอมีสงครามอะไรต่อมิอะไร เข้าสู่ยุคโพสท์โมเดิร์น คนเริ่มเสื่อมความศรัทธาในศาสนา เริ่มหันมาแสวงหาความต้องการแบบปัจเจก (เพราะเก็บกดมาเยอะ) ก็เลยกลายเป็นเหมือนสุดโต่งไปอีกทาง คือฟรีกันเลยทีเดียว ยุคที่เห็นได้ชัดคือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชัดเจนคือยุคกลาง 60's ยุคฮิปปี้เป็นต้นมา วัฒนกรรมกระแสหลักเรื่องนี้มาจากทางเมกัน
แต่ทั้งนี้ต้องดูว่าเป็นฝรั่งชาติไหนด้วย อย่างทางยุโรปคนค่อนข้างจะหัวก้าวหน้ากว่าทางฝั่งเมกัน ก็จะฟรีกันมากว่า แต่มองว่าเรื่อง พสพ เป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนกินอาหาร แต่ไม่ได้คลั่งไคล้หรือบ้ากาม คนเมกันจะมีหลายแนว แบบที่ฟรีเลยก็มี แบบที่เคร่งศาสนาอยู่เหมือนสมัยก่อนก็ยังมี
ที่สังเกตได้คือคนเมกันถ้ามาจากครอบครัวคริสเตียนจะเคร่งเรื่องนี้อยู่ จนเข้ามหาลัย เรียนจบแล้วหลายๆคนก็ยังจิ้นอยู่ก็มีนะ (ที่รู้เพราะว่าเคยมีเพื่อน) คือเขาจะใช้ชีวิตตามกรอบ เรียนโรงเรียนคริสเตียน เข้ามหาลัยคริสเตียน แต่งกับคนคริสเตียนด้วยกันที่พ่อแม่หาให้ โบราณกว่าคนไทยเยอะ 5555
แต่บางคนก็จะถือโอกาสช่วงเข้ามหาลัยปล่อยฟรีเหมือนกันเพราะเก็บกด ประมาณว่าขอลองเยอะๆก่อนแต่งงาน แต่หลายๆคนก็ยังรักษาจิ้นเอาไว้ได้เหมือนกัน คือมีหลากหลายมากๆ
อ้อ หนังฮอลลีวู้ดนี่เชื่อมากไม่ค่อยได้หรอกนะ เพราะเนื้อหาของหนังจะชอบหยิบเอาจุดเล็กจุดน้อยในสังคมมาเล่น โดยที่ไม่ค่อยมีความสมจริงสักเท่าไหร่ เพื่อนเมกันเรายังเคยบ่นว่า ซีรี่ส์อย่าง Melrose Place ทำให้คนทั่วโลกคิดว่าคนเมกันบ้าเซ็กส์กันหมดทุกคนเลย หรือ ER คุณหมอพยาบาลล่อกันในรพ. จริงๆแล้วคุณหมอชื่อดังของเมกาก็ออกมาบอกว่ารพ. จริงๆไม่มีแบบนี้นะ หนังมันทำเว่อร์ จริงๆก็คือพวกซีรี่มักจะมีฉากพวกนี้ ถ้าบทไม่เจ๋งจริงเพราะมันมีคติว่า Sex always sells คือ ฉากอย่างว่ายังไงก็ขายได้เสมอ คนดูหนังถ้าไม่มีวิจารณญาณนี่แย่หน่อยเพราะ agenda สอดแทรกเยอะในหนังฝรั่ง ก็คล้ายๆถ้าคนชาติอื่นดูละครไทย เขาจะคิดว่าคนไทยรวยมีบ้านเป็นวังกันทุกคนหรือเปล่า หรือนางร้ายก็ต้องแต่งหน้าจัดๆ ร้องกรี๊ดๆ ตบกัน แย่งผู้ชายกันทุกคนหรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ มันเป็นแค่จุดหนึ่งที่เขาเอามาสร้างกันแค่นั้น
จุดที่เราว่าน่ากลัวคือคนไทยสมัยใหม่เราเอาค่านิยมฟรีมาจากหนัง โดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสังคมเขามีกฎกติกามารยาทกันอย่างไรบ้าง และมีคนฝรั่งอีกหลายประเภทที่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่อย่างว่า เรารับวัฒนธรรมจากเขาโดยไม่มีความตระหนักรู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่างสมัยก่อนรับค่านิยมรักนวลสงวนตัว มาจากคนคริสต์ยุควิคตอเรียน หรือยุคนี้ฟรีกัน ก็รับเอามาจากหนังฮอลลีวู้ด -_- แต่ไม่รู้เลยว่าวิวัฒนการทางความคิดเขามายังไง
แต่ทั้งนี้ต้องดูว่าเป็นฝรั่งชาติไหนด้วย อย่างทางยุโรปคนค่อนข้างจะหัวก้าวหน้ากว่าทางฝั่งเมกัน ก็จะฟรีกันมากว่า แต่มองว่าเรื่อง พสพ เป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนกินอาหาร แต่ไม่ได้คลั่งไคล้หรือบ้ากาม คนเมกันจะมีหลายแนว แบบที่ฟรีเลยก็มี แบบที่เคร่งศาสนาอยู่เหมือนสมัยก่อนก็ยังมี
ที่สังเกตได้คือคนเมกันถ้ามาจากครอบครัวคริสเตียนจะเคร่งเรื่องนี้อยู่ จนเข้ามหาลัย เรียนจบแล้วหลายๆคนก็ยังจิ้นอยู่ก็มีนะ (ที่รู้เพราะว่าเคยมีเพื่อน) คือเขาจะใช้ชีวิตตามกรอบ เรียนโรงเรียนคริสเตียน เข้ามหาลัยคริสเตียน แต่งกับคนคริสเตียนด้วยกันที่พ่อแม่หาให้ โบราณกว่าคนไทยเยอะ 5555
แต่บางคนก็จะถือโอกาสช่วงเข้ามหาลัยปล่อยฟรีเหมือนกันเพราะเก็บกด ประมาณว่าขอลองเยอะๆก่อนแต่งงาน แต่หลายๆคนก็ยังรักษาจิ้นเอาไว้ได้เหมือนกัน คือมีหลากหลายมากๆ
อ้อ หนังฮอลลีวู้ดนี่เชื่อมากไม่ค่อยได้หรอกนะ เพราะเนื้อหาของหนังจะชอบหยิบเอาจุดเล็กจุดน้อยในสังคมมาเล่น โดยที่ไม่ค่อยมีความสมจริงสักเท่าไหร่ เพื่อนเมกันเรายังเคยบ่นว่า ซีรี่ส์อย่าง Melrose Place ทำให้คนทั่วโลกคิดว่าคนเมกันบ้าเซ็กส์กันหมดทุกคนเลย หรือ ER คุณหมอพยาบาลล่อกันในรพ. จริงๆแล้วคุณหมอชื่อดังของเมกาก็ออกมาบอกว่ารพ. จริงๆไม่มีแบบนี้นะ หนังมันทำเว่อร์ จริงๆก็คือพวกซีรี่มักจะมีฉากพวกนี้ ถ้าบทไม่เจ๋งจริงเพราะมันมีคติว่า Sex always sells คือ ฉากอย่างว่ายังไงก็ขายได้เสมอ คนดูหนังถ้าไม่มีวิจารณญาณนี่แย่หน่อยเพราะ agenda สอดแทรกเยอะในหนังฝรั่ง ก็คล้ายๆถ้าคนชาติอื่นดูละครไทย เขาจะคิดว่าคนไทยรวยมีบ้านเป็นวังกันทุกคนหรือเปล่า หรือนางร้ายก็ต้องแต่งหน้าจัดๆ ร้องกรี๊ดๆ ตบกัน แย่งผู้ชายกันทุกคนหรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ มันเป็นแค่จุดหนึ่งที่เขาเอามาสร้างกันแค่นั้น
จุดที่เราว่าน่ากลัวคือคนไทยสมัยใหม่เราเอาค่านิยมฟรีมาจากหนัง โดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสังคมเขามีกฎกติกามารยาทกันอย่างไรบ้าง และมีคนฝรั่งอีกหลายประเภทที่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่อย่างว่า เรารับวัฒนธรรมจากเขาโดยไม่มีความตระหนักรู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่างสมัยก่อนรับค่านิยมรักนวลสงวนตัว มาจากคนคริสต์ยุควิคตอเรียน หรือยุคนี้ฟรีกัน ก็รับเอามาจากหนังฮอลลีวู้ด -_- แต่ไม่รู้เลยว่าวิวัฒนการทางความคิดเขามายังไง
แสดงความคิดเห็น
ทำไม ฝรั่งในหนังถึงมี sex กันง่ายจัง แล้วในชีวตจริงพวกเค้าเป็นแบบนั้นมั๊ย