ตั้งแต่เราตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ มีคนหลายคนบอกเราว่า ถ้าไม่มีตังน่ะ อย่างหวังเลย เมืองนอกนะ ไม่ใช่หน้าบ้าน ไม่มีใครเชื่อเรา เราตั้งกระทู้อันนึงขึ้นมาถามนี่แหละ ว่าถ้าไม่มีตัง เราจะมีวิธีไหนไปได้บ้าง หลายคนก็บอกเราฝัน หลายคนก็บอกเราเพ้อเจ้อ แต่สิ่งนึงที่เรามั่นใจก็คือตัวเราเอง ชีวิตเราเปลี่ยนตั้งแต่เราตัดสินใจเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเราเอง ไม่มีใครได้ตังจากเราซักบาทในการสอนภาษาอังกฤษเรา เพราะเราต้องใช้ตังกิน ใช้ตังให้น้อง ให้ป๊ากับแม่ เราไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีเงินหมื่นเงินแสนกองอยู่ตรงหน้า อย่าว่าแต่เงินหมื่นเลย เงินร้อยยังใช้อาทิตย์ต่ออาทิตย์
ด้วยความที่ป๊ากับแม่สอนให้เราหาตังตั้งแต่เราเด็กๆ เราเลยทำอะไรได้หลายอย่าง เราสอนว่ายน้ำตั้งแต่สิบสองขวบ เราบอกตัวเองไว้ว่า เราจะต้องมีบ้านให้ป๊ากับแม่ให้ได้ เราจะต้องมีหน้าที่การงานที่ดี เหมือนที่ปู่กับย่าอยากให้เราเป็น มันฟังดูไม่ง่ายนะ แต่เราเชื่อว่าเราทำได้
มาเล่าถึงตอนเราตัดสินใจไปเรียนต่อดีกว่า ดูว่าเราตั้งใจทำให้อะไรเกิดขึ้นบ้าง...
เราใช้เวลาหลายวันมากในการหาข้อมูล หาคอร์สที่เราอยากเรียน หาทุนที่เราจ่ายน้อยที่สุด ตอนนั้นเราพึ่งเรียนจบ แล้วเราหยิบไปเจอหนังสือเล่มนึง หนังสือเล่นนั้นบอกเราว่า เราจะไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ จักรวาลอนุญาตให้เราไป ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ ยังไงจักรวาลก็ไม่ขัดขวาง หลังจากวันนั้น เราไปซื้อหนังสือ IELTS เล่มที่ถูกที่สุดที่ศูนย์หนังสือจุฬา มาอ่าน ตอนนั้นเราก็ลังเลว่าเอ้ เล่มนี้ดีที่สุดแล้วจริงๆใช่มั้ย เราจะซื้อแล้วนะ สุดท้ายเราก็ถอยมา แล้วนั่นก็เป็นหนังสือเล่มเดียวที่เราจ่ายตังเพื่ออ่านภาษาอังกฤษ
ตอนนั้นเราต้องตื่นตีห้า เพราะว่าที่ทำงานเราอยู่ที่อโศก แต่ที่พักเราอยู่ที่เกษตร (เราเป็นมนุษย์ชอบทำอะไรไกลๆมาตั้งนานละ บางทีก็เออทำไมไม่ชอบทำอะไรสบายๆ) ตอนนั้นตารางเราเป็นแบบ
05.00 - 08.00 a.m. ฟัง BBC NEWS; เราเปิดตั้งแต่เราตื่นนอน อาบน้ำสิบนาที แต่งตัวสิบนาที แล้วก็เดินไปขึ้นรถมล์ อยู่บนรถไฟฟ้า เดินไปออฟฟิศ จนกระทั่งถึงที่ทำงาน ต้องสารภาพว่าตอนนั้นก็ทำงาานนะ แต่ก็อ่านภาษาอังกฤษไปด้วย เวลาพักเที่ยงก็ทำ Reading ระหว่างวันพองานเสร็จก็ทำ Writing ต้องบอกว่าภาษาอังกฤษตอนนั้นแบบ ไม่ได้แบบแทบจะ 0% แต่เรานึกถึงป๊ากับแม่ตลอด เราบอกตัวเองว่ายังไงเราก็ต้องทำให้ได้ เราก็เลยต้องขยัน ทีนี้พอตอนเลิกงาน เราก็ยัดหูฟัง ใช้เวลาตั้งแต่ห้าโมงจนถึงทุ่มนึง เราก็หยิบหนังสือมาวาง เรามีสมุดบันทึกหลายเล่มมาก เล่มนึงจดศัพท์ อีกเล่มนึงทำแบบฝึกหัด อีกเล่มนึงสรุปเนื้อความจากวิดีโอที่ดูวันนี้ แล้วเราก็ใช้เวลา 45 นาทีดูหนังซับอิ้ง จดศัพท์จากเว็บ ororo.tv หนังเรื่องที่เราดูเปลี่ยนชีวิตเราใหญ่มาก
นอกจากเราจะได้อิ้ง เราได้กำลังใจ เราได้แรงบันดาลใจ หนังชื่อเรื่อง Make it or Break it เสร็จแล้วเราก็ใช้เวลา 10-20 นาทีก่อนนอน คุยกับชาวต่างชาติ มันเป็นแอพที่แบบกดรับแล้วก็ตั้งหัวข้อ แล้วก็คุยได้เลยอะ ชื่อแอพว่า Wakie เราจำได้เลยตอนนั้นเราคุยกับใคร ใครก็วางหูใส่เรา ยังอุส่าไปร้องเพลงช้างๆๆๆๆ ให้เค้าฟังอีก อ้ายอาย เราจดชื่อพวกนางทุกคนเลยนะที่เราคุยด้วย ใส่แผ่นพับเล่มเล็กๆ เพื่อเตือนตัวเองว่าเราต้องขอบคุณเค้ามากแค่ไหนในการช่วยเราฝึกอิ้ง แล้วก็มีสมุดอีกเล่มเล่มที่สำคัญที่สุดคือเล่มที่วาดรูป....
ใบนี้คือที่ภาพที่เราวาด แล้วก็เราหยิบดูทุกคน เพื่อให้สมองจำว่าเราทำได้ เราได้สิ่งๆนั้นมาแล้ว แล้วพอสมองจำ มันก็จะเกิดขึ้นจริง
อ้อลืมบอกไป หลังจากเราเริ่มอ่านอิ้ง หนังสืออิ้งที่เราซื้อมาคือเล่มนี้ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ซื้อมาปีนึงละ ทุกวันนี้ยังอ่านไปได้แค่ร้อยกว่าหน้าเอง
เราจะสรุปย่อๆให้ฟังนะ...
นางบอกไว้ว่า สมองคนเรามีอยู่สองระบบ ระบบแรกเป็นระบบที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม แบบถ้ามีคนถามว่า 2+2 คือเท่าไหร่ รึว่าขับรถในที่ที่ไม่มีรถเยอะงี้
เราแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายาม เพราะเส้นประสาทในสมองจำแล้วก็เห็นเป็นภาพชัดว่าโอเค เราได้สิ่งที่เราเห็นละ ละสิ่งที่เราเห็นก็จะเกิดขึ้นจริงๆ แต่ก่อนจะเห็นภาพชัด เราก็ต้องฝึก ซึ่งมันมาจากสมองระบบที่สอง สมองระบบนี้เป็นระบบที่ต้องใช้ความพยายามในการทำให้เห็น เช่นเราเรียนแคลคูลัส รึว่าเราอ่านหนังสือสอบ มันจะไม่จำได้ในทันทีหรอก เราต้องนั่งท่อง นอนท่อง กว่าเราจะเห็นภาพทั้งหมดโดยที่เราไม่ต้องเปิดหนังสือ สมองมันทำงานแบบนั้น พอแบบนั้น เราก็เลยต้องมองภาพนั้น ทำให้สมองจำภาพนั้นให้ชัดให้ได้
วิธีที่เราใช้ฝึกก็คือ ก่อนนอน เราจะนั่งสมาธิบ้าง วันไหนไม่ได้นั่งก็หลับตามแล้วก็นอนนึกภาพที่เราอยากให้มันเกิดขึ้นในชีวิตเรา สมมตินะ เราอยากได้สี่เหลี่ยม เราตั้งใจจะมองสี่เหลี่ยมให้ชัด มันจะไม่เป็นสี่เหลี่ยมชัดๆในสมองเราหลังจากเราหลับตาลงสองสามสี่นาทีหรอก แม้กระทั่งครึ่งชั่วโมง ก็เลยต้องทำบ่อยๆ มันจะมีสามเหลี่ยม วงกลมเข้ามาแทรก แต่เราต้องอดทน เราต้องมีวินัย เราต้องให้อภัยตัวเองเวลาเราทำไม่สำเร็จ แบบนี้
ทีนี้มาดูรูปต่อๆไปที่เราวาดไว้
เราอาาจะไม่ได้ IELTS 7.5 ตามในรูป แต่เราสอบผ่านครั้งเดียว เราได้ 6.5 ซึ่งผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของ University of Bristol in England เราส่งข้อความไปหาเพื่อน อาจารย์ ตามรูปที่เราวาดไว้ ตอนเราสอบ เราตั้งใจมาก ใจเราสั่น แต่เรามั่นใจว่าเราทำได้ ก่อนวันสอบ เราใช้เวลาสี่เดือน เราจินตนาการก่อนนอนทุกวัน เราเห็นภาพที่ตัวเองกดส่งความไปหาทุกๆคนแล้วบอกว่าเราทำได้แล้ว ทุกตารางเมตรในห้องนอนของเรามีแต่รูปภาพของเลขที่เราอยากสอบให้ได้ เราลาออกจากงานแรกหลังจากเรียนจบหลังจากทำได้ห้าเดือน ด้วยข้ออ้างที่บอกว่าเราอยากไปอ่านภาษาอังกฤษอย่างเดียว เพราะเราต้องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำให้ได้ เราไม่อยากให้ป๊ากับแม่จ่ายค่าสอบให้รอบสอง แล้วเราก็ไปอยู่กับน้องที่ม.บูรพา เราใช้เวลาอ่านหนังสือวันละ 12 ชั่วโมง ไปยิมตอนเย็น ถึงห้องทำ Writing ต่ออีกหน่อย
วิดีโอที่เราดูบ่อยๆก็พวกแบบนี้
https://www.youtube.com/watch?v=d0yGdNEWdn0
https://www.youtube.com/watch?v=-WLHr1_EVtQ&t=58s
https://www.youtube.com/watch?v=5MgBikgcWnY&t=30s
https://www.youtube.com/watch?v=7sxpKhIbr0E&t=5s
ดูตลอดอะ เวลาว่าง ช่วงที่ทำงาน เลิกงาน อยู่บนรถ
ทีนี้พอเราสอบเสร็จละ เราก็รอทุน แต่ผลคือ เราไม่ได้ทุน วันนั้นเสียใจมากเลยนะ ตอนนั้นย้ายมาอยู่กับเพื่อนที่ปิ่นเกล้าละ จะบอกอีกอย่างคือ พอเราจินตนาการอะ ผลมันอาจจะไม่ใช่ที่เราอยากให้มันเป็น 100% หรอก แต่ก็ลองคิดดู ว่าอยากจะบอกว่าตัวเอง
โคตรห่วยแตกเลยว่ะ คราวหลังไม่ทำละ จินตนาการอะไร ไม่เห็นได้ผล กับบอกตัวเองว่า ทำไมเราไม่ลองทำอย่างอื่นล่ะ บางอย่างบางที ความสำเร็จไม่ได้มาในรูปแบบ A รูปแบบเดียวนะ มีอีกตั้งหลายทางที่มันจะเป็นไปได้ อีกอย่าง พอเรายืนยันว่าเราทำได้ จะมีคนอีกหลายคนยื่นมือมาช่วยเรา อาจจะไม่ได้เป็นโอกาศที่ใหญ่โต อาจจะเป็นแค่ขนมปังก้อนเล็กๆระหว่างทางเดิน แต่มันก็ทำให้เราอิ่มไม่ใช่หรอ ป๊าบอกเราว่า ระหว่างทางที่เราเดินไปหาความฝันเราน่ะ มีคนให้ข้าวให้น้ำเราตั้งมากมาย ทำไมเราไม่ขอบคุณเค้าล่ะ ทำไมเราไม่ดีใจกับ 20 บาทที่เรามี ถ้าเราพอใจกับสิ่งที่มี รู้สึกขอบคุณสิ่งที่เรามี ไม่ยากเล่ยที่เราจะมีมากกว่านั้น แต่ถ้าเรายังไม่รู้สึกดีใจกับขอบคุณ 20 บาทที่เรามี สมองก็จะเข้าใจว่าเราไม่อยากได้ มันก็จะไม่ให้เรามากกว่านั้นอีก
เราบอกกับคนหลายคนที่เราเจอ เราคุยด้วยว่า.. ลองคิดดูดิ ว่าตอนที่เรามีความสุข ทำไมเรารู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้
โคตรดี แต่พอเราไม่มีความสุข เราบอกตัวเองว่าชีวิตช่วงนี้
แย่ว่ะ ชีวิตมันไม่ได้สุขที่สุด ไม่ได้แย่ที่สุด มันอยู่ที่เราเลือกมอง เราอาจจะไม่มีตังไปกินข้าวผัดหมูข้างนอกบ้านวันนี้ แต่อย่าลืมน่ะเว่ยว่าเรามีไข่อยู่ที่บ้านตั้งสามใบ ต้มกินก็อิ่มละ ไว้ตั้งใจทำงาน อีกสามวันเราค่อยออกไปกินข้าวผัดหมูก็ได้หนิ ชีวิตไม่ได้ยากขนาดนั้น เราไม่มีห้าร้อย อย่างน้อยเรามีห้าสิบป้ะ ทำไมถึงไม่สอนสมองให้คิดแบบนี้อะ
ทีนี้...
พอเราไม่ได้ทุน เราก็เลยถามเพื่อนจากตุรกี ว่าพอมีไอเดียมะ นางก็เลยไปถามเพื่อนนางอีกคนให้ เพื่อนนางบอกว่านางส่ง Sponsorship Letter ให้ศาสตรจารย์ในอังกฤษ เราก็ส่ง ส่งไป 200 กว่าที่
ไม่มีใครตอบรับเรา เราก็เฟลนะ แต่โลกยังไม่ได้แตก เรายังหายใจต่อ เราก็เลยทำอย่างอื่น
ก็เลยกะว่าจะขายหนังสือ เราเขียนหนังสือภาษาอังกฤษเสร็จตอนเดือนมีนาคม 2017 มันประมาณ 168 หน้า แต่เราไม่มีตังตีพิม เราส่งไปที่สำนักพิมพ์ทั่วโลก แต่มันก็ค่อนข้างหลายบาท เราก็เลยเก็บไว้ก่อน เรา Raise Fund ใน Crowdfunder เพื่อหาค่าเทอมไป แต่เราไม่ได้ซักบาท 5555 เพราะเราไม่มีใบคอนเฟิมว่าเราจะเรียนจบ รึว่าอะไรแบบนี้ แล้วก็จะขายภาพ แต่ซับมิทแล้วไม่ผ่าน เพราะไม่มีกล้อง ภาพในมือถือไม่ชัดพอ
เราย้ายงานมาสามงาน กะทำสั้นๆ แล้วก็ตัวเองว่า ภายในเดือนนี้จะต้องได้ไปนะ เราใช้เวลาทำความฝันเราทุกวันอะ พอทำงานงานที่สองแถวๆหลักสี่ ก็ใช้เวลาตอนเย็นไปยิม ประกวดเพาะกาย เพราะกะว่าถ้าชนะก็คงมีตังจ่ายค่าเทอม แล้วก็ไม่ชนะ แล้วทีนี้ พอเดือนที่เก้า เราบอกตัวเองอีกว่าเราจะทำงานที่นี่แค่ 2 เดือน งานที่พึ่งลาออกมานี่คือดีมาก พี่ๆที่ทำงานก็มีน่ารักบ้าง ไม่น่ารักบ้าง แต่โดยรวมแล้วเราแฮปปี้ ช่วงระหว่างนั้น เราทำงาน 7 วัน ฟูลทามที่บางนา พาททามที่เอกมัย พักที่ปิ่นเกล้า แล้วก็อีกงานนึงคือช่วยอาจารย์ที่มหาลัยแก้แกรมม่าใน Journal เค้า เราทำทุกอย่างที่เราได้ตัง
ฟูทามทำเป็น Production Assistant
พาททามทำเป็น Barista
ช่วงนั้น เราก็เวิคออนความฝันเรา เราไปเจอโปรแกรมนึง เป็นเหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยน อันที่จริงแล้วเราไม่ได้สนใจอะไรแบบนี้เลยเว่ย เราอยากเรียนป.โท แต่ด้วยความที่เราต้องเข้าใจ เราไม่มีเงินล้าน เราไม่ได้ทุน เราก็เลยหาอย่างอื่นที่เราพอทำได้ ทำไปก่อน เราจ่ายไปประมาณ 30,000 บาทงี้ เราได้มาอยู่เมกา เราก็มาทำงานด้วย ได้ทุนเรียนคอร์สสั้นๆ อยู่บ้านฟรี มีคนออกค่าเครื่องบินให้ ไม่ต้องออกค่าข้าว ตอนเรามา เราไม่ได้ขอตังป๊ากับแม่ซักบาท เรายืมธนาคารเอา เดะก็ค่อยส่งให้แม่ ละก็ให้แม่ไปจ่ายให้ มันเป็นทางเดียวที่เราทำได้ แล้วเราก็คิดว่ามันดีที่สุดละ
เราจินตนาการด้วยว่าเราจะต้องได้กล้องในวันที่เราอยู่ที่สนามบิน เราจินตนาการวันที่ป๊ากับแม่กับน้องมาส่งเราที่สนามบิน เราเห็นภาพวีซ่า เราเห็นตั๋วเครื่องบิน เราเห็นตัวเองนั่งในรถแล้วก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายตอนอยู่เมืองนอกแล้ว
เราเป็นมนุษย์บ้านๆคนนึงที่ไม่ได้แอดมิชชันเพราะไม่เข้าใจระบบ เราไม่เคยไปเรียนพิเศษในกรุงเทพ เราทำงานตั้งแต่เราเด็กๆ
เป็นมนุษย์ที่ไม่เที่ยวกลางคืนเพราะง่วง ไม่กินเหล้า อ่านหนังสือ วางแผนทุกอย่างล่วงหน้า เขียน #3goodtoday ทุกวัน พยายามจะทำบลอกของตัวเองให้คนรู้จัก
https://alittlemoth.wordpress.com/
รู้ว่ายังต้องทำอีกเยอะ แต่ก็ขอบคุณตัวเองอะ ที่อดทนมาได้ อยู่เมกามาได้ 7 วันละ คิดถึงบ้าน
แต่ป๊าก็บอกว่าเราต้องอดทนนะ วันนั้นเรายังผ่านมาได้เลย วันนี้เราก็ต้องทำได้ มีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งเราก็เขียนไว้ในบลอกเราหมดละล่ะ
[CR] หนึ่งปีที่ผ่านมากับคำที่คนบอกว่าเราทำไม่ได้ ตอนนี้เราทำได้แล้วนะ
ด้วยความที่ป๊ากับแม่สอนให้เราหาตังตั้งแต่เราเด็กๆ เราเลยทำอะไรได้หลายอย่าง เราสอนว่ายน้ำตั้งแต่สิบสองขวบ เราบอกตัวเองไว้ว่า เราจะต้องมีบ้านให้ป๊ากับแม่ให้ได้ เราจะต้องมีหน้าที่การงานที่ดี เหมือนที่ปู่กับย่าอยากให้เราเป็น มันฟังดูไม่ง่ายนะ แต่เราเชื่อว่าเราทำได้
มาเล่าถึงตอนเราตัดสินใจไปเรียนต่อดีกว่า ดูว่าเราตั้งใจทำให้อะไรเกิดขึ้นบ้าง...
เราใช้เวลาหลายวันมากในการหาข้อมูล หาคอร์สที่เราอยากเรียน หาทุนที่เราจ่ายน้อยที่สุด ตอนนั้นเราพึ่งเรียนจบ แล้วเราหยิบไปเจอหนังสือเล่มนึง หนังสือเล่นนั้นบอกเราว่า เราจะไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ จักรวาลอนุญาตให้เราไป ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ ยังไงจักรวาลก็ไม่ขัดขวาง หลังจากวันนั้น เราไปซื้อหนังสือ IELTS เล่มที่ถูกที่สุดที่ศูนย์หนังสือจุฬา มาอ่าน ตอนนั้นเราก็ลังเลว่าเอ้ เล่มนี้ดีที่สุดแล้วจริงๆใช่มั้ย เราจะซื้อแล้วนะ สุดท้ายเราก็ถอยมา แล้วนั่นก็เป็นหนังสือเล่มเดียวที่เราจ่ายตังเพื่ออ่านภาษาอังกฤษ
ตอนนั้นเราต้องตื่นตีห้า เพราะว่าที่ทำงานเราอยู่ที่อโศก แต่ที่พักเราอยู่ที่เกษตร (เราเป็นมนุษย์ชอบทำอะไรไกลๆมาตั้งนานละ บางทีก็เออทำไมไม่ชอบทำอะไรสบายๆ) ตอนนั้นตารางเราเป็นแบบ
05.00 - 08.00 a.m. ฟัง BBC NEWS; เราเปิดตั้งแต่เราตื่นนอน อาบน้ำสิบนาที แต่งตัวสิบนาที แล้วก็เดินไปขึ้นรถมล์ อยู่บนรถไฟฟ้า เดินไปออฟฟิศ จนกระทั่งถึงที่ทำงาน ต้องสารภาพว่าตอนนั้นก็ทำงาานนะ แต่ก็อ่านภาษาอังกฤษไปด้วย เวลาพักเที่ยงก็ทำ Reading ระหว่างวันพองานเสร็จก็ทำ Writing ต้องบอกว่าภาษาอังกฤษตอนนั้นแบบ ไม่ได้แบบแทบจะ 0% แต่เรานึกถึงป๊ากับแม่ตลอด เราบอกตัวเองว่ายังไงเราก็ต้องทำให้ได้ เราก็เลยต้องขยัน ทีนี้พอตอนเลิกงาน เราก็ยัดหูฟัง ใช้เวลาตั้งแต่ห้าโมงจนถึงทุ่มนึง เราก็หยิบหนังสือมาวาง เรามีสมุดบันทึกหลายเล่มมาก เล่มนึงจดศัพท์ อีกเล่มนึงทำแบบฝึกหัด อีกเล่มนึงสรุปเนื้อความจากวิดีโอที่ดูวันนี้ แล้วเราก็ใช้เวลา 45 นาทีดูหนังซับอิ้ง จดศัพท์จากเว็บ ororo.tv หนังเรื่องที่เราดูเปลี่ยนชีวิตเราใหญ่มาก
นอกจากเราจะได้อิ้ง เราได้กำลังใจ เราได้แรงบันดาลใจ หนังชื่อเรื่อง Make it or Break it เสร็จแล้วเราก็ใช้เวลา 10-20 นาทีก่อนนอน คุยกับชาวต่างชาติ มันเป็นแอพที่แบบกดรับแล้วก็ตั้งหัวข้อ แล้วก็คุยได้เลยอะ ชื่อแอพว่า Wakie เราจำได้เลยตอนนั้นเราคุยกับใคร ใครก็วางหูใส่เรา ยังอุส่าไปร้องเพลงช้างๆๆๆๆ ให้เค้าฟังอีก อ้ายอาย เราจดชื่อพวกนางทุกคนเลยนะที่เราคุยด้วย ใส่แผ่นพับเล่มเล็กๆ เพื่อเตือนตัวเองว่าเราต้องขอบคุณเค้ามากแค่ไหนในการช่วยเราฝึกอิ้ง แล้วก็มีสมุดอีกเล่มเล่มที่สำคัญที่สุดคือเล่มที่วาดรูป....
ใบนี้คือที่ภาพที่เราวาด แล้วก็เราหยิบดูทุกคน เพื่อให้สมองจำว่าเราทำได้ เราได้สิ่งๆนั้นมาแล้ว แล้วพอสมองจำ มันก็จะเกิดขึ้นจริง
อ้อลืมบอกไป หลังจากเราเริ่มอ่านอิ้ง หนังสืออิ้งที่เราซื้อมาคือเล่มนี้ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ซื้อมาปีนึงละ ทุกวันนี้ยังอ่านไปได้แค่ร้อยกว่าหน้าเอง
เราจะสรุปย่อๆให้ฟังนะ...
นางบอกไว้ว่า สมองคนเรามีอยู่สองระบบ ระบบแรกเป็นระบบที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม แบบถ้ามีคนถามว่า 2+2 คือเท่าไหร่ รึว่าขับรถในที่ที่ไม่มีรถเยอะงี้
เราแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายาม เพราะเส้นประสาทในสมองจำแล้วก็เห็นเป็นภาพชัดว่าโอเค เราได้สิ่งที่เราเห็นละ ละสิ่งที่เราเห็นก็จะเกิดขึ้นจริงๆ แต่ก่อนจะเห็นภาพชัด เราก็ต้องฝึก ซึ่งมันมาจากสมองระบบที่สอง สมองระบบนี้เป็นระบบที่ต้องใช้ความพยายามในการทำให้เห็น เช่นเราเรียนแคลคูลัส รึว่าเราอ่านหนังสือสอบ มันจะไม่จำได้ในทันทีหรอก เราต้องนั่งท่อง นอนท่อง กว่าเราจะเห็นภาพทั้งหมดโดยที่เราไม่ต้องเปิดหนังสือ สมองมันทำงานแบบนั้น พอแบบนั้น เราก็เลยต้องมองภาพนั้น ทำให้สมองจำภาพนั้นให้ชัดให้ได้
วิธีที่เราใช้ฝึกก็คือ ก่อนนอน เราจะนั่งสมาธิบ้าง วันไหนไม่ได้นั่งก็หลับตามแล้วก็นอนนึกภาพที่เราอยากให้มันเกิดขึ้นในชีวิตเรา สมมตินะ เราอยากได้สี่เหลี่ยม เราตั้งใจจะมองสี่เหลี่ยมให้ชัด มันจะไม่เป็นสี่เหลี่ยมชัดๆในสมองเราหลังจากเราหลับตาลงสองสามสี่นาทีหรอก แม้กระทั่งครึ่งชั่วโมง ก็เลยต้องทำบ่อยๆ มันจะมีสามเหลี่ยม วงกลมเข้ามาแทรก แต่เราต้องอดทน เราต้องมีวินัย เราต้องให้อภัยตัวเองเวลาเราทำไม่สำเร็จ แบบนี้
ทีนี้มาดูรูปต่อๆไปที่เราวาดไว้
เราอาาจะไม่ได้ IELTS 7.5 ตามในรูป แต่เราสอบผ่านครั้งเดียว เราได้ 6.5 ซึ่งผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของ University of Bristol in England เราส่งข้อความไปหาเพื่อน อาจารย์ ตามรูปที่เราวาดไว้ ตอนเราสอบ เราตั้งใจมาก ใจเราสั่น แต่เรามั่นใจว่าเราทำได้ ก่อนวันสอบ เราใช้เวลาสี่เดือน เราจินตนาการก่อนนอนทุกวัน เราเห็นภาพที่ตัวเองกดส่งความไปหาทุกๆคนแล้วบอกว่าเราทำได้แล้ว ทุกตารางเมตรในห้องนอนของเรามีแต่รูปภาพของเลขที่เราอยากสอบให้ได้ เราลาออกจากงานแรกหลังจากเรียนจบหลังจากทำได้ห้าเดือน ด้วยข้ออ้างที่บอกว่าเราอยากไปอ่านภาษาอังกฤษอย่างเดียว เพราะเราต้องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำให้ได้ เราไม่อยากให้ป๊ากับแม่จ่ายค่าสอบให้รอบสอง แล้วเราก็ไปอยู่กับน้องที่ม.บูรพา เราใช้เวลาอ่านหนังสือวันละ 12 ชั่วโมง ไปยิมตอนเย็น ถึงห้องทำ Writing ต่ออีกหน่อย
วิดีโอที่เราดูบ่อยๆก็พวกแบบนี้
https://www.youtube.com/watch?v=d0yGdNEWdn0
https://www.youtube.com/watch?v=-WLHr1_EVtQ&t=58s
https://www.youtube.com/watch?v=5MgBikgcWnY&t=30s
https://www.youtube.com/watch?v=7sxpKhIbr0E&t=5s
ดูตลอดอะ เวลาว่าง ช่วงที่ทำงาน เลิกงาน อยู่บนรถ
ทีนี้พอเราสอบเสร็จละ เราก็รอทุน แต่ผลคือ เราไม่ได้ทุน วันนั้นเสียใจมากเลยนะ ตอนนั้นย้ายมาอยู่กับเพื่อนที่ปิ่นเกล้าละ จะบอกอีกอย่างคือ พอเราจินตนาการอะ ผลมันอาจจะไม่ใช่ที่เราอยากให้มันเป็น 100% หรอก แต่ก็ลองคิดดู ว่าอยากจะบอกว่าตัวเองโคตรห่วยแตกเลยว่ะ คราวหลังไม่ทำละ จินตนาการอะไร ไม่เห็นได้ผล กับบอกตัวเองว่า ทำไมเราไม่ลองทำอย่างอื่นล่ะ บางอย่างบางที ความสำเร็จไม่ได้มาในรูปแบบ A รูปแบบเดียวนะ มีอีกตั้งหลายทางที่มันจะเป็นไปได้ อีกอย่าง พอเรายืนยันว่าเราทำได้ จะมีคนอีกหลายคนยื่นมือมาช่วยเรา อาจจะไม่ได้เป็นโอกาศที่ใหญ่โต อาจจะเป็นแค่ขนมปังก้อนเล็กๆระหว่างทางเดิน แต่มันก็ทำให้เราอิ่มไม่ใช่หรอ ป๊าบอกเราว่า ระหว่างทางที่เราเดินไปหาความฝันเราน่ะ มีคนให้ข้าวให้น้ำเราตั้งมากมาย ทำไมเราไม่ขอบคุณเค้าล่ะ ทำไมเราไม่ดีใจกับ 20 บาทที่เรามี ถ้าเราพอใจกับสิ่งที่มี รู้สึกขอบคุณสิ่งที่เรามี ไม่ยากเล่ยที่เราจะมีมากกว่านั้น แต่ถ้าเรายังไม่รู้สึกดีใจกับขอบคุณ 20 บาทที่เรามี สมองก็จะเข้าใจว่าเราไม่อยากได้ มันก็จะไม่ให้เรามากกว่านั้นอีก
เราบอกกับคนหลายคนที่เราเจอ เราคุยด้วยว่า.. ลองคิดดูดิ ว่าตอนที่เรามีความสุข ทำไมเรารู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้โคตรดี แต่พอเราไม่มีความสุข เราบอกตัวเองว่าชีวิตช่วงนี้แย่ว่ะ ชีวิตมันไม่ได้สุขที่สุด ไม่ได้แย่ที่สุด มันอยู่ที่เราเลือกมอง เราอาจจะไม่มีตังไปกินข้าวผัดหมูข้างนอกบ้านวันนี้ แต่อย่าลืมน่ะเว่ยว่าเรามีไข่อยู่ที่บ้านตั้งสามใบ ต้มกินก็อิ่มละ ไว้ตั้งใจทำงาน อีกสามวันเราค่อยออกไปกินข้าวผัดหมูก็ได้หนิ ชีวิตไม่ได้ยากขนาดนั้น เราไม่มีห้าร้อย อย่างน้อยเรามีห้าสิบป้ะ ทำไมถึงไม่สอนสมองให้คิดแบบนี้อะ
ทีนี้...
พอเราไม่ได้ทุน เราก็เลยถามเพื่อนจากตุรกี ว่าพอมีไอเดียมะ นางก็เลยไปถามเพื่อนนางอีกคนให้ เพื่อนนางบอกว่านางส่ง Sponsorship Letter ให้ศาสตรจารย์ในอังกฤษ เราก็ส่ง ส่งไป 200 กว่าที่
ไม่มีใครตอบรับเรา เราก็เฟลนะ แต่โลกยังไม่ได้แตก เรายังหายใจต่อ เราก็เลยทำอย่างอื่น
ก็เลยกะว่าจะขายหนังสือ เราเขียนหนังสือภาษาอังกฤษเสร็จตอนเดือนมีนาคม 2017 มันประมาณ 168 หน้า แต่เราไม่มีตังตีพิม เราส่งไปที่สำนักพิมพ์ทั่วโลก แต่มันก็ค่อนข้างหลายบาท เราก็เลยเก็บไว้ก่อน เรา Raise Fund ใน Crowdfunder เพื่อหาค่าเทอมไป แต่เราไม่ได้ซักบาท 5555 เพราะเราไม่มีใบคอนเฟิมว่าเราจะเรียนจบ รึว่าอะไรแบบนี้ แล้วก็จะขายภาพ แต่ซับมิทแล้วไม่ผ่าน เพราะไม่มีกล้อง ภาพในมือถือไม่ชัดพอ
เราย้ายงานมาสามงาน กะทำสั้นๆ แล้วก็ตัวเองว่า ภายในเดือนนี้จะต้องได้ไปนะ เราใช้เวลาทำความฝันเราทุกวันอะ พอทำงานงานที่สองแถวๆหลักสี่ ก็ใช้เวลาตอนเย็นไปยิม ประกวดเพาะกาย เพราะกะว่าถ้าชนะก็คงมีตังจ่ายค่าเทอม แล้วก็ไม่ชนะ แล้วทีนี้ พอเดือนที่เก้า เราบอกตัวเองอีกว่าเราจะทำงานที่นี่แค่ 2 เดือน งานที่พึ่งลาออกมานี่คือดีมาก พี่ๆที่ทำงานก็มีน่ารักบ้าง ไม่น่ารักบ้าง แต่โดยรวมแล้วเราแฮปปี้ ช่วงระหว่างนั้น เราทำงาน 7 วัน ฟูลทามที่บางนา พาททามที่เอกมัย พักที่ปิ่นเกล้า แล้วก็อีกงานนึงคือช่วยอาจารย์ที่มหาลัยแก้แกรมม่าใน Journal เค้า เราทำทุกอย่างที่เราได้ตัง
ฟูทามทำเป็น Production Assistant
พาททามทำเป็น Barista
ช่วงนั้น เราก็เวิคออนความฝันเรา เราไปเจอโปรแกรมนึง เป็นเหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยน อันที่จริงแล้วเราไม่ได้สนใจอะไรแบบนี้เลยเว่ย เราอยากเรียนป.โท แต่ด้วยความที่เราต้องเข้าใจ เราไม่มีเงินล้าน เราไม่ได้ทุน เราก็เลยหาอย่างอื่นที่เราพอทำได้ ทำไปก่อน เราจ่ายไปประมาณ 30,000 บาทงี้ เราได้มาอยู่เมกา เราก็มาทำงานด้วย ได้ทุนเรียนคอร์สสั้นๆ อยู่บ้านฟรี มีคนออกค่าเครื่องบินให้ ไม่ต้องออกค่าข้าว ตอนเรามา เราไม่ได้ขอตังป๊ากับแม่ซักบาท เรายืมธนาคารเอา เดะก็ค่อยส่งให้แม่ ละก็ให้แม่ไปจ่ายให้ มันเป็นทางเดียวที่เราทำได้ แล้วเราก็คิดว่ามันดีที่สุดละ
เราจินตนาการด้วยว่าเราจะต้องได้กล้องในวันที่เราอยู่ที่สนามบิน เราจินตนาการวันที่ป๊ากับแม่กับน้องมาส่งเราที่สนามบิน เราเห็นภาพวีซ่า เราเห็นตั๋วเครื่องบิน เราเห็นตัวเองนั่งในรถแล้วก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายตอนอยู่เมืองนอกแล้ว
เราเป็นมนุษย์บ้านๆคนนึงที่ไม่ได้แอดมิชชันเพราะไม่เข้าใจระบบ เราไม่เคยไปเรียนพิเศษในกรุงเทพ เราทำงานตั้งแต่เราเด็กๆ
เป็นมนุษย์ที่ไม่เที่ยวกลางคืนเพราะง่วง ไม่กินเหล้า อ่านหนังสือ วางแผนทุกอย่างล่วงหน้า เขียน #3goodtoday ทุกวัน พยายามจะทำบลอกของตัวเองให้คนรู้จัก
https://alittlemoth.wordpress.com/
รู้ว่ายังต้องทำอีกเยอะ แต่ก็ขอบคุณตัวเองอะ ที่อดทนมาได้ อยู่เมกามาได้ 7 วันละ คิดถึงบ้าน แต่ป๊าก็บอกว่าเราต้องอดทนนะ วันนั้นเรายังผ่านมาได้เลย วันนี้เราก็ต้องทำได้ มีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งเราก็เขียนไว้ในบลอกเราหมดละล่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น