ชวน debate หัวข้อ จิตสร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ดังนั้นจิตจึงไปได้ทั่วจักรวาล !!

กระทู้สนทนา
มาจากความเห็นนี้ครับ ไม่ใช่ความเห็นของผมนะครับแต่เป็นความเห็นของเจ้าของ ment นั้น
อยากให้มาถกกันครับว่าข้อความนี้เป็นจริงเท็จมากน้อยแค่ไหน
Debate ได้ตามสบายเลยครับ
https://ppantip.com/topic/37175357/comment30
จิตสร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาล  ดังนั้นจิตจึงไปได้ทั่วจักรวาล !!

จิต คือคลื่นพลังงาน จิตเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่สามารถเรียนรู้ เพราะคลื่นจิตมีความรู้สึกและมีความคิด คลื่นพลังงานของจิตสามารถตัดสินใจในการเลือก จะเอาสิ่งนี้หรือจะเอาสิ่งนั้น ทำให้เกิดการสร้างเหตุและการสร้างผลตามมาในการกระทำของจิต จึงทำให้จิตมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คลื่นจิตเป็นสิ่งที่ไม่มีขอบเขต ไร้พรมแดนและกว้างใหญ่ไพศาล
คลื่นส่งสัญญาณในปัจจุบัน โลกเรามีมือถือ โทรทัศน์และดาวเทียมที่ใช้คลื่นส่งสัญญาณสื่อสารถึงกันและกัน เราไม่สามารถมองเห็นคลื่นพวกนี้ได้ด้วยตาเปล่า แต่เรารู้ว่าคลื่นพวกนี้สามารถใช้เป็นพลังงานได้ จิตของเราก็เป็นเช่นนี้ ถึงเราจะมองไม่เห็นคลื่นของจิตตนเอง แต่เราก็ใช้คลื่นนี้อยู่เสมอในการคิดและมีความรู้สึกในอารมณ์ต่างๆ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสก็คือคลื่นพลังงานต่างๆนั่นเองที่กำลังกระทบกับคลื่นจิตใจของเรา คลื่นข้อมูลต่างๆกระทบเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้นและกาย และคลื่นจิตเราก็สร้างความหมายให้กับคลื่นพวกนี้ที่เป็นแสง สีและเสียง ด้วยการตั้งชื่อให้กับมันและก็ตีความว่ามันคืออะไร ทำให้เราเห็นเป็นภาพ ตัวตน เสียง กลิ่น รสชาติและเป็นสิ่งที่เราสัมผัส ดังนั้นคลื่นจิตของแต่ละบุคคลจึงเป็นตัวสร้างความเป็นจริงให้กับตนเอง สร้างความหมาย ความคิด อารมณ์และความเชื่อให้เกิดขึ้นภายในใจของตนเอง
อะตอมนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าวัตถุหรือร่างกายต่างๆสร้างมาจากอะตอม (atom) อะตอมเป็นโครงสร้างขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ถ้าเราไปดูในโครงสร้างของอะตอม ก็จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรอยู่ในนั้น มันเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ในศาสนาพุทธเรียกสิ่งนี้ว่า "อนัตตา" ในศาสนาอื่นเรียกว่า "พระเจ้า" คือมันเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่คลื่นตัวนี้สามารถเคลื่อนไหวได้ (vibration) มันจึงแปรสภาพเป็นสิ่งต่างๆได้ด้วยการเปลี่ยนความถี่และความเร็วของคลื่น ทำให้คลื่นจิตสามารถสร้างสถานการณ์และข้อมูลขึ้นมาได้
ดังนั้นทุกอย่างที่เรากำลังประสบการณ์อยู่ในชีวิตก็คือการสัมผัสกับคลื่นต่างๆนั่นเอง สรุปแล้วจิตเราใช้พลังงานคลื่นต่างๆเพื่อนำเอามาสร้างความรู้สึกให้กับตนเอง
คลื่นต่างๆ1. จิต ความคิดและความรู้สึกก็คือ คลื่นพลังงาน (vibration)
2. ความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้นและกายก็คือ คลื่นพลังงาน(vibration)
3. แสง สีและเสียงก็คือ คลื่นพลังงาน (vibration)
4. วัตถุหรือร่างกายต่างๆก็คือ คลื่นพลังงาน (vibration)
5. ขั้วบวกหรือขั้วลบ (สุขหรือทุกข์) ก็คือ คลื่นพลังงาน (vibration)
สมองเราไปตีความหมายให้กับคลื่นต่างๆแต่สมองเราไปตีความหมายให้กับคลื่นต่างๆที่เรากำลังสัมผัสว่ามันเป็นภาพ เสียง แสง วัตถุ ร่างกาย ดิน น้ำ ลม ไฟและอากาศ จึงทำให้จิตสร้างความรู้สึกให้กับตนเองว่าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมของกายภาพ
มีนักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมองท่านหนึ่งชื่อ Jill Bolte Taylor วันหนึ่งเขาเกิดเป็นโรคหลอดเลือดแตกในสมอง แต่เพราะเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์เขาจึงชอบดูอาการสมองตนเองอย่างเป็นกลาง ทำให้เขาสังเกตได้ว่าสมองเริ่มไม่ทำงานและไม่สามารถตีความหมายได้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกภาพ แสง สีและเสียงต่างๆกับกลายเป็นคลื่นไปหมด คือจิตเขาไปเห็นตัวจริงของสิ่งต่างๆ เพราะในช่วงนั้นตัวสมองไม่ยอมทำงานและไม่สามารถตีความหมายได้
สมองเป็นเครื่องกรองข้อมูลคำถาม: แสดงว่าเราใช้สมองเป็นเครื่องกรองข้อมูล ใช่ไหมครับ เพื่อให้เราเห็นคลื่นต่างๆเป็นกายภาพ ทำให้เรามองเห็นเป็นรูปร่างต่างๆมากมาย
คำตอบ: ใช่แล้ว ตัวสมองเป็นตัวกรองข้อมูล ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งพวกนี้เป็นกายภาพ ทำให้เราเห็น หรือตีความหมายว่ามีจักรวาล โลก คน สัตว์ ต้นไม้ แม่น้ำ ลม ไฟ อากาศ ฯลฯ สิ่งพวกนี้ก็คือคลื่น หรือพลังงานต่างๆนั่นเอง คลื่นแต่ละอันก็จะมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน เพราะความถี่หรือความเร็วของแต่ละคลื่นจะแตกต่างกันไป เมื่อคลื่นมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง หรือกระทบกัน ก็จะทำให้เกิดมีความรู้สึก
คำถาม: ถ้าเช่นนั้น กายภาพพวกนี้มิได้เป็นของจริงหรือครับ
ถ้าไม่มีสภาวะอะไรเลย จิตก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้คำตอบ: มันเป็นของจริงในช่วงระยะนั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นกฎของธรรมชาติ คราวนี้เราต้องมาถามว่า จิตหรือคลื่นพวกนี้สร้างสิ่งต่างๆที่เราเห็นอยู่นี้ขึ้นมาเพื่ออะไร คำตอบก็คือ สร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดสถานการณ์ เพราะว่าถ้าไม่มีสภาวะอะไรเลย จิตก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ ทำให้จิตพัฒนาคลื่นตนเองไม่ได้ เหมือนกับว่ามีเราอยู่คนเดียวในจักรวาลและก็ไม่เคยมีคลื่นอื่นมากระทบกับจิตใจของเรา ไม่มีใครมาคุยด้วย เราก็เลยไม่มีความรู้และก็ไม่รู้ว่าจะศึกษาได้อย่างไรเพราะไร้สถานการณ์
คำถาม: สถานการณ์พวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรครับ ทำไมถึงมีคลื่นต่างๆมากมายเกิดขึ้นได้
คำตอบ: ทุกอย่างเริ่มต้นจากอนัตตา หรือพลังงานมหาศาลที่เป็นสิ่งไม่มีตัวตน พลังงานนี้สามารถหมุนกระเพื่อม หรือสั่นไปมาได้ สามารถนึกคิดได้ แต่พลังงานอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ไร้สถานการณ์ จึงทำให้อนัตตานึกขึ้นมาว่าถ้ามันแบ่งพลังงานออกเป็นจิตหลายๆดวง สถานการณ์ก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะว่าจะทำให้เกิดมีการสัมผัสหรือการกระทบกันระหว่างคลื่นต่างๆ ทำให้จิตแต่ละดวงเกิดมีประสบการณ์ มีการเรียนรู้เกิดขึ้นในการผัสสะกับคลื่นอื่นๆ พลังงานอนัตตาจึงแบ่งคลื่นออก เหมือนกับการแบ่งเซลล์ จาก 1 เป็น 2 - จาก 2 เป็น 4 - จาก 4 เป็น 8 - จาก 8 เป็น 16 - จาก 16 เป็น 32 และเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แบ่งออกมาจนนับไม่ถ้วน เราไม่สามารถที่จะนับได้ว่าจิตมีกี่ดวง เพราะว่ามันเยอะแยะไปหมดอยู่ในธรรมชาติทั่วไปและทั่วจักรวาล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สถานการณ์จึงเกิดขึ้นเต็มไปหมด จิตแต่ละดวงจึงเริ่มเรียนรู้ แปรสภาพและพัฒนาคลื่นตนเองจากการที่ถูกกระทบกับคลื่นจิตอื่นๆ ทำให้จิตเริ่มฉลาดขึ้นและเห็นคุณค่ากับการที่เรามีสถานการณ์
พลังงานอนัตตาแบ่งคลื่นออก เหมือนกับการแบ่งเซลล์
คลื่นจิตต่างๆจึงช่วยกันสร้างมิติ โลกหรือภูมิต่างๆขึ้นมา เพื่อให้เกิดมีสถานการณ์เป็นโรงเรียนสำหรับจิต จิตจะได้พัฒนาตนเองอีกต่อไป จิตเลือกทำเช่นนี้เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตายได้ เพราะคลื่นจิตเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน มีแต่การเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ
คำถาม: หลังจากที่จิตอนัตตาแบ่งพลังงานออกมาเป็นหลายดวงจนนับไม่ถ้วน จิตหลายดวงพวกนี้ที่ไม่มีตัวตน เขาสามารถสร้างกายภาพขึ้นมาได้อย่างไรครับ ทำไมถึงเกิดมีรูปร่างต่างๆที่เราเห็นกันในโลก
คำตอบ: หลังจากที่มีคลื่นจิตมากมายเต็มไปหมด ก็ทำให้เกิดการกระทบกันระหว่างคลื่น ทำให้คลื่นจิตแปรสภาพ คือคุณภาพจิตเริ่มพัฒนาด้วยการเปลี่ยนความถี่ (frequency) และความเร็ว (speed) ของจิต การวิวัฒนาการแบบนี้จึงทำให้จิตเกิดมีปัญญาและรวมตัวกันสร้างมิติต่างๆ วิธีการสร้างกายภาพหรือรูปร่างก็คือการนำเอาคลื่นต่างๆมาประกอบกัน คลื่นแต่ละอันจะมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน ดังนั้นการที่จิตเอาคลื่นหลายๆอย่างมาผสมกันก็จะทำให้มีคลื่นใหม่เกิดขึ้น อย่างเช่น มีคลื่นน้ำ คลื่นดิน คลื่นลม คลื่นไฟ คลื่นอากาศ
วิธีการผสมคลื่นก็คือการปรับความถี่ของคลื่นให้ต่ำลงและความเร็วของคลื่นให้ช้าลง ทำให้ออกมาเป็นรูปร่างได้ (เหมือนเราสร้างแบบ) ทุกอย่างในโลกมนุษย์ก็สร้างมาจากคลื่นพวกนี้ อย่างเช่น ร่างกายเราก็มีเนื้อ ผิวหนังและอวัยวะต่างๆประกอบมาจากคลื่นดิน มีของเหลวที่มาจากคลื่นน้ำ มีลมหายใจมาจากคลื่นอากาศ และมีอุณหภูมิมาจากคลื่นไฟ
มิติหรือโลกต่างๆจึงเกิดขึ้นได้ ด้วยการนำเอาคลื่นหลายๆอย่างมารวมกันก่อสร้างให้เป็นกายภาพ และทุกกายภาพก็จะมีคลื่นจิตร่วมอยู่ด้วย แต่คุณภาพจิตและความรู้สึกของร่างหรือวัตถุต่างๆจะไม่เหมือนกันและมีความแตกต่างกันไป
คำถาม: เพราะฉะนั้นหลังจากที่จิตสร้างรูปแบบ (pattern) ขึ้นมาให้เป็นกายภาพ อย่างเช่นเป็นรูปแบบมนุษย์ รูปแบบพวกนี้ก็สามารถขยายพันธุ์ได้
คำตอบ: ใช่ การขยายพันธุ์ (ประสมประสานรูปแบบต่างๆ) ทำให้เกิดมีสถานการณ์ต่อเนื่องเพื่อให้จิตต่างๆได้ผัสสะและเรียนรู้ไปกับสภาวะ ทำให้จิตสามารถปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เพราะจิตต้องพบกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน โลกมนุษย์จึงมีวัตถุและสิ่งมีชีวิตมากมาย ทำให้เราต้องมีปฏิกิริยาต่อกัน จิตที่ไม่มีตัวตนจึงใช้ตัวกายภาพเป็นยานพาหนะ เพื่อให้จิตมีประสบการณ์ในช่วงที่จิตอยู่ในร่าง อย่างเช่น จิตที่อยู่ในร่างพืชก็จะมีความรู้สึกในการเป็นพืช ถ้าจิตอยู่ในร่างสัตว์ก็จะมีความรู้สึกในการเป็นสัตว์ ถ้าจิตอยู่ในร่างมนุษย์ก็จะมีความรู้สึกในการเป็นมนุษย์ ซึ่งจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป แต่ไม่ได้หมายถึงว่าการเป็นพืชหรือสัตว์เป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะทุกอย่างต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ร่างกายต่างๆพวกนี้ทำให้เรามีประสบการณ์และได้เรียนรู้ไปกับธรรมชาติ เพื่อจิตจะได้มีวิวัฒนาการณ์และสร้างความสามัคคีเพื่อให้เกิดมีความสมดุลต่อกัน
คำถาม: ถ้าคลื่นจิตเราเคยเป็นพืช หรือเป็นสัตว์ แล้วเรามาอยู่ในร่างมนุษย์ หลังจากที่เราตายออกจากร่างคน เราจะต้องกลับไปเกิดเป็นพืช หรือสัตว์อีกหรือเปล่าครับ
คำตอบ: ไม่ต้อง เพราะว่าระบบของธรรมชาติเป็นกระบวนการพัฒนา ถ้าเราเคยอยู่ในร่างมนุษย์แล้ว เราก็สามารถพัฒนาด้วยการใช้รูปแบบมนุษย์อีกต่อไป จนกระทั่งเรากลายเป็นมนุษย์รุ่นใหม่ มนุษย์รุ่นใหม่ก็คือมนุษย์นิพพานที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง จิตใจมีแต่ความสุขอันแท้จริง เป็นความสุขที่ไม่มีเงื่อนไข เพราะจิตมีความเป็นกลางอย่างสมบูรณ์ อันนี้พระพุทธเจ้าก็เคยทำไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง จิตท่านนิพพานตอนอยู่ในร่างมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนก็สามารถพัฒนาและทำให้ตนเองพบความสุขอันแท้จริงได้เช่นกันและก็ไม่ได้ยากหรือลำบากอย่างที่เราคิด ตัวคิดต่างหากที่กำลังบังใจเราอยู่และทำให้เราคิดว่ามันยาก เมื่อเราฝึกให้จิตตนเองมีความสงบมากขึ้น เราก็จะเริ่มสังเกตตัวคิดของเราได้ ทำให้เราไม่ไปติดกับความคิด ความเชื่อ หรืออารมณ์ที่แกว่งไปมา ความเป็นกลางของจิตหรือความสงบจะช่วยให้มีการสังเกตและไม่กระโดดเข้าไปจมอยู่ในความคิดหรืออารมณ์ที่แกว่งขึ้นลง เมื่อคุณฝึกให้จิตตนเองมีความสงบมากขึ้น คุณก็จะเริ่มสังเกตตัวคิดของคุณได้เมื่อเราฝึกจิตใจให้มีความสงบอยู่บ่อยๆ จิตเราก็จะรู้สึกมีคลื่นพลังงานที่เบิกบาน กระปรี้ประเปร่า ทำให้เราปล่อยวางความเครียดหรือความทุกข์ได้ง่าย เพราะจิตเราไม่ยึดติดกับอารมณ์ จิตที่มีความสงบอย่างมหาศาลจึงช่วยให้เรามองเห็นเหตุของความทุกข์ที่มีอยู่ในใจของตนเองและก็ไปแก้ที่ต้นเหตุด้วยการปล่อยวางความเข้าใจผิด ทำให้จิตมองเห็นความเป็นจริงและจิตก็จะรู้สึกว่า “อ๋อ” เหตุของตัวทุกข์มันอยู่แค่ตรงนี้เอง เมื่อจิตเราเข้าใจเช่นนั้นแล้ว จิตก็เกิดมีปัญญา ทำให้มันปล่อยวางทิฐิและการยึดมั่นในตัวตน คลายออกจากความคิด ความเชื่อและอารมณ์ เมื่อจิตปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกไปจากใจ จิตเราก็จะรู้สึกเป็นอิสระ มีความกระจ่าง แจ่มแจ้ง ชัดเจน เพราะมันหายหลงและหายข้องใจ เป็นจิตใจที่เย็นฉ่ำ เบาสบาย อิ่มเอิบเบิกบาน เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ยินดีและมีความเป็นกลางต่อทุกสิ่ง มีแรงบันดาลใจและความสร้างสรรค์ เป็นจิตที่ไม่เลือกที่รักมักที่ชังและมีแต่ความสุขอย่างแท้จริง จิตมีความรักที่เกิดขึ้นจากความเป็นกลางซึ่งไม่ยึดมั่นและปล่อยวาง มีการให้อภัย เป็นความรักและความสุขที่ไม่มีเงื่อนไข จิตใจจึงมีความสนุกสนานอยู่กับปัจจุบันและไม่เครียดกับสิ่งใด รู้จักรักษาศีล (ไม่ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น) ทำให้ใจเรากว้างออกและเต็มไปด้วยปัญญา
แก้ไขข้อความเมื่อ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่