[CR] [Review] ทริปหนีน้ำไปแอ่วดอย "อยากไปไหนก็ปาย..."

สวัสดีค่ะ!! สถานีนี้คือเดือนสุดท้ายของปี 2560 เดือนแห่งการเฉลิมฉลองและวันหยุดยาว (ที่เจ้าของกระทู้ไม่ยักกะได้หยุดเหมือนชาวบ้านชาวช่อง 555) การเป็นมนุษย์เงินเดือนนี่มันยากแท้หยั่งถึงจริงๆ นโยบายของที่ทำงาน (เจ้าของกระทู้) ไม่อนุญาตให้พนักงานหยุดงานในวันหยุดนักขัตฤกษ์แต่สามารถสะสมวันหยุดในเดือนนั้นๆ ไว้ใช้ได้ (ใช้ให้หมดภายในเดือนนะจ้ะ)...สำหรับเดือนสุดท้ายของปีเจ้าของกระทู้ได้รับวันหยุดพิเศษ (นอกเหนือจากวันหยุดประจำสัปดาห์เพิ่ม 2 วัน) ในเมื่อวันหยุดพร้อม คนและเงินในกระเป๋าอาจจะพร้อมหรือไม่พร้อมก็ตามแต่อันนั้นไม่สำคัญ ไม่ใช่ประเด็นที่จะสนใจด้วย ณ จุดๆ นั้นสนใจแค่สิ้นปี “เราต้องเดินทาง ไปพักกาย พักใจ หลังจากเหนื่อยล้ามาเกือบทั้งปี”

          เมื่อวันหยุดลงตัว คนลงตัว เวลาลงตัว (เงินในกระเป๋าไม่ต้องไปถามความคิดเห็นจากมันค่ะ) รออะไรล่ะคะ “หาที่เที่ยวซิ...” ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปแอ่วเชียงราย เพราะอยากไปดูทุ่งดอกคอสมอส อยากไปดูไร่ชา ไปสูดอากาศคูลๆ วางแผนไว้เยอะแยะบลาๆ (หาตั๋วเครื่องบิน หาที่พักในเชียงรายไว้ด้วยนะ) แต่สุดท้ายแผนก็ล่มเพราะเพื่อนร่วมทางอยากไป “ปาย” มากกว่า ตอนนั้นได้ยินคำว่า “ปาย” ก็แอบเศร้านิดๆ นะเพราะในใจส่วนลึกอยากไปเชียงรายมากกว่า อยากจะซ่าส์ก๋ากั่นแบกกระเป๋าไปแอ่วเชียงรายคนเดียวก็ยังไม่กล้า เพราะไม่เคยไปต่างจังหวัด ต่างภูมิภาคคนเดียว กลัวหลง กลัวไปปล่อยไก่ กลัวโน้น กลัวนี่...นานาจิตตัง^^

          ในเมื่อเปลี่ยนแปลง "ความอยากไป" ของเพื่อนไม่ได้ ก็คงต้องเป็นเราที่ควรจะเปลี่ยนแปลง "ความอยากไป" ของตัวเอง...ได้เวลาเตะ "เชียงราย" ออกจากหัวแล้วหันมาหาข้อมูลเกี่ยวกับ "ปาย แดนดินแห่งความโรแมนติก" (มันเหมาะกับสาวโสดอย่างอิชั้นตรงไหนคะ?) ข้อมูลที่สืบๆ ค้นๆ ก็เป็นเรื่องทั่วไปๆ อาทิ สภาพภูมิอากาศช่วงเดือนที่จะเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ การเดินทาง ที่พัก ของฝาก และสำคัญที่สุดคือ "ของกิน" (รู้เขา รู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้งอะนะ) ^_^ เมื่อได้ข้อมูลคร่าวๆ ของจุดหมายปลายทางมาไว้ในหัวเป็นที่เรียบร้อย แพลนต่อไปก็คงเป็นการเลือกวันหยุดและหาตั๋วเครื่องบิน (ราคาถูกๆ) ซึ่งวันหยุดที่เราสามารถแย่งชิงจากเพื่อนร่วมงานมาได้คือวันที่ 1 ธ.ค. - 5 ธ.ค. (ต่อไปนี้ขอแทนตัวเองว่า "เรา" นะ ขี้เกียจพิมพ์คำว่าเจ้าของกระทู้แล้วอ่ะ มันยาวเกิ๊นนนน) มาแล้ว...วันหยุดมาแล้ว ลำดับต่อไปคือตั๋วเครื่องบินจ้ะ

          และไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่วันเดินทางตรงกับวันศุกร์ ซึ่งแน่นอนว่าค่อนข้างหาตั๋วราคาถูกได้ยากมากๆ ราคาที่ซื้อได้ในตอนนั้นก็อยู่ที่ 1,200+ บาทต่อคน เป็นเที่ยวบินๆ ตรงจากสนามบินกระบี่ไปลงที่สนามบินเชียงใหม่ ของสายการบิน Air Asia (สายการบินนี้เขาให้บริการเที่ยวบินๆ ตรงจากกระบี่ไปลงเชียงใหม่วันละ 2 รอบ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงนะเออ) ราคาที่ได้ไม่ถือว่าถูกสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา แต่ก็ไม่ได้แพงมากสำหรับการเที่ยวปีละครั้ง 555 --> ไฟล์ทที่เราเลือกเป็นไฟล์ทแรกของวัน (แต่บินตอนบ่าย 14:45 น....รอยาวๆ ไปซิ เฮ้อ!!) วันที่เราเดินทาง (วันที่ 1 ธ.ค.) เป็นวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบมากๆ เพราะ "บังเอิ๊ญ...บังเอิญ" ว่าที่บ้านน้ำท่วม เกือบๆ ถึงกลางน่องอ่ะ (น้ำท่วมก่อนเดินทาง 1 วัน นี่จึงเป็นที่มาของชื่อทริป "หนีน้ำไปแอ่วดอย") การจัดเสื้อผ้า ข้าวของลงกระเป๋าจึงทุลักทุเลพอสมควร ไหนจะผ้าไม่แห้ง ไหนจะหาเชือกผูกรองเท้าไม่เจอ วุ่นวายไปหมด แต่ๆ จะให้ทิ้งตั๋ว ทิ้งเงินค่าที่พัก ค่าทริปก็คงไม่ไหว จ่ายไปหมดแล้วนี่ ^^ (วอนพ่อและแม่โปรดเข้าใจ ฮี่ๆ)

         เราเดินทางออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่สนามบินกระบี่เวลา 10:00 น. เพราะต้องเผื่อเวลาสำหรับสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังคุกคามด้วย (ก่อนออกเดินทางพ่อบ่นให้รีบๆ เร่งๆ ทุกๆ 2 นาที คงกลัวว่าลูกสาวจะตกเครื่อง) และเป็นจริงอย่างที่พ่อบ่น เส้นทางที่เราต้องผ่านไปสนามบินกระบี่มีน้ำท่วมถนนสูงพอสมควร มีประกาศห้ามรถทุกประเภทใช้ความเร็วมากเกินไปอันเป็นเหตุทำให้น้ำกระเด็นเข้าบ้านเรือนริมถนน  ทุกวินาทีที่เท้าเหยียบคันเร่งจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ กว่าจะไปถึงสนามบินก็เกือบ 11:30 น. ถือว่าสารถีทำเวลาดีมาก แต่คนที่ต้องนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องนี่ซิคอตก (หาวแล้วหาวอีกกว่าจะถึงเวลาเดินทาง 14:45 น.) บรรยากาศในอาคารผู้โดยสารขาออกภายในประเทศวันศุกร์มันก็จะเหมาะแก่การนอน เงียบๆ วังเวงหน่อย มีชาวต่างชาติและคนไทยที่มารอขึ้นเครื่องให้เห็นประปราย ระหว่างรอเช็คอินเรากับเพื่อนเลยแวะไปนั่งหาวในร้าน Black Canyon ใช้เวลาที่มีเหลือเฟือเช็คความเรียบร้อยข้าวของ เสื้อผ้า (เช็คทำไม...ขาดตกบกพร่องอะไรก็กลับไปเอาไม่ได้อยู่ดี)

สั่งช็อกโกแลตปั่นมานั่งกินฆ่าเวลา และลองเล่นกล้องไปพลางๆ


          เราออกจากร้านกาแฟขึ้นไปเช็คอินบนชั้น 2 ของอาคารผู้โดยสารขาออกภายในประเทศตอนประมาณบ่ายโมงนิดๆ เดินไปถึงหน้าเคาท์เตอร์เช็คอินก็แอบเหวอบวกหงุดหงิดหน่อยๆ เพราะแถวยาวและวุ่นวายมาก แทบแยกแยะไม่ออกว่าแถวไหนรอเช็คอินแอร์เอเชีย แถวไหนไลอ้อนแอร์ แถวไหนไทยสไมล์ (ปวดหัว...) แอบชำเลืองมองพี่ฝรั่งเป็นระยะๆ ขณะที่พี่แกก็มองเราและเพื่อนด้วยสายตาปลงตกไม่ต่างกัน 555 อยากจะตีซี้เดินเข้าไปถามว่า "ยูรอเช็คอินสายการบินอะไร" ก็กลัวว่าพี่แกจะงงภาษาอังกฤษหลักสูตร snack snack fish fish ของเรา ... โชคดีในความโชคดี หลังจากยืนเอ๋อมองฝรั่งอยู่สักพักก็มีพี่คนเก็บรถเข็นเดินเข้ามาถามว่า "เราจะไปไหน ไปไฟล์ทกี่โมง" เราก็บอกไปและแอบฟ้องเรื่องการเข้าแถวต่อท้าย พี่แกก็ยิ้มอ่อน แล้วบอกว่า "แบบนี้แหละ" ก่อนจะแนะนำให้เราไปเช็คอินผ่านเครื่องซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่า (ในกรณีไม่มีสัมภาระโหลดใต้นะจ้ะ) ไปถึงหน้าเครื่องเช็คอินก็มีฝรั่ง 3-4 คนยืนออกันอยู่หน้าเครื่อง (เครื่องเดียว มีซุบซิบๆ กันด้วยนะ) เชื่อเหอะว่าพวกเขาคงกำลังงงกับระบบเช็คอินผ่านเครื่องของไทยอยู่ เพราะเราเองก็มีอาการ ท่าทางไม่ต่างจากพวกเขาตอนเช็คอินผ่านเครื่องครั้งแรกที่ดอนเมือง 555

          เช็คอินเรียบร้อย ได้บอร์ดดิ้งพาสมาถือไว้ในมือเราก็เดินกินลม ชมวิวเข้า Gate รอเวลาเรียกขึ้นเครื่อง (มีระทึกเล็กน้อยตอนตรวจสัมภาระ เมื่อพนักงานค้นกระเป๋าดูของเหลว คงคิดว่ามันจะเกินกำหนดซินะเพราะพาไปหลายขวด แต่เสียใจค่ะ!! รอบนี้เตรียมตัวมาดี แม้จะหลายขวดแต่รวมๆ กันแล้วไม่เกินไปจากที่สนามบินตั้งกฏไว้นะ) ^_^ ผ่านด่านตรวจมาได้ก็ต้องไปนั่งรอเวลาอีกรอบ รอยาวๆ ไป จนกว่าจะ 14:45 นะ ...ภาคพื้นดินเรียกขึ้นเครื่องตอนประมาณ 14:15 น. ทุกอย่างบนเครื่องเรียบร้อยเร็วมาก รู้สึกเหมือนเครื่องจะออกก่อนเวลานิดหน่อย (ถือเป็นความโชคดีอีกหนึ่งอย่าง เพราะมันช่วยให้เราไม่พลาดรถตู้เชียงใหม่-ปายรอบสุดท้าย) **ไม่มีภาพถ่ายที่สนามบินนะ เพราะวันนั้นค่อนข้างครึ้มฟ้า ครึ้มฝน มือใหม่หัดเล่นกล้องยังไม่ชำนาญในการถ่ายภาพสักเท่าไหร่**

          16:30 น. "Hello Chiang Mai, again"

          เราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินกระบี่ไปถึงสนามบินเชียงใหม่โดยประมาณ 1 ชม. 55 นาที (กัปตันบอกมา) กว่าจะได้แบกกระเป๋าลงเครื่องก็ 16:45 น. รออะไรล่ะ? ใส่เกียร์หมาวิ่งไปติดต่อแท็กซี่พาไปส่งที่สถานีขนส่งอาเขตซิ (เราหารถจากแถวๆ ประตูทางออกนั่นแหละ เป็นแท็กซี่ของสนามบิน
ราคาอยู่ที่ 100.- บาทต่อคน) เหลือเวลาแค่ 45 นาทีกับสภาพการจราจรในตัวเมืองเชียงใหม่เย็นวันศุกร์ ระหว่างนั่งรถนี่ก็ลุ้นจนตัวเกร็ง ในใจก็ภาวนาว่าขอให้ไปทันเวลา เพราะเราจองที่นั่งรถตู้ไว้เรียบร้อยแล้ว (จองตั๋วรถตู้ออนไลน์ของเปรมประชาจ้ะ ค่ารถ 150.- บาทต่อคน + ค่าประกัน 30.- บาทต่อคน รวมแล้ว 180.- บาทจากอาเขตไปปายแบบไม่แวะแม่ฮ่องสอน) ไปถึงอาเขตแบบเฉียดฉิวมาก ลงจากแท็กซี่ปุ๊บ วิ่งขึ้นรถตู้ปั๊บ (เรามีน้องสาวติดสอยห้อยตามไปด้วย นางไปถึงเชียงใหม่ก่อนเราหลายชม. เพื่อไม่ให้เสียเวลาเลยขู่เข็ญให้นางเป็นคนไปรอรับตั๋ว)

เป็นตารางเดินรถนะคะ รถวิ่งทุกวันเนาะ


หน้าตาเว็บจองตั๋วออนไลน์ค่ะ เลือกที่นั่งได้นะ แนะนำว่าควรจะเลือกแถวหน้าๆ ค่ะ เพื่อลดอาการเมาโค้ง 555


          รถตู้ออกจากอาเขตประมาณ 17:40 น. เนื่องจากผู้โดยสารยังมาไม่ครบ ขาดไป 2 ที่นั่งมั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) ^^ ก่อนล้อรถเคลื่อนเราก็จัดการอัดยาแก้เมารถเข้าไป 1 เม็ด เพื่อรักษาสภาพร่างกายของตัวเองและเพื่อไม่ให้เป็นภาระคนอื่น อิอิ

          [รถวิ่งไปได้ไม่นานเราก็หลับ บรรยากาศนอกรถเหมือนจะมืดเร็วกว่าปกติ อากาศเย็นสบาย ของีบแป๊บ]

          20:30 น. "Hello Pai, nice to meet u"

          ทั้งที่อยากจะหลับให้เต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเมาโค้ง แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ เพราะ...ลุงคนขับรถเหยียบคันเร่งหยาบคายมาก คำนวณคร่าวๆ ตลอดระยะทางไม่น่าจะต่ำกว่า 90 กม./ชม. อ่ะ (โหดร้ายกับชีวิตเราจริงๆ) ที่นั่งด้านหลังคนขับไม่ได้ช่วยอะไรเลย T_T กว่าจะถึงปายนี่ท่องนะโม พุทโธ่ สังโฆ ไปหลายรอบจ้ะ ... เราลงรถตู้ในถนนคนเดินปายนะ เพราะรถของบริษัทนี้เขามีจุดจอดในถนนคนเดิน (จะแวะลงระหว่างทางเขาก็จอดให้นะ อันนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน)

          บรรยากาศถนนคนเดินยามค่ำคืนยังคึกคักอยู่นะ มีนักท่องเที่ยวออกมาเดินเล่น หาของกิน ของฝากหนาแน่นพอสมควร ร้านขายอาหาร ขายเสื้อผ้าก็มีเยอะแยะ ละลานตา เอาเป็นว่ามื้อค่ำวันแรกของการมาเยือนปายเราขอฝากท้องไว้ที่ถนนคนเดินก็แล้วกันนะ ^^ (เราได้ยำมาม่ามาหนึ่งถุง, ไก่ย่างสมุนไพร 1 ไม้, ข้าวเหนียว 1 ห่อ) เสบียงพร้อมแล้วสถานีต่อไปคือโทร.หาที่พักให้เขาส่งรถมารับ (ฟรี...)

          ยืนรอเอ๋อๆ อึนๆ ประมาณ 5 นาทีก็มีรถยนต์คันเล็กๆ เพ้นท์ลายการ์ตูนน่ารักๆ เคลื่อนตัวมาจอดตรงหน้า ก่อนที่คนขับจะเดินเข้ามาถามว่าเป็นลูกค้าที่กำลังจะเข้าเช็คอินที่คีรีนารึเปล่า เราก็พยักหน้างึกๆ เพราะยังชื่นชมความน่ารักของรถไม่เสร็จ 555 ...หลังจากไปรับเราในถนนคนเดินแล้ว เขาก็แวะรับลูกค้าชาวจีนอีก 3 คนที่สี่แยกปายหนาว

          ระยะทางจากถนนคนเดินไปถึงที่พัก "Kirina Retro House" ไม่ถือว่าใกล้นะถ้าจะเดินเท้า แต่ก็ไม่ถือว่าไกลเหมือนกันถ้าจะนั่งรถ (งง) ปากทางเข้าจะมีป้ายวัดหัวนาเป็นจุดสังเกตนะจ้ะ จากป้ายวัดเข้าไปยังที่พักมันก็เปลี่ยวๆ หน่อย เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนา (ตอนที่เราไปนี่เขาเก็บเกี่ยวหมดแล้วนะเออ เหมือนแค่ตอซังให้เห็น) ... ไปถึงก็จัดการเช็คอิน (เพราะอยากอาบน้ำนอนมาก) เซ็นชื่อโน้น นี่ นั้นเสร็จพนักงานก็แจกแผนที่เที่ยวให้ แล้วอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก่อนจะพาเราไปทิ้งยังห้อง "ไอซ์แลนด์"

ที่มาของชื่อ 'ไอซ์แลนด์' ภาพนี้ไม่ได้ถ่ายเองนะคะ เอามาจากเว็บไซต์ของที่พัก...ดูเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์ด้านล่างเลยจ้ะ


          23:50 น. ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามากๆ (วันที่ 2 เน้นอัพรูปนะเออ)
ชื่อสินค้า:   แอ่วเหนือ ม่วนใจ๋
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่