5 ไฮไลท์สำคัญจากหนังฟีลกู้ดชั้นเยี่ยมเเห่งปี 'WONDER'


Wonder ผลงานฟีลกู้ดชั้นเยี่ยมส่งท้ายปี ซึ่งถูกสร้างจากหนังสือที่ติดอันดับ The New York Times Bestsellers ที่มียอดขายกว่าห้าล้านเล่ม

โดย Wonder เล่าเรื่องราวของ 'ออกัสต์ พูลแมน' เด็กน้อยที่เกิดมาพร้อมใบหน้าผิดปกติ ทำให้เขาไม่กล้าเข้าสังคมหรือไปโรงเรียน ซึ่งทาง 'ออกัสต์' รวบรวมความกล้าที่จะเข้าโรงเรียนสามัญครั้งแรกในชั้นเกรดห้า นั่นทำให้เขาได้พบเจอกับเพื่อนใหม่ และสังคมรอบตัวที่ต่างก็ยอมรับและเข้าใจในความรู้สึกของตัวเขา ซึ่งเป็นมุมมองที่เขาไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าจะได้พบเจอ เมื่อต้องเผชิญกับโลกภายนอก...

และนี่ก็เป็น 5 ไฮไลท์สำคัญของหนังเรื่องนี้
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

1. สร้างจากเรื่องจริง เเละหนังสือถูกเขียนจากความรู้สึกที่อยากไถ่โทษของ 'R.J. Palacio'

Wonder ถูกถ่ายทอดจากเหตุการณ์จริงที่ผู้เขียนหนังสือ R.J. Palacio ต้องประสบพบเจอกับตัวเอง ในช่วงปี 2008 ขณะพาลูกๆไปเดินเล่น เธอก็ได้เจอกับเหตุการณ์หนึ่งที่กลายเป็นเหมือนตราบาปฝังลึกอยู่ในจริงใจ โดยเธอได้อธิบายเหตุการณ์นั้นว่า

“เรานั่งติดกับเด็กที่มีใบหน้าผิดปกติ เหมือนกับตัวละครอ๊อกกี้ในหนังสือ ลูกชายฉันมองหน้าเด็กคนนั้นอย่างไม่ละสายตา ฉันรีบดึงลูกฉันออกมาเพราะกลัวว่าเขาจะทำให้เด็กคนนั้นรู้สึกไม่ดี แต่กลายเป็นว่าตัวฉันเองนั่นแหละที่ทำให้สถานการณ์แย่ลง”

ด้วยเหตุการณ์นั้นเธอจึงไถ่โทษความรู้สึกของตัวเอง โดยการเขียนหนังสือเพื่อบอกเล่าความจริง ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านมุมมองของเด็กคนหนึ่งที่เกิดมามีใบหน้าผิดปกติ และต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมส่วนใหญ่ที่มองว่าเขาเป็นคนแปลกแยก








2. ถูกสร้างในสไตล์ที่ต่างออกไปจากหนังที่มีธีมเกี่ยวกับ “ความแปลกแยก”

Wonder ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบหนังฟีลกู้ด สร้างแรงบันดาลใจ ที่เมื่อคุณดูจบใบหน้าจะเต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกอิ่มเอมใจ ส่วนหนึ่งการันตีได้จากเกรด A+ ของเว็บ Cinemascore

เมื่อมองส่วนรายละเอียดหนังมีความแตกต่างในการนำธีม “ความแปลกแยก” มาเล่าในรูปแบบที่สว่าง มอบรอยยิ้ม สร้างอารมณ์ขบขัน ซึ่งเป็นความตั้งใจเดิมของผู้เขียนอย่าง R.J. Palacio เรียกได้ว่าแตกต่างจากหนังลักษณะเดียวกันที่มักเล่าในโทนหม่นๆ เซ็ทโลกแบบสังคมดิสโทเปีย อย่างไซไฟพวก Gattaca, Never Let Me Go หรือจะเป็นหนังเกี่ยวกับคนผิวดำ กลุ่มชาวยิวอย่าง12 Years a Slave และ Schindler's List








3. จุดประกายโครงการต่อต้านการกลั่นแกล้งขึ้นทั่วโลก

ส่วนสำคัญที่ทำให้ Wonder กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ที่มีการบอกต่อ ถูกพูดถึงกันเป็นวงกว้างก็เพราะ การมอบพลังให้เยาวชนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านการกลั่นแกล้งในโรงเรียน การถือตัว และการแบ่งแยก ซึ่งทางโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง Todd Lieberman ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

“หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่เรื่องนี้สื่อออกมาคือ มนุษย์มีหลายวิธีที่จะรังแกกัน อย่างการรังแกด้านจิตใจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมอินกับหนังสือเล่มนี้ พฤติกรรมแย่ๆ พวกนี้มันมีมาตลอด พอบวกกับโลกโซเชียลมีเดียทำให้มีคนถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมกันมากขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ควรเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปให้มากที่สุด”

ขณะเดียวกันทาง R.J. Palacio ได้พูดคุยกับเด็กทั่วประเทศเกี่ยวกับการรังแกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 'Choose Kind' ตามที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ และมีเด็กเป็นพันๆคน ที่เซ็นปฏิญาณ 'Choose Kind' ที่เธอทำขึ้นมาเพื่อเตือนใจเด็กๆว่ามุมมองที่พวกเขามีต่อคนอื่นจะส่งผลต่อพวกเขาไปตลอดชีวิต








4. นำแสดงโดย Jacob Tremblay เด็กมากพรสวรรค์จากหนังดราม่าอย่าง Room

เรียกว่าเป็นการแคสติ้งที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับการเอา Jacob Tremblay มารับบทเป็น Auggie เด็กน้อยที่เกิดมาพร้อมใบหน้าที่ผิดปกติและต้องปรับใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม โดยจากผลงานเก่าอย่าง Room ก็มีความคล้ายคลึงกับบทบาทที่ได้รับใน Wonder อย่างเด็กที่ถูกกักขัง กีดกันในโลกเเคบๆ เเต่วันหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับโลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จัก ซึ่งแน่นอนว่าบทบาทในครั้งนั้นมันยอดเยี่ยมและได้คำชื่นชมจากนักวิจารณ์หลายสำนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทีมผู้สร้างได้ดึงตัว Jacob Tremblay มารับบทบาทสำคัญในหนังเรื่องนี้








5. กำกับโดย Stephen Chbosky ที่เคยฝากหนังดราม่าวัยรุ่นอย่าง The Perks of Being a Wallflower

หากเทียบจากผลงานสองเรื่องของ Stephen Chbosky ทั้งในฐานะผู้กำกับจาก The Perks of Being a Wallflower และในฐานะมือเขียนบทจาก Beauty and the Beast โดยสองเรื่องนี้จะมีการเล่ามุมมองของตัวละครที่มีปมในจิตใจหรือเกิดมาพร้อมความผิดปกติบางอย่าง จนเกิดการปิดกั้น รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกแยกในสังคม ขณะเดียวเขายังนำเสนอมุมมองแห่งการต่อสู้ เพื่อข้ามผ่านปมความกลัวที่ถูกฝังลึกอยู่ภายในใจ ซึ่ง Stephen Chbosky จึงกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะในการกำกับหนังเรื่องนี้อย่างมาก โดย Todd Lieberman ก็พูดถึงตัวผู้กำกับคนนี้ไว้ว่า

“คุณสมบัติสำคัญที่สุดที่ Wonder ต้องพึงมีคือ การกระตุ้นอารมณ์คนดูโดยไม่ให้ความรู้สึกที่ฝืนเกินไป Stephen เป็นผู้กำกับที่ให้ความสำคัญกับอารมณ์หนังมาก แต่ในเวลาเดียวกันเขาสามารถทำให้มันออกมาย่อยง่าย เบาสมอง ผสมอารมณ์ขันเข้ากับแก่นหลักของเรื่องได้ลงตัว”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หนังเข้าฉายในไทยวันที่  7 ธันวาคม 2017


ตัวอย่างซับไทย
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่