ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องเพลงและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์อาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง ฯ
หลายๆ คนคงคุ้นกับโคลงบทนี้ วันนี้มีเรื่องของ "
ศรีปราชญ์" มานำเสนอค่ะ
เรื่องศรีปราชญ์นี้ เอกสารบางแห่งก็ว่าไม่มีตัวตนจริง เป็นเหมือนเรื่องเล่า บ้างก็ว่ามีจริง
ตรงนี้ก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ค้นคว้ากันไป เราก็เพียงรู้จักไว้เป็นเกร็ดตามวรรณกรรมที่เขียนไว้ค่ะ
ตำนานศรีปราชญ์ ยอดกวีเอก สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สันนิษฐานว่า ศรีปราชญ์ คงจะเกิดในปี พ.ศ. 2196 หรือ 3 ปี ก่อนที่สมเด็จพระนารายณ์เสด็จขึ้นครองราชย์
บิดาของศรีปราชญ์คือ "พระโหราธิบดี" รับราชการในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
พระโหราธิบดีเชี่ยวชาญด้านโคลงกลอนและการพยากรณ์
ครั้งหนึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งโคลงบทหนึ่ง ว่า...
อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย ลอบกล้ำ
แล้วก็ทรงติดขัด จึงพระราชทานให้พระโหราธิบดี (บิดาของศรีปราชญ์) ไปแต่งต่อ ท่านก็ยังแต่งไม่ได้
พอนำกลับไปที่บ้าน ศรีบุตรชายวัย 7 ขวบ (บางตำราว่า 9 ขวบ) ได้มาเห็นกระดานชนวนเข้าจึงแต่งต่อว่า...
อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จักกราย ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อเรียมสงวน
ความหมายของโคลงบทนี้ที่เจ้าศรีแต่งต่อมีอยู่ว่า
“คงไม่มีผู้ใดในแผ่นดินนี้ที่จะอาจสามารถเข้าไป ย่างกรายนางได้ง่าย
และจะบังอาจไปทำให้แก้มของนวลนางอันเป็นที่รักและหวงแหนต้องชอกช้ำไปได้”
เด็กชายศรีแต่งโคลงสองบทสุดท้ายได้อย่างไพเราะ
เมื่อพระโหราธิบดีนำโคลงบทนี้ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนารายณ์ ปรากฏว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก
เมื่อรู้ว่าผู้แต่งเป็นลูกชาย อายุยังน้อย จึงทรงโปรดให้นำตัว "ศรี" มารับราชการ
บิดาศรีปราชญ์รู้นิสัยลูกชายและเคยทำนายดวงชะตาลูกชายก็พบว่า
ศรีอายุจะสั้นด้วยต้องอาญา
จึงได้หาทางประวิงเวลาเรื่อยมา จนกระทั่งศรีอายุ 15 ปี ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงพาตัวมาเข้ารับราชการ
แต่ได้ขอพระราชทานคำสัญญาจากสมเด็จพระนารายณ์ 1 ข้อ คือ
"หากกาลต่อไปภายหน้า ถ้ามันกระทำความผิดใดๆ ที่ไม่ใช่ความผิดต่อราชบัลลังก์ และมีโทษถึงตาย
ก็ขอได้โปรดงดโทษตายนั้นเสีย ขอเพียงให้เนรเทศให้พ้นไปจากเมือง อย่าให้ต้องถึงกับประหารชีวิต"
สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงพระราชทานสัญญานั้น
ผลงานประจักษ์ ได้เป็นศรีปราชญ์
เมื่อเจ้าศรีเข้าถวายตัวรับราชการแล้ว ก็อยู่ในตำแหน่งมหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ตามเสด็จไปทุกหนทุกแห่ง
ครั้งหนึ่งมีการประชันความสามารถกัน "ศรี" ได้เจรจาโต้ตอบกับพระยาแสนหลวงเจ้าเมืองเชียงใหม่ดังนี้
พระยาแสนหลวง :
รังศรีพระเจ้าฮื่อ ปางใด
ศรีปราชญ์ :
ฮื่อเมื่อเสด็จไป ป่าแก้ว
พระยาแสนหลวง :
รังศรีบ่สดใส สักหยาด
ศรีปราชญ์ :
ดำแต่นอกในแผ้ว ผ่องเนื้อนพคุณ
สมเด็จพระนารายณ์จึงทรงให้บำเหน็จด้วยการพระราชทานพระธำมรงค์ให้และตรัสว่า
“
เจ้าศรี เจ้าจงเป็นศรีปราชญ์ ณ บัดนี้เถิด”
แต่บางตำราก็บอกว่าได้เป็นศรีปราชญ์ตอนที่สมเด็จพระนารายณ์เดินทางไปประพาสยังป่าแก้ว
พระยารามเดโชโดนลิงอุจจาระลงศีรษะบรรดาทหารต่างๆ ก็หัวเราะ
สมเด็จพระนารายณ์ที่บรรทมอยู่จึงตื่นขึ้นแล้วตรัสถามอำมาตย์แต่ไม่มีใครกล้ากราบบังคมทูล
ฝ่ายเจ้าศรีรับใช้มานานจนทราบพระราชอัธยาศัยจึงกราบบังคมทูลด้วยคำคล้องจองว่า
"พยัคฆะ ขอเดชะ วานระ ถ่ายอุจจาระ รดศีรษะ พระยารามเดโช"
สมเด็จพระนารายณ์พอพระทัยเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้พระยารามเดโชเป็นอย่างมาก
สมเด็จพระนารายณ์ถึงกับตรัสว่า "
ศรีเอ๋ย เจ้าจงเป็นศรีปราชญ์ตั้งแต่บัดนี้เถิด"
มีเรื่องเล่าอีกว่า ครั้งหนึ่งศรีปราชญ์แต่งโคลงกระทู้แล้วได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เมื่อเดินกลับออกมานายประตูก็ทักทายศรีปราชญ์เป็นโคลง ส่วนศรีปราชญ์ก็ตอบโต้เป็นโคลงดังนี้
นายประตู
แหวนนี้ท่านได้แต่ ใดมา
ศรีปราชญ์
เจ้าพิภพโลกา ท่านให้
นายประตู
ทำชอบสิ่งใดนา วานบอก
ศรีปราชญ์
เราแต่งโคลงถวายไท้ ท่านให้รางวัล
ตรงนี้เองเคยอ่านเจอในหนังสือ "คนเจ้าบทเจ้ากลอน" ของ อ.ประจักษ์
เป็นเรื่องขำๆ ค่ะ ว่ามีการไปแปลงโคลงกันเป็นแบบนี้
นักเรียนชาย 1
แหวนนี้ท่านได้แต่ ใดมา
นักเรียนชาย 2
นักเรียนสายปัญญา หล่อนให้
นักเรียนชาย 1
ทำชอบสิ่งใดนา วานบอก
นักเรียนชาย 2
ข้าย่ำต๊อกตามเธอไซร้ หล่อนให้รางวัล
ต่อๆ เรื่องศรีปราชญ์
ด้วยนิสัยเจ้าชู้ตามอารมณ์ของกวี บวกกับความคึกคะนอง และถือตัวว่าเป็นคนโปรดของพระนารายณ์
จึงทำให้ศรีปราชญ์ต้องโทษถึงกับติดคุกหลายครั้ง ด้วยมักไปทำรุ่มร่ามแต่งโคลงเกี้ยวพาราสีบรรดาสาวใช้ในวัง
มีอยู่ครั้งหนึ่งศรีปราชญ์อาจกล้าถึงขั้นไปเกี้ยวพาราสีพระสนมเอกคือท้าวศรีจุฬาลักษณ์เข้าให้
ในคืนวันลอยกระทงศรีปราชญ์ได้ดื่มสุราแล้วเมาจากนั้นก็เดินไปข้างๆ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์เพราะฤทธิ์สุรา
ท้าวศรีฯ เห็นศรีปราชญ์มายืนข้างๆก็ไม่พอพระทัยจึงว่าศรีปราชญ์เป็นโคลงว่า
หะหายกระต่ายเต้น ชมจันทร์
มันบ่เจียมตัวมัน ต่ำต้อย
นกยูงหากกระสัน ถึงเมฆ
มันบ่เจียมตัวน้อย ต่ำต้อยเดียรฉาน ฯ
ศรีปราชญ์ได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าพระสนมเอกได้ต่อว่าตนจึงย้อนไปเป็นโคลงว่า
หะหายกระต่ายเต้น ชมแข
สูงส่งสุดตาแล สู่ฟ้า
ระดูฤดีแด สัตว์สู่ กันนา
อย่าว่าเราเจ้าข้า อยู่พื้นเดียวกัน ฯ
พระสนมไปฟ้องสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์กริ้วมาก จึงลงโทษศรีปราชญ์
ต่อมาก็มีเหตุกระทบกระทั่งอีก ศรีปราชญ์ไปทำโคลนกระเด็นถูกพระสนมเอก
พระองค์จึงทรงเนรเทศศรีปราชญ์ไปเมืองนครศรีธรรมราช
โคลงบทสุดท้าย
ด้วยความเป็นอัจฉริยะของศรีปราชญ์นี้เองที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชโปรดปรานเขา
ก็มีคนหมั่นไส้และเคืองแค้นศรีปราชญ์ จึงได้ใส่ร้ายศรีปราชญ์ว่าลักลอบเป็นชู้กับภริยาของพระยานคร
พระยานครหลงเชื่อจึงสั่งให้นำตัวศรีปราชญ์ไปประหารชีวิต
ศรีปราชญ์ประท้วงโทษประหารชีวิตแต่ท่านเจ้าเมืองไม่ฟัง
ซึ่งปัจจุบันเชื่อกันว่าสถานที่ใช้ล้างดาบที่ใช้ประหารชีวิตศรีปราชญ์นั้น ตั้งอยู่ภายในโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช
จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกว่า "สระล้างดาบศรีปราชญ์"
และก่อนที่เพชฌฆาตจะลงดาบประหารศรีปราชญ์ได้ขออนุญาตเขียนโคลงบทสุดท้ายไว้กับพื้นธรณีว่า
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์อาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง ฯ
ในขณะที่ถูกประหารนั้นศรีปราชญ์มีอายุประมาณ 30 หรือ 35 ปี
และหลังจากที่ศรีปราชญ์ตาย อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งโคลงกลอนติดขัด
หาคนแต่งต่อให้ถูกพระราชหฤทัยไม่ได้ ก็ทรงระลึกถึงศรีปราชญ์ จึงตรัสสั่งให้มีหนังสือเรียกตัวกลับ
เมื่อพระองค์ทรงทราบข่าวว่า ตอนนี้ศรีปราชญ์ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ทรงพระพิโรธ ตรัสว่า
“อ้ายพระยานครศรีฯ มันถือดีอย่างไร ที่บังอาจสั่งประหารคนในปกครองของกูโดยไม่ได้รับอนุญาต
ความผิดของอ้ายศรีนั้น ขนาดมันล่วงเกินกูในทำนองเดียวกัน กูยังไว้ชีวิตมันเลย
ไม่ได้การไอ้คนพรรค์นี้ เอาไว้ไม่ได้”
ว่าแล้วก็ตรัสสั่งให้นำเจ้าพระยานครศรีฯ ไปประหารชีวิต
ด้วยดาบเล่มเดียวกันกับที่ประหารศรีปราชญ์นั่นเอง
ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
https://talk.mthai.com/inbox/361686.html
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B9%8C
http://romjankn.blogspot.com/2014/06/blog-post_8.html
http://oknation.nationtv.tv/blog/yutthawinai/2010/05/24/entry-1
http://www.happyreading.in.th/article/detail.php?id=681
https://www.gotoknow.org/posts/405279
http://www.vcharkarn.com/vcafe/211907
หนังสือ "คนเจ้าบทเจ้ากลอน" โดย อ.ประจักษ์
..................................................
บางครั้งผู้มีอำนาจในมือ ก็ลืมตัว ตัดสินผู้อื่นหรือกระทำการตามใจตนอย่างไม่เป็นธรรม
จนลืมนึกถึง "กฎแห่งกรรม"
อนุสรณ์ศรีปราชญ์ - เอกชัย ศรีวิชัย
https://www.youtube.com/watch?v=KfGwvtuOBP4
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม...มีแต่เสียง 6/12/2017 (ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน...)
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องเพลงและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์อาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง ฯ
หลายๆ คนคงคุ้นกับโคลงบทนี้ วันนี้มีเรื่องของ "ศรีปราชญ์" มานำเสนอค่ะ
เรื่องศรีปราชญ์นี้ เอกสารบางแห่งก็ว่าไม่มีตัวตนจริง เป็นเหมือนเรื่องเล่า บ้างก็ว่ามีจริง
ตรงนี้ก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ค้นคว้ากันไป เราก็เพียงรู้จักไว้เป็นเกร็ดตามวรรณกรรมที่เขียนไว้ค่ะ
ตำนานศรีปราชญ์ ยอดกวีเอก สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สันนิษฐานว่า ศรีปราชญ์ คงจะเกิดในปี พ.ศ. 2196 หรือ 3 ปี ก่อนที่สมเด็จพระนารายณ์เสด็จขึ้นครองราชย์
บิดาของศรีปราชญ์คือ "พระโหราธิบดี" รับราชการในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
พระโหราธิบดีเชี่ยวชาญด้านโคลงกลอนและการพยากรณ์
ครั้งหนึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งโคลงบทหนึ่ง ว่า...
อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย ลอบกล้ำ
แล้วก็ทรงติดขัด จึงพระราชทานให้พระโหราธิบดี (บิดาของศรีปราชญ์) ไปแต่งต่อ ท่านก็ยังแต่งไม่ได้
พอนำกลับไปที่บ้าน ศรีบุตรชายวัย 7 ขวบ (บางตำราว่า 9 ขวบ) ได้มาเห็นกระดานชนวนเข้าจึงแต่งต่อว่า...
อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จักกราย ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อเรียมสงวน
ความหมายของโคลงบทนี้ที่เจ้าศรีแต่งต่อมีอยู่ว่า
“คงไม่มีผู้ใดในแผ่นดินนี้ที่จะอาจสามารถเข้าไป ย่างกรายนางได้ง่าย
และจะบังอาจไปทำให้แก้มของนวลนางอันเป็นที่รักและหวงแหนต้องชอกช้ำไปได้”
เด็กชายศรีแต่งโคลงสองบทสุดท้ายได้อย่างไพเราะ
เมื่อพระโหราธิบดีนำโคลงบทนี้ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนารายณ์ ปรากฏว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก
เมื่อรู้ว่าผู้แต่งเป็นลูกชาย อายุยังน้อย จึงทรงโปรดให้นำตัว "ศรี" มารับราชการ
บิดาศรีปราชญ์รู้นิสัยลูกชายและเคยทำนายดวงชะตาลูกชายก็พบว่า ศรีอายุจะสั้นด้วยต้องอาญา
จึงได้หาทางประวิงเวลาเรื่อยมา จนกระทั่งศรีอายุ 15 ปี ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงพาตัวมาเข้ารับราชการ
แต่ได้ขอพระราชทานคำสัญญาจากสมเด็จพระนารายณ์ 1 ข้อ คือ
"หากกาลต่อไปภายหน้า ถ้ามันกระทำความผิดใดๆ ที่ไม่ใช่ความผิดต่อราชบัลลังก์ และมีโทษถึงตาย
ก็ขอได้โปรดงดโทษตายนั้นเสีย ขอเพียงให้เนรเทศให้พ้นไปจากเมือง อย่าให้ต้องถึงกับประหารชีวิต"
สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงพระราชทานสัญญานั้น
ผลงานประจักษ์ ได้เป็นศรีปราชญ์
เมื่อเจ้าศรีเข้าถวายตัวรับราชการแล้ว ก็อยู่ในตำแหน่งมหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ตามเสด็จไปทุกหนทุกแห่ง
ครั้งหนึ่งมีการประชันความสามารถกัน "ศรี" ได้เจรจาโต้ตอบกับพระยาแสนหลวงเจ้าเมืองเชียงใหม่ดังนี้
พระยาแสนหลวง : รังศรีพระเจ้าฮื่อ ปางใด
ศรีปราชญ์ : ฮื่อเมื่อเสด็จไป ป่าแก้ว
พระยาแสนหลวง : รังศรีบ่สดใส สักหยาด
ศรีปราชญ์ : ดำแต่นอกในแผ้ว ผ่องเนื้อนพคุณ
สมเด็จพระนารายณ์จึงทรงให้บำเหน็จด้วยการพระราชทานพระธำมรงค์ให้และตรัสว่า
“เจ้าศรี เจ้าจงเป็นศรีปราชญ์ ณ บัดนี้เถิด”
แต่บางตำราก็บอกว่าได้เป็นศรีปราชญ์ตอนที่สมเด็จพระนารายณ์เดินทางไปประพาสยังป่าแก้ว
พระยารามเดโชโดนลิงอุจจาระลงศีรษะบรรดาทหารต่างๆ ก็หัวเราะ
สมเด็จพระนารายณ์ที่บรรทมอยู่จึงตื่นขึ้นแล้วตรัสถามอำมาตย์แต่ไม่มีใครกล้ากราบบังคมทูล
ฝ่ายเจ้าศรีรับใช้มานานจนทราบพระราชอัธยาศัยจึงกราบบังคมทูลด้วยคำคล้องจองว่า
"พยัคฆะ ขอเดชะ วานระ ถ่ายอุจจาระ รดศีรษะ พระยารามเดโช"
สมเด็จพระนารายณ์พอพระทัยเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้พระยารามเดโชเป็นอย่างมาก
สมเด็จพระนารายณ์ถึงกับตรัสว่า "ศรีเอ๋ย เจ้าจงเป็นศรีปราชญ์ตั้งแต่บัดนี้เถิด"
มีเรื่องเล่าอีกว่า ครั้งหนึ่งศรีปราชญ์แต่งโคลงกระทู้แล้วได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เมื่อเดินกลับออกมานายประตูก็ทักทายศรีปราชญ์เป็นโคลง ส่วนศรีปราชญ์ก็ตอบโต้เป็นโคลงดังนี้
นายประตู แหวนนี้ท่านได้แต่ ใดมา
ศรีปราชญ์ เจ้าพิภพโลกา ท่านให้
นายประตู ทำชอบสิ่งใดนา วานบอก
ศรีปราชญ์ เราแต่งโคลงถวายไท้ ท่านให้รางวัล
ตรงนี้เองเคยอ่านเจอในหนังสือ "คนเจ้าบทเจ้ากลอน" ของ อ.ประจักษ์
เป็นเรื่องขำๆ ค่ะ ว่ามีการไปแปลงโคลงกันเป็นแบบนี้
นักเรียนชาย 1 แหวนนี้ท่านได้แต่ ใดมา
นักเรียนชาย 2 นักเรียนสายปัญญา หล่อนให้
นักเรียนชาย 1 ทำชอบสิ่งใดนา วานบอก
นักเรียนชาย 2 ข้าย่ำต๊อกตามเธอไซร้ หล่อนให้รางวัล
ต่อๆ เรื่องศรีปราชญ์
ด้วยนิสัยเจ้าชู้ตามอารมณ์ของกวี บวกกับความคึกคะนอง และถือตัวว่าเป็นคนโปรดของพระนารายณ์
จึงทำให้ศรีปราชญ์ต้องโทษถึงกับติดคุกหลายครั้ง ด้วยมักไปทำรุ่มร่ามแต่งโคลงเกี้ยวพาราสีบรรดาสาวใช้ในวัง
มีอยู่ครั้งหนึ่งศรีปราชญ์อาจกล้าถึงขั้นไปเกี้ยวพาราสีพระสนมเอกคือท้าวศรีจุฬาลักษณ์เข้าให้
ในคืนวันลอยกระทงศรีปราชญ์ได้ดื่มสุราแล้วเมาจากนั้นก็เดินไปข้างๆ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์เพราะฤทธิ์สุรา
ท้าวศรีฯ เห็นศรีปราชญ์มายืนข้างๆก็ไม่พอพระทัยจึงว่าศรีปราชญ์เป็นโคลงว่า
หะหายกระต่ายเต้น ชมจันทร์
มันบ่เจียมตัวมัน ต่ำต้อย
นกยูงหากกระสัน ถึงเมฆ
มันบ่เจียมตัวน้อย ต่ำต้อยเดียรฉาน ฯ
ศรีปราชญ์ได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าพระสนมเอกได้ต่อว่าตนจึงย้อนไปเป็นโคลงว่า
หะหายกระต่ายเต้น ชมแข
สูงส่งสุดตาแล สู่ฟ้า
ระดูฤดีแด สัตว์สู่ กันนา
อย่าว่าเราเจ้าข้า อยู่พื้นเดียวกัน ฯ
พระสนมไปฟ้องสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์กริ้วมาก จึงลงโทษศรีปราชญ์
ต่อมาก็มีเหตุกระทบกระทั่งอีก ศรีปราชญ์ไปทำโคลนกระเด็นถูกพระสนมเอก
พระองค์จึงทรงเนรเทศศรีปราชญ์ไปเมืองนครศรีธรรมราช
โคลงบทสุดท้าย
ด้วยความเป็นอัจฉริยะของศรีปราชญ์นี้เองที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชโปรดปรานเขา
ก็มีคนหมั่นไส้และเคืองแค้นศรีปราชญ์ จึงได้ใส่ร้ายศรีปราชญ์ว่าลักลอบเป็นชู้กับภริยาของพระยานคร
พระยานครหลงเชื่อจึงสั่งให้นำตัวศรีปราชญ์ไปประหารชีวิต
ศรีปราชญ์ประท้วงโทษประหารชีวิตแต่ท่านเจ้าเมืองไม่ฟัง
ซึ่งปัจจุบันเชื่อกันว่าสถานที่ใช้ล้างดาบที่ใช้ประหารชีวิตศรีปราชญ์นั้น ตั้งอยู่ภายในโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช
จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกว่า "สระล้างดาบศรีปราชญ์"
และก่อนที่เพชฌฆาตจะลงดาบประหารศรีปราชญ์ได้ขออนุญาตเขียนโคลงบทสุดท้ายไว้กับพื้นธรณีว่า
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์อาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง ฯ
ในขณะที่ถูกประหารนั้นศรีปราชญ์มีอายุประมาณ 30 หรือ 35 ปี
และหลังจากที่ศรีปราชญ์ตาย อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งโคลงกลอนติดขัด
หาคนแต่งต่อให้ถูกพระราชหฤทัยไม่ได้ ก็ทรงระลึกถึงศรีปราชญ์ จึงตรัสสั่งให้มีหนังสือเรียกตัวกลับ
เมื่อพระองค์ทรงทราบข่าวว่า ตอนนี้ศรีปราชญ์ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ทรงพระพิโรธ ตรัสว่า
“อ้ายพระยานครศรีฯ มันถือดีอย่างไร ที่บังอาจสั่งประหารคนในปกครองของกูโดยไม่ได้รับอนุญาต
ความผิดของอ้ายศรีนั้น ขนาดมันล่วงเกินกูในทำนองเดียวกัน กูยังไว้ชีวิตมันเลย
ไม่ได้การไอ้คนพรรค์นี้ เอาไว้ไม่ได้”
ว่าแล้วก็ตรัสสั่งให้นำเจ้าพระยานครศรีฯ ไปประหารชีวิต ด้วยดาบเล่มเดียวกันกับที่ประหารศรีปราชญ์นั่นเอง
ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ
https://talk.mthai.com/inbox/361686.html
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B9%8C
http://romjankn.blogspot.com/2014/06/blog-post_8.html
http://oknation.nationtv.tv/blog/yutthawinai/2010/05/24/entry-1
http://www.happyreading.in.th/article/detail.php?id=681
https://www.gotoknow.org/posts/405279
http://www.vcharkarn.com/vcafe/211907
หนังสือ "คนเจ้าบทเจ้ากลอน" โดย อ.ประจักษ์
..................................................
บางครั้งผู้มีอำนาจในมือ ก็ลืมตัว ตัดสินผู้อื่นหรือกระทำการตามใจตนอย่างไม่เป็นธรรม
จนลืมนึกถึง "กฎแห่งกรรม"
อนุสรณ์ศรีปราชญ์ - เอกชัย ศรีวิชัย
https://www.youtube.com/watch?v=KfGwvtuOBP4