ป.ล. เป็นครั้งแรกที่ถ่ายภาพวิว อย่าว่ากันนะครับ กะว่าจะเขียนไว้เป็นเหมือนไดอารี่ออนไลน์ #ก็ถนัดถ่ายportraitมากกว่านี่นา
#แต่ก็ไม่เก่งสักที
แล้วผมก็ขับรถออกไป
ความว้าวุ่นที่ก่อเกิดขึ้นในใจ ความเศร้าหมอง ความกดดัน...
แล้วจู่ๆผมก็คิดขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้ 5 ธค เป็นวันหยุด... หลังจากถามพี่ที่ทำงานด้วยกันว่าแถวนี้มีอะไรน่าเที่ยวแบบ one day trip บ้าง
"ภูห้วยอีสัน" ก็วิ่งขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่ง
รู้ตัวอีกทีก็ขับรถออกจากตัวเมืองอุดร มุ่งหน้าจังหวัดหนองคาย เป้าหมายอยู่ที่ เขาเคียงโขงโฮมสเตย์
หาข้อมูลในเฟซบุ๊คแล้วโทรไป เป็นที่พักแบบกางเต้นท์ บรรยากาศระเบียงริมผา ใจผมก็ตุ้มๆต่อมๆว่าเต้นท์จะว่างไหม เพราะอากาศที่หนาว ทำให้ผมมั่นใจว่าน่าจะหาที่พักได้ยากหน่อย... โขคดีที่ยังมีเหลือ
แม้จะซ่อนตัวอยู่ในความมืด แต่ผมมั่นใจว่าเมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับพื้นโลกในวันรุ่งขึ้น สองข้างทางที่ผมขับผ่านต้องงดงามอย่างไม่ธรรมดาแน่
....ขับเลยป้ายไปหน่อย อากาศเย็น 21 องศาเซลเซียสในตอนนั้นทำให้ผมอินกับความสงัดของป่าข้างทางด้านซ้าย กับเสียงน้ำโขงที่ไหลรินอยู่ด้านขวา พระจันทร์ดวงโตสาดแสง ขับย้อนกลับมาที่ที่พัก
เอาหละ เข้าที่พักกันดีกว่า
นี่เต้นท์คนอื่น นั่งสักพัก เจ้าของโฮมสเตย์ก็แวะมาทักทาย ไม่ได้ถ่ายรูปพี่เค้าเอาไว้ พี่เค้าใจดี ดูเป็นคนดุๆหน่อย แต่จริงๆแล้วใจดีนะ
ตอนแรกผมไปถึงแล้วหาคนที่ติดต่อเพื่อเข้าพักไม่เจอ เขาให้ผมยืนรอที่นั่นแล้วขับรถมอเตอร์ไซค์มาหาผมเลย แถมดุลูกน้องที่ไม่ออกมาต้อนรับผม ซึ่งจริงๆแล้วน้องเค้ามาทักผมแล้วรอบนึงแต่ยังไม่ทันได้คุยรายละเอียดการเข้าพักกัน
นอกจากนั้นยังใจดีให้ผมยืมมอเตอร์ไซค์ไปซื้อของ....โดยที่ไม่ถามผมว่าผมขับมอเตอร์ไซค์เป็นมั้ย (ดีนะมีบุญเก่า คือเคยหัดขับเมื่อนานมาก ปกติขับแต่รถยนต์)
รูปข้างบนนี่เต้นท์ผม
แถวนี้มีร้านหมูกระทะ บริการส่งถึงที่ ชุดเล็ก 170 ชุดใหญ่ 200 ผมสงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะมีคนที่สั่งชุดเล็กมาทานบ้างหรือปล่าว
มีรูปที่พักตอนเช้าของวันถัดไปมาให้ชมนิดหน่อยนะครับ
พี่เจ้าของโฮมสเตย์นัดหมายว่าให้มารอขึ้นรถอีแต๊กเพื่อขึ้นสู่จุดชมวิวภูห้วยอีสันตอน 0500 - 0530 ถ้าตื่นมาหลังนั้นไม่เจอรถให้ไปรอขึ้นที่จุดรวมพล ซึ่งห่างจากที่พักเราไปแค่ 300 เมตร สะดวกสบายมากๆ
หลังจากร่ำน้ำยาสรรพรสแล้ว ผมก็เข้านอน และตื่นเช้าขึ้นมาตอน 0445 เพื่อมาขึ้นเจ้านี่
ค่าบริการเมื่อวันที่ 5 ธค 2560 คือคนละ 60 บาท รวมทั้งขาไปและกลับแล้ว ขากลับจะเลือกขึ้นคันไหนก็ได้ เพราะรถจะมาจอดรวมกันที่จุดรวมพล โชคดีที่โฮมสเตย์ที่ผมพักเป็นทางผ่านพอดี ขึ้นข้างหน้าที่พัก ลงก็หน้าที่พัก แสนสะดวก
นั่งรถอีแต๊กประมาณ 30 นาทีก็ถึงจุดชมวิว
จะอกหักไหมหนอ เช้านี้ถึงจะหนาว 17 องศาเซลเซียส แต่ผิวหนังผมมันบอกได้ว่าอากาศแห้งสุดๆ ต้องรอลุ้น
ข้างบนมีข้าวจี่ กล้วยปิ้ง มันเผา กาแฟและโอวัลตินขาย
แล้วเราก็นั่งรอ...รอหมอก.....และรอแสงแรกของวัน
.
.
.
..
..
..
...
...
...
....
....
.... อกหัก
ไม่มีวี่แววของหมอก ผมได้แต่บอกตัวเองว่า เอาน่า เราอยู่แค่อุดร คนมาไกลกว่าเราอกหักก็เยอะ
อย่างน้อยได้เห็นสายน้ำที่ไหลผ่านหลายประเทศ สายน้ำที่แบ่งเขตแดนและเป็นต้นตอของสรรพชีวิต สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าและให้หน้าได้ปะทะลมเย็นๆสะอาดๆบนภูเขาบ้าง
ได้ภาพนี้มาครับ
นี่แหละ วิวจากภูห้วยอีสันในวันที่ไร้หมอก ยังสง่างามไม่แพ้วันที่หมอกหนา นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้ทริปนี้ผมรู้สึก"คุ้ม"ที่ตัดสินใจมา ติดตามกันต่อไปนะครับ
ผมรอสักพัก รอจนคิดว่าเธอคงไม่มาแน่แล้ว จริงๆอยากเก็บเธอไว้ในความทรงจำ แต่เมื่อเธอไม่โผล่ใบหน้าขาวนวลมาให้เห็น เราคงต้องยอมแพ้...
ในขณะที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถอีแต๊ก ก็มีเสียงตะโกนจากด้านหลังว่า "พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว!!!"
แล้วนายก็โผล่มา เพื่อนรักของฉัน นานๆฉันจะเห็นตอนนายลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจอย่างนี้ เพราะปกติฉันตื่นทีหลังนายตลอด
นายคงอายที่ฉันจ้อง ไม่นานก็หลบหายไปใต้ผ้าห่มสีครามครึ้ม
เอาหละ ฉันคงต้องลงจริงๆเสียที ............................
ระหว่างลง.......ให้ตายสิ.......ดันคิดเรื่องที่อุตส่าห์หนีมาตั้งไกล
สิ่งที่ทำร้ายเราที่สุดคือความคิดของเรา
ไม่เอา ไม่ดาวน์สิ ไปหาอะไรดื่มร้อนๆดีกว่า
ร้านกาแฟเสมอใจ อยู่ติดริมโขง ห่างที่พักราวๆ 200 เมตรเองมั้ง ผมสั่งชาเขียวร้อน พอได้มาก็รู้สึกว่าคุ้มราคา 40 บาทจริงๆ ฟองนมนุ่มมากกกกกกกกกกก รสขมและหวานกำลังละมุน นี่ขนาดปกติไม่ค่อยดื่มชาเขียวนะ
ดื่มเสร็จแล้ว แต่เวลาเหลืออีกเกินครึ่งวัน ไปไหนดี อยากไปในที่ๆเราจะไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง..
ก่อนออกมาน้องที่โฮมสเตย์พูดมาคำนึงว่า "ไปในที่ๆยังไม่เคยไปสิครับ"
ที่ต่อมาของวันนี้คงเป็น - ถ้ำทองแดงโบราณ -
อยู่ห่างจากโฮมสเตย์ไม่มากนัก ขับรถไปแพลบเดียว เพลินๆ ก็ถึงซะแล้ว ถ้ำอยู่ในบริเวณวัด ถ่ายภาพยากมาก ไม่เก่ง แถมยังไม่มีขาตั้งกล้องด้วย บางรูปก็ใช้มือถือถ่าย
อยู่บนถ้ำมองออกไปเห็นวิวแม่น้ำโขงอย่างในภาพครับ
ที่ๆยังไม่เคยไป
ขับเลียบริมโขงยาวๆไปครับ และ...สิ่งนี้แหละครับ ที่ทำให้ทริปนี้ของผมคุ้มค่า
บรรยากาศสองข้างทางคงได้แค่บรรยายเท่านั้น รูปภาพที่ถ่ายมาก็เก็บมาแบบลวกๆ
แต่กลิ่นอากาศเย็น ป่าและหน้าผาซับซ้อนทางซ้าย แม่นำโขงและ "พันโขดแสนไคร้" แกรนแคนย่อนกลางแม่น้ำโขงด้านขวา ถนนที่ลับหายไปหลังพุ่มไม้คือสิ่งที่ผมโหยหามาตลอด
สายลมและแสงแดดวันนี้เป็นใจมาก เกือบเที่ยงแล้วผมยังไม่ต้องเปิดแอร์ในรถเลย เปิดกระจกขับรถสดชื่นมาก ฟินนนนน คุ้มจริงๆที่มาทางนี้
แล้วก็มาถึงเชียงคาน ขอไม่บรรยายมากสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อนี้นะครับ
น้องเหมียว เห็นแล้วอยากจกพุงเล่น
ส่วนแก้งค์นี้สายตาอันตราย
อยู่ถึงบ่ายสาม ก็ตัดสินใจขับรถกลับดีกว่า จริงๆอยากเห็นตอนที่เชียงคานตื่นจากแอบงีบหลับตอนกลางวัน แสงสีและบรรยากาศคงสวยงามมาก แต่เอาไว้มาคราวหน้า หวังว่าคงได้พาใครสักคนมาด้วย แต่.....ครั้งนี้สกิลการอยู่คนเดียวของผมก็อัพถึงเลเวล 100 เรียบร้อยแล้ว ยืนยันได้จากการที่เจ้าของโฮมสเตย์ย้ำกับผมถึงสองครั้งว่าเต้นท์มันใหญ่ไปสำหรับคนเดียว และยังเรียกผมว่าหนุ่มโฉดอีกในตอนเช้า แต่ผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ...มั้งนะ
...มุ่งมั่นสู่เลเวล 101 ต่อไป
...เตง เข้าไปยืนตรงนั้นสิ ระหว่างเถาดอกไม้ เดี๋ยวเค้าถ่ายรูปให้....
ทะเลหมอก ภูห้วยอีสัน แบบไม่ได้วางแผนอะไรเลย
#แต่ก็ไม่เก่งสักที
ความว้าวุ่นที่ก่อเกิดขึ้นในใจ ความเศร้าหมอง ความกดดัน...
แล้วจู่ๆผมก็คิดขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้ 5 ธค เป็นวันหยุด... หลังจากถามพี่ที่ทำงานด้วยกันว่าแถวนี้มีอะไรน่าเที่ยวแบบ one day trip บ้าง
"ภูห้วยอีสัน" ก็วิ่งขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่ง
รู้ตัวอีกทีก็ขับรถออกจากตัวเมืองอุดร มุ่งหน้าจังหวัดหนองคาย เป้าหมายอยู่ที่ เขาเคียงโขงโฮมสเตย์
หาข้อมูลในเฟซบุ๊คแล้วโทรไป เป็นที่พักแบบกางเต้นท์ บรรยากาศระเบียงริมผา ใจผมก็ตุ้มๆต่อมๆว่าเต้นท์จะว่างไหม เพราะอากาศที่หนาว ทำให้ผมมั่นใจว่าน่าจะหาที่พักได้ยากหน่อย... โขคดีที่ยังมีเหลือ
แม้จะซ่อนตัวอยู่ในความมืด แต่ผมมั่นใจว่าเมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับพื้นโลกในวันรุ่งขึ้น สองข้างทางที่ผมขับผ่านต้องงดงามอย่างไม่ธรรมดาแน่
....ขับเลยป้ายไปหน่อย อากาศเย็น 21 องศาเซลเซียสในตอนนั้นทำให้ผมอินกับความสงัดของป่าข้างทางด้านซ้าย กับเสียงน้ำโขงที่ไหลรินอยู่ด้านขวา พระจันทร์ดวงโตสาดแสง ขับย้อนกลับมาที่ที่พัก
เอาหละ เข้าที่พักกันดีกว่า
นี่เต้นท์คนอื่น นั่งสักพัก เจ้าของโฮมสเตย์ก็แวะมาทักทาย ไม่ได้ถ่ายรูปพี่เค้าเอาไว้ พี่เค้าใจดี ดูเป็นคนดุๆหน่อย แต่จริงๆแล้วใจดีนะ
ตอนแรกผมไปถึงแล้วหาคนที่ติดต่อเพื่อเข้าพักไม่เจอ เขาให้ผมยืนรอที่นั่นแล้วขับรถมอเตอร์ไซค์มาหาผมเลย แถมดุลูกน้องที่ไม่ออกมาต้อนรับผม ซึ่งจริงๆแล้วน้องเค้ามาทักผมแล้วรอบนึงแต่ยังไม่ทันได้คุยรายละเอียดการเข้าพักกัน
นอกจากนั้นยังใจดีให้ผมยืมมอเตอร์ไซค์ไปซื้อของ....โดยที่ไม่ถามผมว่าผมขับมอเตอร์ไซค์เป็นมั้ย (ดีนะมีบุญเก่า คือเคยหัดขับเมื่อนานมาก ปกติขับแต่รถยนต์)
รูปข้างบนนี่เต้นท์ผม
แถวนี้มีร้านหมูกระทะ บริการส่งถึงที่ ชุดเล็ก 170 ชุดใหญ่ 200 ผมสงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะมีคนที่สั่งชุดเล็กมาทานบ้างหรือปล่าว
มีรูปที่พักตอนเช้าของวันถัดไปมาให้ชมนิดหน่อยนะครับ
พี่เจ้าของโฮมสเตย์นัดหมายว่าให้มารอขึ้นรถอีแต๊กเพื่อขึ้นสู่จุดชมวิวภูห้วยอีสันตอน 0500 - 0530 ถ้าตื่นมาหลังนั้นไม่เจอรถให้ไปรอขึ้นที่จุดรวมพล ซึ่งห่างจากที่พักเราไปแค่ 300 เมตร สะดวกสบายมากๆ
หลังจากร่ำน้ำยาสรรพรสแล้ว ผมก็เข้านอน และตื่นเช้าขึ้นมาตอน 0445 เพื่อมาขึ้นเจ้านี่
ค่าบริการเมื่อวันที่ 5 ธค 2560 คือคนละ 60 บาท รวมทั้งขาไปและกลับแล้ว ขากลับจะเลือกขึ้นคันไหนก็ได้ เพราะรถจะมาจอดรวมกันที่จุดรวมพล โชคดีที่โฮมสเตย์ที่ผมพักเป็นทางผ่านพอดี ขึ้นข้างหน้าที่พัก ลงก็หน้าที่พัก แสนสะดวก
นั่งรถอีแต๊กประมาณ 30 นาทีก็ถึงจุดชมวิว
จะอกหักไหมหนอ เช้านี้ถึงจะหนาว 17 องศาเซลเซียส แต่ผิวหนังผมมันบอกได้ว่าอากาศแห้งสุดๆ ต้องรอลุ้น
ข้างบนมีข้าวจี่ กล้วยปิ้ง มันเผา กาแฟและโอวัลตินขาย
แล้วเราก็นั่งรอ...รอหมอก.....และรอแสงแรกของวัน
.
.
.
..
..
..
...
...
...
....
....
.... อกหัก
ไม่มีวี่แววของหมอก ผมได้แต่บอกตัวเองว่า เอาน่า เราอยู่แค่อุดร คนมาไกลกว่าเราอกหักก็เยอะ
อย่างน้อยได้เห็นสายน้ำที่ไหลผ่านหลายประเทศ สายน้ำที่แบ่งเขตแดนและเป็นต้นตอของสรรพชีวิต สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าและให้หน้าได้ปะทะลมเย็นๆสะอาดๆบนภูเขาบ้าง
ได้ภาพนี้มาครับ นี่แหละ วิวจากภูห้วยอีสันในวันที่ไร้หมอก ยังสง่างามไม่แพ้วันที่หมอกหนา นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้ทริปนี้ผมรู้สึก"คุ้ม"ที่ตัดสินใจมา ติดตามกันต่อไปนะครับ
ผมรอสักพัก รอจนคิดว่าเธอคงไม่มาแน่แล้ว จริงๆอยากเก็บเธอไว้ในความทรงจำ แต่เมื่อเธอไม่โผล่ใบหน้าขาวนวลมาให้เห็น เราคงต้องยอมแพ้...
ในขณะที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถอีแต๊ก ก็มีเสียงตะโกนจากด้านหลังว่า "พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว!!!"
แล้วนายก็โผล่มา เพื่อนรักของฉัน นานๆฉันจะเห็นตอนนายลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจอย่างนี้ เพราะปกติฉันตื่นทีหลังนายตลอด
นายคงอายที่ฉันจ้อง ไม่นานก็หลบหายไปใต้ผ้าห่มสีครามครึ้ม
เอาหละ ฉันคงต้องลงจริงๆเสียที ............................
ระหว่างลง.......ให้ตายสิ.......ดันคิดเรื่องที่อุตส่าห์หนีมาตั้งไกล
ไม่เอา ไม่ดาวน์สิ ไปหาอะไรดื่มร้อนๆดีกว่า
ร้านกาแฟเสมอใจ อยู่ติดริมโขง ห่างที่พักราวๆ 200 เมตรเองมั้ง ผมสั่งชาเขียวร้อน พอได้มาก็รู้สึกว่าคุ้มราคา 40 บาทจริงๆ ฟองนมนุ่มมากกกกกกกกกกก รสขมและหวานกำลังละมุน นี่ขนาดปกติไม่ค่อยดื่มชาเขียวนะ
ดื่มเสร็จแล้ว แต่เวลาเหลืออีกเกินครึ่งวัน ไปไหนดี อยากไปในที่ๆเราจะไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง..
ก่อนออกมาน้องที่โฮมสเตย์พูดมาคำนึงว่า "ไปในที่ๆยังไม่เคยไปสิครับ"
ที่ต่อมาของวันนี้คงเป็น - ถ้ำทองแดงโบราณ -
อยู่ห่างจากโฮมสเตย์ไม่มากนัก ขับรถไปแพลบเดียว เพลินๆ ก็ถึงซะแล้ว ถ้ำอยู่ในบริเวณวัด ถ่ายภาพยากมาก ไม่เก่ง แถมยังไม่มีขาตั้งกล้องด้วย บางรูปก็ใช้มือถือถ่าย
อยู่บนถ้ำมองออกไปเห็นวิวแม่น้ำโขงอย่างในภาพครับ
ขับเลียบริมโขงยาวๆไปครับ และ...สิ่งนี้แหละครับ ที่ทำให้ทริปนี้ของผมคุ้มค่า
บรรยากาศสองข้างทางคงได้แค่บรรยายเท่านั้น รูปภาพที่ถ่ายมาก็เก็บมาแบบลวกๆ
แต่กลิ่นอากาศเย็น ป่าและหน้าผาซับซ้อนทางซ้าย แม่นำโขงและ "พันโขดแสนไคร้" แกรนแคนย่อนกลางแม่น้ำโขงด้านขวา ถนนที่ลับหายไปหลังพุ่มไม้คือสิ่งที่ผมโหยหามาตลอด
สายลมและแสงแดดวันนี้เป็นใจมาก เกือบเที่ยงแล้วผมยังไม่ต้องเปิดแอร์ในรถเลย เปิดกระจกขับรถสดชื่นมาก ฟินนนนน คุ้มจริงๆที่มาทางนี้
แล้วก็มาถึงเชียงคาน ขอไม่บรรยายมากสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อนี้นะครับ
น้องเหมียว เห็นแล้วอยากจกพุงเล่น
ส่วนแก้งค์นี้สายตาอันตราย
อยู่ถึงบ่ายสาม ก็ตัดสินใจขับรถกลับดีกว่า จริงๆอยากเห็นตอนที่เชียงคานตื่นจากแอบงีบหลับตอนกลางวัน แสงสีและบรรยากาศคงสวยงามมาก แต่เอาไว้มาคราวหน้า หวังว่าคงได้พาใครสักคนมาด้วย แต่.....ครั้งนี้สกิลการอยู่คนเดียวของผมก็อัพถึงเลเวล 100 เรียบร้อยแล้ว ยืนยันได้จากการที่เจ้าของโฮมสเตย์ย้ำกับผมถึงสองครั้งว่าเต้นท์มันใหญ่ไปสำหรับคนเดียว และยังเรียกผมว่าหนุ่มโฉดอีกในตอนเช้า แต่ผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ...มั้งนะ
...มุ่งมั่นสู่เลเวล 101 ต่อไป