วิกฤติวัยกลางคนนั้น เป็นสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมาบ้าง ตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น จากผู้คนที่เดินไปถึง "สถานี" แห่งนั้นก่อนผม
แรกๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร ได้ยินเสียงร่ำลือเล่าอ้างชวนวังเวง ว่าเป็นเรื่องของการไม่สมดุลของฮอร์โมนบ้าง บ้างก็ว่าสังขารบ้าง ต่างต่างนานา ผมในวัยนั้นฟังแล้วก็ได้แต่นึกขำๆๆ ไอ้เราหรือก็พึ่งจะเสียบบัตรเข้าสถานีหมอชิต ได้ยินแว่วๆ ว่าแถวๆ อโศก-สุขุมวิท คนเบียดเสียดกันน่าดู ก็ไม่ได้หนักใจอะไรหรอกครับ พึ่งจะได้นั่งที่ต้นสถานีสบายๆ อยู่แล้ว
จนวันนี้ได้เดินทางมาถึงสถานีอโศกเสียแล้ว ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่า อะไรเป็นสาเหตุแห่งวิกฤติที่ผู้คนเค้าร่ำลือกัน
โดยไม่ได้มีงานวิจัยใดๆ ผมออกจะเชื่อว่า นี่น่าจะเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผู้คนทั่งโลกมาตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเป็นต้นมาเลยด้วยซ้ำ และน่าจะมีแนวโน้มที่จะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ด้วยความคาดหวังบางอย่างของสังคม
ด้วยว่า วัยประมาณ 40 ปี นั้น เราจะเข้าไปอยู่ในช่วงรอยต่อหลายๆ เรื่องสำคัญในชีวิต เป็นวัยที่ผ่านการทำงานมาพอสมควร และได้เรียนรู้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ยากเย็นกว่าที่เคยวาดฝันไว้เมื่อวัยเยาว์ เราต่างก็ต้องทำงานอย่างหนักภายใต้ข้อจำกัดมากมาย แต่ครั้นจะทำงานหามรุ่งหามค่ำ แล้วไปต่อรองเอากับสังขารเหมือนสมัยวัยรุ่น ร่างกายก็เริ่มประท้วงเสียแล้ว
พอเลิกงานกลับมาบ้าน ครอบครัวใหม่ของตน พร้อมลูกกำลังเล็ก ก็ร้องกระจองอแงต้องดูแลประคบประหงม หันไปอีกด้าน บุพการีก็กำลังเดินทางเข้าสู่วัยร่วงโรย และต้องการการเอาใจใส่ ทว่าสภาพสังคมและหน้าที่การงานยุคใหม่ที่เรียกร้องจากผู้คนชนชั้นกลางโดยส่วนใหญ่ ที่มีลักษณะครอบครัวแบบแยกกันอยู่เป็นครอบครัวขนาดเล็ก ก็ไม่เปิดโอกาสให้เรามีเวลามากนักในการบริหารจัดการทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน ทำให้บางเรื่องจำเป็นต้องเสียสมดุลจริงๆ และสร้างความทุกข์และผิดบาปในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราคงเคยได้ยินได้ฟัง เรื่องที่ลูกหลานต้องปล่อยให้พ่อแม่ที่แก่ชรา ต้องดูแลตัวเอง หรือแม้กระทั่งกลับไปดูใจกันในช่วงเวลาสุดท้ายไม่ทัน นั่นย่อมสร้างความผิดบาปในใจอย่างยากจะลบเลือน
ในความเห็นของผม วัย 40 นี้ จึงน่าจะเป็นวัยที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดในชีวิตของมนุษย์ในสังคมยุคใหม่อย่างแน่นอน สถานการณ์แบบนี้นี่แหละครับ คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของวิกฤติวัยกลางคน ไอ้เรื่องฮอร์โมนขึ้นๆลงๆนี่ แค่น้ำจิ้มเท่านั้นแหละครับ...
ที่เขียนๆ มานี่ ไม่ใช่ว่าจะมีเคล็ดลับอะไรมาบอกหรอกนะครับ
ผมเองก็สะบักสะบอมไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ต้องใช้ยาช่วยอะไร โชคดีที่ได้ภรรยาน่ารัก เอาอกเอาใจเก่ง
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านในวัยนี้ครับ ก็ขอให้ปล่อยวาง ท่องคาถาอย่างที่เฮียชูวิทย์บอกไว้ก็ดีครับ "อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้" หายใจไว้นานๆ ครับ รักษาสุขภาพให้ดี อยู่มันให้ถึงอายุ 50 ปีแล้ว ถึงตอนนั้น" วิกฤติวัยกลางคน" จะคลี่คลายกลายมาเป็น "วิกฤติวัยชรา" แทน...อ่อ...ล้อเล่นนะครับ
ถึงตอนวัย 50 จริงๆ ปัจจัยหลายๆ อย่างก็คงจะคลี่คลาย ลูกๆ เริ่มโต ดูแลตัวเองได้ ก็น่าจะสบายขึ้น หน้าที่การงาน ถ้ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราวาดฝันไว้ในวัยรุ่น เราก็คงยอมรับได้มากขึ้นและค่อยๆ ปล่อยมันไป เอาให้พอหาเลี้ยงตัวเองและคนรอบข้างได้ แล้วหาความสุขกับชีวิตในเรื่องอื่นๆ กันดีกว่าครั
:::MidLife Crisis. : วิกฤตวัยกลางคน ปัญหาและสาเหตุ:::
แรกๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร ได้ยินเสียงร่ำลือเล่าอ้างชวนวังเวง ว่าเป็นเรื่องของการไม่สมดุลของฮอร์โมนบ้าง บ้างก็ว่าสังขารบ้าง ต่างต่างนานา ผมในวัยนั้นฟังแล้วก็ได้แต่นึกขำๆๆ ไอ้เราหรือก็พึ่งจะเสียบบัตรเข้าสถานีหมอชิต ได้ยินแว่วๆ ว่าแถวๆ อโศก-สุขุมวิท คนเบียดเสียดกันน่าดู ก็ไม่ได้หนักใจอะไรหรอกครับ พึ่งจะได้นั่งที่ต้นสถานีสบายๆ อยู่แล้ว
จนวันนี้ได้เดินทางมาถึงสถานีอโศกเสียแล้ว ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่า อะไรเป็นสาเหตุแห่งวิกฤติที่ผู้คนเค้าร่ำลือกัน
โดยไม่ได้มีงานวิจัยใดๆ ผมออกจะเชื่อว่า นี่น่าจะเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผู้คนทั่งโลกมาตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเป็นต้นมาเลยด้วยซ้ำ และน่าจะมีแนวโน้มที่จะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ด้วยความคาดหวังบางอย่างของสังคม
ด้วยว่า วัยประมาณ 40 ปี นั้น เราจะเข้าไปอยู่ในช่วงรอยต่อหลายๆ เรื่องสำคัญในชีวิต เป็นวัยที่ผ่านการทำงานมาพอสมควร และได้เรียนรู้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ยากเย็นกว่าที่เคยวาดฝันไว้เมื่อวัยเยาว์ เราต่างก็ต้องทำงานอย่างหนักภายใต้ข้อจำกัดมากมาย แต่ครั้นจะทำงานหามรุ่งหามค่ำ แล้วไปต่อรองเอากับสังขารเหมือนสมัยวัยรุ่น ร่างกายก็เริ่มประท้วงเสียแล้ว
พอเลิกงานกลับมาบ้าน ครอบครัวใหม่ของตน พร้อมลูกกำลังเล็ก ก็ร้องกระจองอแงต้องดูแลประคบประหงม หันไปอีกด้าน บุพการีก็กำลังเดินทางเข้าสู่วัยร่วงโรย และต้องการการเอาใจใส่ ทว่าสภาพสังคมและหน้าที่การงานยุคใหม่ที่เรียกร้องจากผู้คนชนชั้นกลางโดยส่วนใหญ่ ที่มีลักษณะครอบครัวแบบแยกกันอยู่เป็นครอบครัวขนาดเล็ก ก็ไม่เปิดโอกาสให้เรามีเวลามากนักในการบริหารจัดการทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน ทำให้บางเรื่องจำเป็นต้องเสียสมดุลจริงๆ และสร้างความทุกข์และผิดบาปในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราคงเคยได้ยินได้ฟัง เรื่องที่ลูกหลานต้องปล่อยให้พ่อแม่ที่แก่ชรา ต้องดูแลตัวเอง หรือแม้กระทั่งกลับไปดูใจกันในช่วงเวลาสุดท้ายไม่ทัน นั่นย่อมสร้างความผิดบาปในใจอย่างยากจะลบเลือน
ในความเห็นของผม วัย 40 นี้ จึงน่าจะเป็นวัยที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดในชีวิตของมนุษย์ในสังคมยุคใหม่อย่างแน่นอน สถานการณ์แบบนี้นี่แหละครับ คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของวิกฤติวัยกลางคน ไอ้เรื่องฮอร์โมนขึ้นๆลงๆนี่ แค่น้ำจิ้มเท่านั้นแหละครับ...
ที่เขียนๆ มานี่ ไม่ใช่ว่าจะมีเคล็ดลับอะไรมาบอกหรอกนะครับ
ผมเองก็สะบักสะบอมไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ต้องใช้ยาช่วยอะไร โชคดีที่ได้ภรรยาน่ารัก เอาอกเอาใจเก่ง
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านในวัยนี้ครับ ก็ขอให้ปล่อยวาง ท่องคาถาอย่างที่เฮียชูวิทย์บอกไว้ก็ดีครับ "อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้" หายใจไว้นานๆ ครับ รักษาสุขภาพให้ดี อยู่มันให้ถึงอายุ 50 ปีแล้ว ถึงตอนนั้น" วิกฤติวัยกลางคน" จะคลี่คลายกลายมาเป็น "วิกฤติวัยชรา" แทน...อ่อ...ล้อเล่นนะครับ
ถึงตอนวัย 50 จริงๆ ปัจจัยหลายๆ อย่างก็คงจะคลี่คลาย ลูกๆ เริ่มโต ดูแลตัวเองได้ ก็น่าจะสบายขึ้น หน้าที่การงาน ถ้ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราวาดฝันไว้ในวัยรุ่น เราก็คงยอมรับได้มากขึ้นและค่อยๆ ปล่อยมันไป เอาให้พอหาเลี้ยงตัวเองและคนรอบข้างได้ แล้วหาความสุขกับชีวิตในเรื่องอื่นๆ กันดีกว่าครั