ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ผมได้ออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว และผมก็เลือก ญี่ปุ่น อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเทศที่ผมชอบและฝันมานานว่าอยากไปมากๆ ครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 6 วัน ซึ่งจะไปโซนโตเกียว ฮาโกเน่ และ คาวากูชิโกะ ช่วงวันที่ 19-24 พ.ย. 60 ที่ผ่านมาครับ ทริปนี้เน้นเดินเที่ยว Backpack ถ่ายรูปมั่วๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้เน้นกินมากมาย
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เตรียมตัว
ตั๋วเครื่องบิน
รอบนี้ ผมจองกับ Air Asia X ทั้งไปและกลับ ซึ่งผมจองล่วงหน้าอยู่เกือบปี ช่วงที่มีโปร แต่ถ้าพวกสมาชิก Air Asia BIG หรือ Expedia AirAsiaGO นี่มักจะให้เราได้จองราคาโปรก่อน 1 วัน แต่มีเงื่อนไขต้องจองที่พักด้วยอย่างน้อย 1 คืน ซึ่งเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทีหลัง ดังนั้นก็ต้องรีบก่อน เพราะเดี๋ยวราคามันก็จะขึ้นเรื่อยๆ
ที่พัก ผมใช้จองผ่านพวก Agency อย่าง Expedia หรือ Booking.com ซึ่งก็ง่ายดีครับ และผมจะเลือกสถานีที่ใกล้กับสถานีรถไฟที่สุด เพราะจะได้ไม่ลากกระเป๋าไกล ครั้งนี้ผมเลือกเป็น Hostel ครับ เพราะไปคนเดียวและถูกดี แต่คราวหน้าผมกะจะลองจอง AirBnb บ้าง
SIM Card ผมไปคนเดียวเลยซื้อซิมอย่าง Sim2Fly ของ AIS หรือ Travel SIM ของ True แล้วเปิด Roaming เอาครับ เดี๋ยวนี้ราคาไม่แพงมาก สะดวกดีครับ เปิดใช้งานก่อนที่จะขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่น พอถึงที่นู่นก็เปิด Roaming เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ตั๋วรถไฟและรถบัส
ตั๋วรถไฟที่ซื้อล่วงหน้าจะมีแค่ KEISEI SKY LINER กับ TOKYO SUBWAY PASS 72 HRS. ซึ่งผมซื้อมาพร้อมกันจะมีส่วนลดราคาให้ด้วย แล้วจะได้คูปองเอาไปแล้วที่สนามบินอีกทีครับ ส่วนอีกอันคือรถบัส ผมจองแค่ขากลับจากคาวากูชิโกะกลับมาที่ชินจูกุแค่นั้น ซึ่งควรจะจองไว้ก่อนไม่งั้นไม่มีที่นั่งแน่นอนครับ ส่วนขาไปคาวากูชิโกะผมจะใช้ Pass ซึ่งต้องไปซื้อที่ญี่ปุนเท่านั้น
ตั๋วเข้า Tokyo Disney Resort ครั้งนี้ผมมีเวลาแค่ 1 วัน ดังนั้นต้องเลือกระหว่าง Tokyo Disney Land กับ Tokyo Disney Sea ซึ่งก็ลังแลอยู่นาน สุดท้ายก็เลือก Tokyo Disney Sea เพราะว่าประเทศอื่นๆ เขายังไม่มีสวนสนุกที่ติดกับทะเลแบบนี้เลยลองดูครับ ส่วน Disney Land เก็บไว้ก่อนนะ ครั้งหน้ามาใหม่จัดแน่นอน
ภาษา ถ้าอยู่โซนในเมืองคนญี่ปุ่นใช้ภาษาอังกฤษได้พอสมควรเลยนะครับ เท่าที่สัมผัสมา แต่อาจจะฟังสำเนียงยากหน่อย บางทีเขาให้อ่านโพยเป็นภาษาอังกฤษเลย กลัวเราฟังไม่เข้าใจ แต่ผมเองก็พอจะฟังพูดอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง ก็ทำให้อุปสรรคเรื่องการสื่อสาร หรือการอ่านป้ายบอกท่าต่างๆ ง่ายขึ้นมาหน่อย
และสุดท้าย แผนการเที่ยว อันนี้สำคัญมาก ผมจะเน้นเรื่องระยะเวลาและการเดินทางเป็นอย่างมาก ดังนั้นแผนที่เขียนไว้จะระบุเวลา กับวิธีการเดินทางค่อนข้างละเอียดมาก เพราะที่ญี่ปุ่น การเดินทางส่วนใหญ่จะเป็นรถไฟอยู่แล้ว ซึ่งมีหลายขบวนหลายสีหลายเส้นทางมาก การทำแผนละเอียดจะช่วยลดเวลาในการค้นหาเส้นทางเมื่อเรากำลังเดินทางได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว โดยเริ่มแรกเราอาจจะวางกรอบการเดินทางว่าจะไปไหนบ้างแล้วค่อยมาลงรายละเอียดอีกที แต่ว่าพอเอาจริงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสลับสับเปลี่ยนตามสถานะการณ์ด้วยนะครับ และที่สำคัญ เช็คพยากรณ์อากาศด้วยนะครับ ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างแม่นมาก จะได้ปรับเปลี่ยนแผนได้ทัน
Day 1 ออกเดินทางจากดอนเมือง-นาริตะ เข้าสูโตเกียว พักที่ชินจูกุ
Day 2 ออกเดินทางไป ฮาโกเน่ โอวาคุดานิ พักที่คาวากูชิโกะ
Day 3 ไปเจดีย์แดงชูเรตโต เที่ยวรอบๆ คาวากูชิโกะ กลับมาพักที่โตเกียว
Day 4 เที่ยวรอบๆ โตเกียว ซื้อของฝาก
Day 5 Tokyo Disney Sea
Day 6 เก็บตกรอบๆ โตเกียว เกาะโอไดบะ กลับกรุงเทพฯ
ส่วนอันนี้เป็นตัวอย่างการทำตารางการเดินทางครับ เดี๋ยวแบบเต็มๆ จะมาลงให้นะ เพราะเจอบางอันผิดอยู่
Day 1 Go Ahead To TOKYO
ไฟลท์นี้ออกเดินทางเวลา 10:45 ถึงที่นาริตะประมาณ 19:00 ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งก็ตรงเวลาอยู่นะครับ จากนั้นเดินออกไปยัง Terminal 2 Arrivals หรือผู้โดยสารขาเข้า ผ่าน ตม. ให้เรียบร้อย พอออกมาให้ลงบันไดเลื่อนมาครับ (ย้ำให้ลงมาก่อนครับ ซึ่งปกติเราเดินออกมาแล้วจะเจอ KEISEI เลยแต่ตรงนั้นแลกไม่ได้ครับ ต้องมาแลกชั้นล่าง ไม่งั้นเสียเวลาต่อคิวอีก) แล้วจะเจอที่ให้แลกตั๋ว KEISEI SKYLINER ซึ่งเราก็เอาคูปองที่ได้ซื้อมาเอามาแลกที่นี่ จะได้ตั๋วรถไฟ KEISEI มา และตั๋ว TOKYO SUBWAY มาพร้อมกัน (ตั๋ว Subway จะใช้ 3 วันหลัง) ตั๋วรถไฟจะระบุเวลาและที่นั่งให้เราเลย นั่งให้ตรงที่ของเราด้วยนะครับ และจะมีคูปองอีกใบนึง ให้มาสำหรับเอาไปแลกตั๋ว KEISEI ตอนขากลับ เก็บไว้อย่าให้หายนะ
จากนั้นลงที่สถานี Nippori เพื่อมาเปลี่ยนมานั่ง JR สาย Yamatone เพื่อจะไปที่ชินจูกุ เหตุผลที่เลือกชินจูกุเพราะรุ่งขึ้นจะต้องนั่งรถไฟจากที่นี่ต่อได้เลย จะได้ไม่เสียเวลา จากนั้นเดินออกมาจากสถานีประมาณ 500 เมตรเพื่อไปยังโรงแรม Shinjuku Kuyakusho-mae Capsule Hotel เปิด Google Map ตามเลยครับ เพราะเดินไปเองหลงแน่ๆ ถึงที่พักก็จัดการเช็คอินให้เรียบร้อยครับ
ห้องพักจะเป็นแบบแคปซูลนะครับ ดูเหมือนแคบ แต่ข้างในก็พอนอนได้ครับ มีปลั๊กไฟ ทีวีให้พร้อม
แต่ว่าห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมนะครับ รวมแบบว่ารวมจริงๆ ไม่มีผนังกั้นใดๆ นั่นหมายความว่า ต้องแก้หมด TT ผมเดินไปเดินมา ทำใจอยู่นานสุดท้ายก็ต้องอาบล่ะครับ คนญี่ปุ่นเขาก็ไม่ได้ถืออะไร ผมก็ เอาวะ ไหนๆ แล้ว สักครั้งในชีวิต มันจะประาณนี้นะครับ ยืมรูปเขามา ไม่ใช่ของโรงแรมนี้นะ
Day 2 Move to HAKONE
Check-Out ออกจากโรงแรมประมาณ 6:30 เตรียมเดินทางไป Hakone เดินกลับไปที่สถานีแล้วไปขึ้นรถไฟสาย Odakyu เพื่อไปยังสถานี Odawara ก่อนครับ ถึงเกือบ 8:30 ไปซื้อตั๋ว Fuji Hakone Pass มาครับ (จริงๆ ซื้อจากที่ชินจูกุเลยก็ได้ จะขึ้นรถไฟ Odakyu กับรถบัสจากคาวากูชิโกะกลับไปชินจูกุเหมารวมมาด้วยเลย แต่ว่ามันเปิดขายตั๋วตอน 8:00 ซึ่งเสียเวลาคอย ผมเลยจัดการซื้อแยกไปดีกว่า คิดราคาแล้วไม่ต่างกัน) ตั๋วนี้จะสามารถไปฮาโกเน่ โกเท็มบะ และ 5 ทะเลสาบรอบฟูจิได้ทั้งหมด ซึ่งสามารถใช้งานเหมารวมได้ 3 วัน นับจากวันที่ซื้อ แต่รอบนี้ผมใช้จริงๆ แค่ 2 วัน แอบเสียดายนิดหน่อย แต่ก็มีข้อดีครับ คือเอาตั๋วนี้โชว์ให้ดู ก็ผ่านได้ทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋วต่างหาก สะดวกและเซฟเวลาด้วย นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนลดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ได้ด้วยนะ
จากนั้นนั่งรถไฟต่อไปที่สาย Hakone Tozan Line ไปยังสถานี Hakone-Yumoto แล้วเปลี่ยนขบวนรถนั่งต่อไปจนถึงสถานี Gora เพื่อนั่งรถเคเบิล Hakone Tozan Cable Car ลงจนสุดสายเลยครับ ที่สถานี Sounzan
จากนั้นนั่งกระเช้า Hakone Ropeway ไปลงที่สถานี Owakudani เลยครับ อากาศหนาวมาก ขนาดหิมะยังเริ่มตก
ที่นี่จะมีไฮไลท์ก็คือ ไข่ดำ ซึ่งพอเอาไข่ไปต้มกับน้ำที่มีแร่กำมะถันอยู่เปลือกออกมาจะมีสีดำหมดเลย มีความเชื่อว่ากิน 1 ใบ อายุจะยืนขึ้นอีก 7 ปี แต่ผมไม่ได้ทันกินครับ เพราะคนญี่ปุ่นเองมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก ผมกลัวจะไปถึงที่พักที่คาวากูชิโกะไม่ทัน
ทีแรก ผมกะจะนั่งต่อไปสถานี Togendai ไปดูเรือโจรสลัดซะหน่อย แต่เลทแล้วครับ เลยตัดสินใจนั่งรถกลับมาเรื่อยๆ จนถึงสถานี Gora เพื่อจะนั่งรถบัสไปที่ Gotemba (จริงๆ เราจะนั่งจาก Togendai ไป Gotemba เลยก็ได้ แต่ว่ามันจะเป็น Highway Bus ซึ่งต้องจองล่วงหน้า ถ้าไปเลยอาจจะเสี่ยงที่จะไม่ได้นั่งรถไปครับ ทาง Info ที่ Odawara เขาแนะนำมาแบบนี้นะ)
จากนั้นนั่งรถบัสไปจนถึงที่ Gotemba Premium Outlet เลยนะครับ คนที่สนใจช็อปปิ้งก็ลองมาเดินดูได้ครับ คล้ายๆ กับ Premium Outlet ของเราแหละ และที่นี่จะมีที่ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปที่ Kawaguchiko
ถึงสถานีคาวากูชิโกะประมาณเกือบๆ 16:00 Check-In ที่พัก Kawaguchiko Station Inn แค่เดินข้ามถนนก็ถึงเลยครับ จากนั้นเตรียมตัวนั่ง Retro Bus สายสีแดง ซึ่งเป็นรถบัสที่วิ่งรอบทะเลสาบคาวากูชิ เพื่อจะไปดู Light Up ที่อุโมงค์เมเปิลที่ป้ายที่ 19 ครับ พอไปถึง เดินตามคนอื่นๆ มาเรื่อยๆ ก็ถึงครับ เลยแวะถ่ายรูปมานิดหน่อย จากนั้นก็ไปหาอะไรกินแถวนั้น ซึ่งเป็นเหมือนซุ้มข้างทางบ้านเรา แต่รสชาติ โอเคเลยล่ะครับ
จากนั้นก็กลับมาที่พักครับ ที่พักที่จองจะเป็นห้อง Dormitory Room เหมือนหอพักเลยครับ ข้างล่างมีที่วางสัมภาระ ส่วนเตียงนอนปีนขึ้นไปข้างบน ห้องน้ำจะมีอ่างอาบรวมวิวดีมาก และก็จะมีห้องอาบฝักบัวแยกต่างหากด้วยนะครับ
เดี๋ยวมาต่อนะครับ
Japan Again โตเกียว ฉายเดี่ยวไม่มีเหงาเราคนเดียวก็เที่ยวได้
ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ผมได้ออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว และผมก็เลือก ญี่ปุ่น อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเทศที่ผมชอบและฝันมานานว่าอยากไปมากๆ ครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 6 วัน ซึ่งจะไปโซนโตเกียว ฮาโกเน่ และ คาวากูชิโกะ ช่วงวันที่ 19-24 พ.ย. 60 ที่ผ่านมาครับ ทริปนี้เน้นเดินเที่ยว Backpack ถ่ายรูปมั่วๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้เน้นกินมากมาย
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เตรียมตัว
ตั๋วเครื่องบิน
รอบนี้ ผมจองกับ Air Asia X ทั้งไปและกลับ ซึ่งผมจองล่วงหน้าอยู่เกือบปี ช่วงที่มีโปร แต่ถ้าพวกสมาชิก Air Asia BIG หรือ Expedia AirAsiaGO นี่มักจะให้เราได้จองราคาโปรก่อน 1 วัน แต่มีเงื่อนไขต้องจองที่พักด้วยอย่างน้อย 1 คืน ซึ่งเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทีหลัง ดังนั้นก็ต้องรีบก่อน เพราะเดี๋ยวราคามันก็จะขึ้นเรื่อยๆ
ที่พัก ผมใช้จองผ่านพวก Agency อย่าง Expedia หรือ Booking.com ซึ่งก็ง่ายดีครับ และผมจะเลือกสถานีที่ใกล้กับสถานีรถไฟที่สุด เพราะจะได้ไม่ลากกระเป๋าไกล ครั้งนี้ผมเลือกเป็น Hostel ครับ เพราะไปคนเดียวและถูกดี แต่คราวหน้าผมกะจะลองจอง AirBnb บ้าง
SIM Card ผมไปคนเดียวเลยซื้อซิมอย่าง Sim2Fly ของ AIS หรือ Travel SIM ของ True แล้วเปิด Roaming เอาครับ เดี๋ยวนี้ราคาไม่แพงมาก สะดวกดีครับ เปิดใช้งานก่อนที่จะขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่น พอถึงที่นู่นก็เปิด Roaming เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ตั๋วรถไฟและรถบัส
ตั๋วรถไฟที่ซื้อล่วงหน้าจะมีแค่ KEISEI SKY LINER กับ TOKYO SUBWAY PASS 72 HRS. ซึ่งผมซื้อมาพร้อมกันจะมีส่วนลดราคาให้ด้วย แล้วจะได้คูปองเอาไปแล้วที่สนามบินอีกทีครับ ส่วนอีกอันคือรถบัส ผมจองแค่ขากลับจากคาวากูชิโกะกลับมาที่ชินจูกุแค่นั้น ซึ่งควรจะจองไว้ก่อนไม่งั้นไม่มีที่นั่งแน่นอนครับ ส่วนขาไปคาวากูชิโกะผมจะใช้ Pass ซึ่งต้องไปซื้อที่ญี่ปุนเท่านั้น
ตั๋วเข้า Tokyo Disney Resort ครั้งนี้ผมมีเวลาแค่ 1 วัน ดังนั้นต้องเลือกระหว่าง Tokyo Disney Land กับ Tokyo Disney Sea ซึ่งก็ลังแลอยู่นาน สุดท้ายก็เลือก Tokyo Disney Sea เพราะว่าประเทศอื่นๆ เขายังไม่มีสวนสนุกที่ติดกับทะเลแบบนี้เลยลองดูครับ ส่วน Disney Land เก็บไว้ก่อนนะ ครั้งหน้ามาใหม่จัดแน่นอน
ภาษา ถ้าอยู่โซนในเมืองคนญี่ปุ่นใช้ภาษาอังกฤษได้พอสมควรเลยนะครับ เท่าที่สัมผัสมา แต่อาจจะฟังสำเนียงยากหน่อย บางทีเขาให้อ่านโพยเป็นภาษาอังกฤษเลย กลัวเราฟังไม่เข้าใจ แต่ผมเองก็พอจะฟังพูดอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง ก็ทำให้อุปสรรคเรื่องการสื่อสาร หรือการอ่านป้ายบอกท่าต่างๆ ง่ายขึ้นมาหน่อย
และสุดท้าย แผนการเที่ยว อันนี้สำคัญมาก ผมจะเน้นเรื่องระยะเวลาและการเดินทางเป็นอย่างมาก ดังนั้นแผนที่เขียนไว้จะระบุเวลา กับวิธีการเดินทางค่อนข้างละเอียดมาก เพราะที่ญี่ปุ่น การเดินทางส่วนใหญ่จะเป็นรถไฟอยู่แล้ว ซึ่งมีหลายขบวนหลายสีหลายเส้นทางมาก การทำแผนละเอียดจะช่วยลดเวลาในการค้นหาเส้นทางเมื่อเรากำลังเดินทางได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว โดยเริ่มแรกเราอาจจะวางกรอบการเดินทางว่าจะไปไหนบ้างแล้วค่อยมาลงรายละเอียดอีกที แต่ว่าพอเอาจริงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสลับสับเปลี่ยนตามสถานะการณ์ด้วยนะครับ และที่สำคัญ เช็คพยากรณ์อากาศด้วยนะครับ ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างแม่นมาก จะได้ปรับเปลี่ยนแผนได้ทัน
Day 1 ออกเดินทางจากดอนเมือง-นาริตะ เข้าสูโตเกียว พักที่ชินจูกุ
Day 2 ออกเดินทางไป ฮาโกเน่ โอวาคุดานิ พักที่คาวากูชิโกะ
Day 3 ไปเจดีย์แดงชูเรตโต เที่ยวรอบๆ คาวากูชิโกะ กลับมาพักที่โตเกียว
Day 4 เที่ยวรอบๆ โตเกียว ซื้อของฝาก
Day 5 Tokyo Disney Sea
Day 6 เก็บตกรอบๆ โตเกียว เกาะโอไดบะ กลับกรุงเทพฯ
ส่วนอันนี้เป็นตัวอย่างการทำตารางการเดินทางครับ เดี๋ยวแบบเต็มๆ จะมาลงให้นะ เพราะเจอบางอันผิดอยู่
Day 1 Go Ahead To TOKYO
ไฟลท์นี้ออกเดินทางเวลา 10:45 ถึงที่นาริตะประมาณ 19:00 ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งก็ตรงเวลาอยู่นะครับ จากนั้นเดินออกไปยัง Terminal 2 Arrivals หรือผู้โดยสารขาเข้า ผ่าน ตม. ให้เรียบร้อย พอออกมาให้ลงบันไดเลื่อนมาครับ (ย้ำให้ลงมาก่อนครับ ซึ่งปกติเราเดินออกมาแล้วจะเจอ KEISEI เลยแต่ตรงนั้นแลกไม่ได้ครับ ต้องมาแลกชั้นล่าง ไม่งั้นเสียเวลาต่อคิวอีก) แล้วจะเจอที่ให้แลกตั๋ว KEISEI SKYLINER ซึ่งเราก็เอาคูปองที่ได้ซื้อมาเอามาแลกที่นี่ จะได้ตั๋วรถไฟ KEISEI มา และตั๋ว TOKYO SUBWAY มาพร้อมกัน (ตั๋ว Subway จะใช้ 3 วันหลัง) ตั๋วรถไฟจะระบุเวลาและที่นั่งให้เราเลย นั่งให้ตรงที่ของเราด้วยนะครับ และจะมีคูปองอีกใบนึง ให้มาสำหรับเอาไปแลกตั๋ว KEISEI ตอนขากลับ เก็บไว้อย่าให้หายนะ
จากนั้นลงที่สถานี Nippori เพื่อมาเปลี่ยนมานั่ง JR สาย Yamatone เพื่อจะไปที่ชินจูกุ เหตุผลที่เลือกชินจูกุเพราะรุ่งขึ้นจะต้องนั่งรถไฟจากที่นี่ต่อได้เลย จะได้ไม่เสียเวลา จากนั้นเดินออกมาจากสถานีประมาณ 500 เมตรเพื่อไปยังโรงแรม Shinjuku Kuyakusho-mae Capsule Hotel เปิด Google Map ตามเลยครับ เพราะเดินไปเองหลงแน่ๆ ถึงที่พักก็จัดการเช็คอินให้เรียบร้อยครับ
ห้องพักจะเป็นแบบแคปซูลนะครับ ดูเหมือนแคบ แต่ข้างในก็พอนอนได้ครับ มีปลั๊กไฟ ทีวีให้พร้อม
แต่ว่าห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมนะครับ รวมแบบว่ารวมจริงๆ ไม่มีผนังกั้นใดๆ นั่นหมายความว่า ต้องแก้หมด TT ผมเดินไปเดินมา ทำใจอยู่นานสุดท้ายก็ต้องอาบล่ะครับ คนญี่ปุ่นเขาก็ไม่ได้ถืออะไร ผมก็ เอาวะ ไหนๆ แล้ว สักครั้งในชีวิต มันจะประาณนี้นะครับ ยืมรูปเขามา ไม่ใช่ของโรงแรมนี้นะ
Day 2 Move to HAKONE
Check-Out ออกจากโรงแรมประมาณ 6:30 เตรียมเดินทางไป Hakone เดินกลับไปที่สถานีแล้วไปขึ้นรถไฟสาย Odakyu เพื่อไปยังสถานี Odawara ก่อนครับ ถึงเกือบ 8:30 ไปซื้อตั๋ว Fuji Hakone Pass มาครับ (จริงๆ ซื้อจากที่ชินจูกุเลยก็ได้ จะขึ้นรถไฟ Odakyu กับรถบัสจากคาวากูชิโกะกลับไปชินจูกุเหมารวมมาด้วยเลย แต่ว่ามันเปิดขายตั๋วตอน 8:00 ซึ่งเสียเวลาคอย ผมเลยจัดการซื้อแยกไปดีกว่า คิดราคาแล้วไม่ต่างกัน) ตั๋วนี้จะสามารถไปฮาโกเน่ โกเท็มบะ และ 5 ทะเลสาบรอบฟูจิได้ทั้งหมด ซึ่งสามารถใช้งานเหมารวมได้ 3 วัน นับจากวันที่ซื้อ แต่รอบนี้ผมใช้จริงๆ แค่ 2 วัน แอบเสียดายนิดหน่อย แต่ก็มีข้อดีครับ คือเอาตั๋วนี้โชว์ให้ดู ก็ผ่านได้ทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋วต่างหาก สะดวกและเซฟเวลาด้วย นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนลดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ได้ด้วยนะ
จากนั้นนั่งรถไฟต่อไปที่สาย Hakone Tozan Line ไปยังสถานี Hakone-Yumoto แล้วเปลี่ยนขบวนรถนั่งต่อไปจนถึงสถานี Gora เพื่อนั่งรถเคเบิล Hakone Tozan Cable Car ลงจนสุดสายเลยครับ ที่สถานี Sounzan
จากนั้นนั่งกระเช้า Hakone Ropeway ไปลงที่สถานี Owakudani เลยครับ อากาศหนาวมาก ขนาดหิมะยังเริ่มตก
ที่นี่จะมีไฮไลท์ก็คือ ไข่ดำ ซึ่งพอเอาไข่ไปต้มกับน้ำที่มีแร่กำมะถันอยู่เปลือกออกมาจะมีสีดำหมดเลย มีความเชื่อว่ากิน 1 ใบ อายุจะยืนขึ้นอีก 7 ปี แต่ผมไม่ได้ทันกินครับ เพราะคนญี่ปุ่นเองมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก ผมกลัวจะไปถึงที่พักที่คาวากูชิโกะไม่ทัน
ทีแรก ผมกะจะนั่งต่อไปสถานี Togendai ไปดูเรือโจรสลัดซะหน่อย แต่เลทแล้วครับ เลยตัดสินใจนั่งรถกลับมาเรื่อยๆ จนถึงสถานี Gora เพื่อจะนั่งรถบัสไปที่ Gotemba (จริงๆ เราจะนั่งจาก Togendai ไป Gotemba เลยก็ได้ แต่ว่ามันจะเป็น Highway Bus ซึ่งต้องจองล่วงหน้า ถ้าไปเลยอาจจะเสี่ยงที่จะไม่ได้นั่งรถไปครับ ทาง Info ที่ Odawara เขาแนะนำมาแบบนี้นะ)
จากนั้นนั่งรถบัสไปจนถึงที่ Gotemba Premium Outlet เลยนะครับ คนที่สนใจช็อปปิ้งก็ลองมาเดินดูได้ครับ คล้ายๆ กับ Premium Outlet ของเราแหละ และที่นี่จะมีที่ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปที่ Kawaguchiko
ถึงสถานีคาวากูชิโกะประมาณเกือบๆ 16:00 Check-In ที่พัก Kawaguchiko Station Inn แค่เดินข้ามถนนก็ถึงเลยครับ จากนั้นเตรียมตัวนั่ง Retro Bus สายสีแดง ซึ่งเป็นรถบัสที่วิ่งรอบทะเลสาบคาวากูชิ เพื่อจะไปดู Light Up ที่อุโมงค์เมเปิลที่ป้ายที่ 19 ครับ พอไปถึง เดินตามคนอื่นๆ มาเรื่อยๆ ก็ถึงครับ เลยแวะถ่ายรูปมานิดหน่อย จากนั้นก็ไปหาอะไรกินแถวนั้น ซึ่งเป็นเหมือนซุ้มข้างทางบ้านเรา แต่รสชาติ โอเคเลยล่ะครับ
จากนั้นก็กลับมาที่พักครับ ที่พักที่จองจะเป็นห้อง Dormitory Room เหมือนหอพักเลยครับ ข้างล่างมีที่วางสัมภาระ ส่วนเตียงนอนปีนขึ้นไปข้างบน ห้องน้ำจะมีอ่างอาบรวมวิวดีมาก และก็จะมีห้องอาบฝักบัวแยกต่างหากด้วยนะครับ
เดี๋ยวมาต่อนะครับ