ก่อนอื่นเลย ต้องขอบอกว่าลังเลมาก ว่าจะตั้งกระทู้นี้ดีหรือไม่.....เพราะมันก็พอๆกับการประจานความโง่ และความประมาทของตัวเอง แต่ก็อยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับเพื่อนๆชาวพันทิปที่จะไปเที่ยวต่างประเทศ และใช้บัตรเครดิตกันนะครับ
หลายๆคน ก็เคยเห็นกระทู้ลักษณะนี้มาเยอะแยะมากมาย บางท่านหมดเงินหลักหมื่น หลักแสน กันเลยทีเดียว
เรื่องของผมนั้นก็คือ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ผมกลับไปรัสเซียอีกครั้ง ก็แฮปปี้ลัลลาตามประสาหนุ่มโสด เรื่องมันก็มาโป๊ะแตกเอาคืนสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ ตอนนั้นผมกลับจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมาพักที่มอสโคว์ 2 คืน ก่อนกลับกรุงเทพ คืนสุดท้าย และเป็นสุดสัปดาห์ เพื่อนชาวรัสเซียเลยชวนไปปาร์ตี้บนชั้นดาดฟ้าที่โรงแรม Ritz-Carlton Moscow ก็เมาๆ แด๊นซ์ๆ ไปจนงานเลิก ยอมรับค่ะว่าดื่มไปหลายแก้วแล้ว ก็มีฤทธิ์แอลกอฮอลล์ทำให้เคลิ้มๆนิดส์นึง
(อันนี้เพื่อนนะคะ)
เรื่องก็มีอยู่ว่า ปาร์ตี้เลิกแล้ว (ประมาณเที่ยงคืน) ก่อนจะนก ลงจากดาดฟ้าโรงแรม กลับไปนอนที่โรงแรมตัวเอง ระหว่างรอเพื่อนเข้าห้องน้ำ ก็ไปเจอกลุ่มเด็กๆนั่งชิลล์ นั่งคุย สูบบุหรี่กันอยู่ ผมก็เลยเข้าไปคุยด้วย (เอาง่ายๆ....ไปแอ๊วเด็กนั่นแหละ) ปรากฎว่า "แอ๊วติดค่ะ" เด็กน้อยหอยสังข์ก็ยังไม่อยากกลับบ้าน ดิฉันเองก็ยังไม่อยากกลับโรงแรมนอน ก็เลยจะไปเที่ยวกันต่อ ส่วนเพื่อนดิฉันสามีนางโทรตามละ ก็เลยต้องแยกกัน อุปสรรคมันอยู่ที่ว่า อีเด็กน้อยที่แอ๊วติด พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย ใช้วุ้นแปลภาษาอากู๋คุยกันเกือบ 95% เลยค่ะ (แต่ก็ยังแอ๊วติดนะ....งงเหมือนกัน 555+ #มั่นหน้า) หลังจากส่งเพื่อนดิฉันและเพื่อนๆของเด็กน้อยที่เมโทร ดิฉันและเด็กน้อยก็ไปปาร์ตี้กันต่อ หลังจากปาร์ตี้เสร็จประมาณ ตี 2 ก็เหนื่อยแล้ว ดิฉันก็เลยชวนน้องเขากลับไปโรงแรมของดิฉันกัน (ค่ะ.....น้องเขา 18 ตามกฎหมายรัสเซียไม่ผิดนะคะ อยากเป็นอมตะ ไม่กินตะขาบ ก็กินเด็กเนี่ยแหละค่ะ มีสองสูตร 555+) เราก็เรียก Uber กลับโรงแรมกัน
ยังมีอารมณ์ถ่ายวิดีโอกันบน Uber นะคะ....ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง T-T
ดิฉันไม่พกกระเป๋าสตางค์อยู่แล้วเวลาไปเที่ยว ปกติจะเอาเงินสดนิดหน่อย + บัตรเดรดิต 1 ใบ แล้วใช้ Money Clip หนีบไว้ค่ะ เวลาไปเที่ยวข้างนอกเลยสะดวก กลับมาถึงโรงแรมก็เกือบๆตีสาม และด้วยความที่มันดึกมากแล้ว และดิฉันเองก็เพลียๆแล้ว ก็เลยเข้าห้องนอนเลย
ดิฉันก็เลยไม่ได้เอาเงินและบัตรเครดิตเข้าตู้เซฟโรงแรม ระหว่างที่เด็กน้อยเข้าห้องน้ำ ดิฉันก็แอบเอา Money Clip ที่มีเงินสดและบัตรเครดิตซ่อนไว้ในลิ้นชัก ใต้เสื้อผ้าอีกทีค่ะ
เซฟโรงแรมอยู่ตรงนี้ (ส่วนของ Living Room)
ดิฉันเอา Money Clip ซ่อนไว้ในนี้ (ส่วนของห้องนอน)
จริงๆต้องเท้าความก่อนนิดนึงว่า ทริปนี้ดิฉันไปคนเดียว แต่มีเพื่อนในพันทิปที่ไปช่วงเดียวกันพอดี(ส่งหลังไมค์มารู้จักกันจากกระทู้รีวิวของดิฉัน) และกลับไฟลท์เดียวกัน พี่เขาก็มาเองคนเดียว กอปรกับห้องพักดิฉันมันกว้างอยู่แล้ว ดิฉันก็เลยอาสาให้พี่เขามานอนที่ห้องดิฉันก่อนบินกลับพร้อมกันในวันรุ่งขึ้น (คือไปช่วงเดียวกัน แต่วันมันเหลื่อมกันนิดหน่อย ก็ไม่ได้เที่ยวด้วยกัน แต่ดิฉันก็ให้พี่เขานอนในส่วนของ Living Room ในห้องพักตั้งแต่ตอนอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ทีมอสโคว์ก็เลยให้พี่เขานอนด้วย จะได้เป็นการประหยัดค่าโรงแรมของพี่เขาได้ 2 คืน #สวยด้วยใจดีด้วยขอมงและสายสะพายให้ดิฉันด้วยค่ะ)
วาปข้ามช็อตเลยนะคะ.....น่าจะประมาณ 6 โมงเช้าได้ ดิฉันจำอะไรได้ไม่มาก จำได้ว่าน้องเขามาปลุกบอกว่า "ไป after party กันต่อ ตอน 7 โมงเช้า" ดิฉันบอกว่า ไม่ไหวแล้ว ง่วงมาก ขอนอน ไปเที่ยวต่อเลยนะ บะบายยยย แล้วดิฉันก็สลบต่อค่ะ.....วาปอีกที 11 โมงเช้า เลยเวลากินข้าวเช้าไปแล้วด้วย ก็ตื่นมางัวเงีย
แต่อันดับแรกเลย คือดิฉันเช็คมือถือกับ Money Clip ที่ซ่อนไว้ เออ....ก็อยู่ที่เดิมนิ ดิฉันก็ออกมาในส่วนของห้องนั่งเล่น ก็เจอพี่เขาแต่งตัว กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ดิฉันก็เห็นทุกอยากปกติดี ก็ให้พี่เขาตามสบาย ส่วนดิฉันก็เข้าไปอาบน้ำแปรงฟัน
ระหว่างที่ดิฉันแปรงฟันอยู่ ก็มี sms ส่งมาจาก ธนาคารสีเขียวที่ดิฉันใช้บริการอยู่ว่า มีการตัดค่า Uber ไป 120 RUB ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าคงเป็นจากที่เรียกเมื่อคืน แล้วมันเพิ่งส่ง sms มา ดิฉันแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อย มานั่งกินกาแฟในห้องนั่งเล่น คุยกับพี่เขาไปว่า เดี๋ยวเราจะออกจากโรงแรมไปสนามบินกันกี่โมง ฯลฯ
ระหว่างนั้นมันก็มี sms จากธนาคารเดิมมาอีกว่ามีการตัดบัตรค่า Uber อีกแล้ว ประมาณ 350 RUB คราวนี้ได้คาเฟอีนแล้ว ท้องอิ่มแล้ว สมองเริ่มกลับมา สติเริ่มคัมแบค มานั่งคิดว่า
เอ๊ะ.....กูไม่ได้ออกไปไหนนิ มันมาตัดค่า Uber ได้ยังไง? แล้วก็มาเอ๊ะอีกทีว่า ดิฉันไม่ได้ใช้บัตรใบนี้ผูกกับ Uber!!! เอาละสิคะ!!! เรียบวิ่งไปที่โต๊ะทำงานในห้อง
บัตรก็อยู่กับเรานิ!! มันเกิดอะไรขึ้น?!! ก็เลยเอาเงินสดที่ใช้ Money Clip ติดไว้กับบัตรเจ้าปัญหา มานั่งนับ....5,000 RUB ก็อยู่ครบ ไม่หาย
ตอนนี้แหละค่ะ ที่เพิ่งคิดได้ว่า นังเด็กน้อยหอยสังข์ นางจดชื่อ จดเลขหน้าบัตร เลข cvv ของดิฉัน แล้วเอาไปใช้กับ Uber ของตัวเอง พอรู้ตัวก็เรียบกดอายัดบัตรใน Mobile Banking ค่ะ แล้วก็ report trips กับ Uber ไปว่า อันนี้เราไม่ได้ใช้ (สุดท้ายทาง Uber ดีมากนะคะ ส่งรูปหลักฐานอะไรไปให้ เขา refund เงิน 2 ทริปนี้ให้ด้วยค่ะ)
เรื่องนี้ก็ได้สอนบทเรียนให้ดิฉันหลายอย่างเลย ดิฉันโชคดีกว่าท่านอื่นหลายท่านที่
โดนแค่ค่า Uber แต่ถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้ ก็ไม่รู้นะคะจะโดนอะไรอีก แต่มันทำให้ดิฉันสงสัยว่า ทำไมมันไม่มี OTP อะไรพวกนี้? ก็มารู้ทีหลังว่า การซื้อของออนไลน์ หรือธุรกรรมบางประเภท อย่างเช่น Uber มันไม่ใช้ OTP ค่ะ และที่น้องเขาไม่เอาบัตรไป เพราะการใช้บัตรเครดิตในรัสเซีย เวลารูดเราต้องกด PIN ของบัตรด้วยทุกครั้งค่ะ น้องเขาไม่รู้ PIN เอาบัตรไปก็ไร้ประโยชน์ (น้องเขาเลยจดเลขบัตรไปแทน....ฉลาดสุดๆ เมก้าเคลเวอร์!!!)
ป.ล. ความจริงแล้ว ส่วนตัวดิฉันไม่คิดว่าน้องเขาตั้งใจขโมยอะไรนะคะ เพราะเงินสดก็ไม่ได้เอาไป และ iPhone 7 Plus ก็ไม่ได้เอาไป เรื่องมือถือเนี่ย เพราะสื่อสารกันไม่ค่อยได้ ดิฉันเลยต้องเปิดใช้ app แปลภาษาเกือบตลอดเวลา ถ้าน้องเขาเอาไป ก็ไม่ต้องไปปลดล็อคอะไรเลยค่ะ ระหว่างนั่งเครื่องกลับมากรุงเทพ ก็มาคิดได้ว่า....หรือว่าตอนที่น้องเขามาปลุก ที่ให้ไป After party
เขาจะมาขอค่ารถกลับบ้านด้วย?? แล้วดิฉันอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง และก็ง่วงนอนอยู่ เลยไม่เข้าใจ (จริงๆขอค่ารถกลับบ้านดีๆก็ได้ เดี๋ยวพี่ให้ 500 เลย....นี่ต้องมาเสีย 500 ค่าออกบัตรใหม่ T-T)
ดิฉันหวังว่าทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ จะระมัดระวังเรื่องการใช้บัตรเครดิตในต่างแดนมากขึ้นนะคะ ดิฉันยังโชคดีกว่าหลายๆท่านที่โดนกันหลักหมื่นหลักแสน แต่ก็เป็นบทเรียนจากการท่องเที่ยวที่ได้รับมาค่ะ รอบหน้าจะพาใครกลับห้อง เขามีเซฟให้ก็ใช้เซฟนะคะ 555+
Extra นอกเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พอกลับมาถึงกรุงเทพ ก็เลยส่งเรื่องไปเล่าให้เพื่อนที่ St. Petersburg ฟัง....ยังมีการมาแซวดิฉันอีกนะคะ
เตือนภัย แชร์ประสบการณ์โดนเทคนิคโจรยุคใหม่เที่ยวเมืองนอก ไม่ต้องเอาบัตรไป ก็รูดเงินคุณได้
หลายๆคน ก็เคยเห็นกระทู้ลักษณะนี้มาเยอะแยะมากมาย บางท่านหมดเงินหลักหมื่น หลักแสน กันเลยทีเดียว
เรื่องของผมนั้นก็คือ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ผมกลับไปรัสเซียอีกครั้ง ก็แฮปปี้ลัลลาตามประสาหนุ่มโสด เรื่องมันก็มาโป๊ะแตกเอาคืนสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ ตอนนั้นผมกลับจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมาพักที่มอสโคว์ 2 คืน ก่อนกลับกรุงเทพ คืนสุดท้าย และเป็นสุดสัปดาห์ เพื่อนชาวรัสเซียเลยชวนไปปาร์ตี้บนชั้นดาดฟ้าที่โรงแรม Ritz-Carlton Moscow ก็เมาๆ แด๊นซ์ๆ ไปจนงานเลิก ยอมรับค่ะว่าดื่มไปหลายแก้วแล้ว ก็มีฤทธิ์แอลกอฮอลล์ทำให้เคลิ้มๆนิดส์นึง
(อันนี้เพื่อนนะคะ)
เรื่องก็มีอยู่ว่า ปาร์ตี้เลิกแล้ว (ประมาณเที่ยงคืน) ก่อนจะนก ลงจากดาดฟ้าโรงแรม กลับไปนอนที่โรงแรมตัวเอง ระหว่างรอเพื่อนเข้าห้องน้ำ ก็ไปเจอกลุ่มเด็กๆนั่งชิลล์ นั่งคุย สูบบุหรี่กันอยู่ ผมก็เลยเข้าไปคุยด้วย (เอาง่ายๆ....ไปแอ๊วเด็กนั่นแหละ) ปรากฎว่า "แอ๊วติดค่ะ" เด็กน้อยหอยสังข์ก็ยังไม่อยากกลับบ้าน ดิฉันเองก็ยังไม่อยากกลับโรงแรมนอน ก็เลยจะไปเที่ยวกันต่อ ส่วนเพื่อนดิฉันสามีนางโทรตามละ ก็เลยต้องแยกกัน อุปสรรคมันอยู่ที่ว่า อีเด็กน้อยที่แอ๊วติด พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย ใช้วุ้นแปลภาษาอากู๋คุยกันเกือบ 95% เลยค่ะ (แต่ก็ยังแอ๊วติดนะ....งงเหมือนกัน 555+ #มั่นหน้า) หลังจากส่งเพื่อนดิฉันและเพื่อนๆของเด็กน้อยที่เมโทร ดิฉันและเด็กน้อยก็ไปปาร์ตี้กันต่อ หลังจากปาร์ตี้เสร็จประมาณ ตี 2 ก็เหนื่อยแล้ว ดิฉันก็เลยชวนน้องเขากลับไปโรงแรมของดิฉันกัน (ค่ะ.....น้องเขา 18 ตามกฎหมายรัสเซียไม่ผิดนะคะ อยากเป็นอมตะ ไม่กินตะขาบ ก็กินเด็กเนี่ยแหละค่ะ มีสองสูตร 555+) เราก็เรียก Uber กลับโรงแรมกัน
ยังมีอารมณ์ถ่ายวิดีโอกันบน Uber นะคะ....ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง T-T
ดิฉันไม่พกกระเป๋าสตางค์อยู่แล้วเวลาไปเที่ยว ปกติจะเอาเงินสดนิดหน่อย + บัตรเดรดิต 1 ใบ แล้วใช้ Money Clip หนีบไว้ค่ะ เวลาไปเที่ยวข้างนอกเลยสะดวก กลับมาถึงโรงแรมก็เกือบๆตีสาม และด้วยความที่มันดึกมากแล้ว และดิฉันเองก็เพลียๆแล้ว ก็เลยเข้าห้องนอนเลย ดิฉันก็เลยไม่ได้เอาเงินและบัตรเครดิตเข้าตู้เซฟโรงแรม ระหว่างที่เด็กน้อยเข้าห้องน้ำ ดิฉันก็แอบเอา Money Clip ที่มีเงินสดและบัตรเครดิตซ่อนไว้ในลิ้นชัก ใต้เสื้อผ้าอีกทีค่ะ
เซฟโรงแรมอยู่ตรงนี้ (ส่วนของ Living Room)
ดิฉันเอา Money Clip ซ่อนไว้ในนี้ (ส่วนของห้องนอน)
จริงๆต้องเท้าความก่อนนิดนึงว่า ทริปนี้ดิฉันไปคนเดียว แต่มีเพื่อนในพันทิปที่ไปช่วงเดียวกันพอดี(ส่งหลังไมค์มารู้จักกันจากกระทู้รีวิวของดิฉัน) และกลับไฟลท์เดียวกัน พี่เขาก็มาเองคนเดียว กอปรกับห้องพักดิฉันมันกว้างอยู่แล้ว ดิฉันก็เลยอาสาให้พี่เขามานอนที่ห้องดิฉันก่อนบินกลับพร้อมกันในวันรุ่งขึ้น (คือไปช่วงเดียวกัน แต่วันมันเหลื่อมกันนิดหน่อย ก็ไม่ได้เที่ยวด้วยกัน แต่ดิฉันก็ให้พี่เขานอนในส่วนของ Living Room ในห้องพักตั้งแต่ตอนอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ทีมอสโคว์ก็เลยให้พี่เขานอนด้วย จะได้เป็นการประหยัดค่าโรงแรมของพี่เขาได้ 2 คืน #สวยด้วยใจดีด้วยขอมงและสายสะพายให้ดิฉันด้วยค่ะ)
วาปข้ามช็อตเลยนะคะ.....น่าจะประมาณ 6 โมงเช้าได้ ดิฉันจำอะไรได้ไม่มาก จำได้ว่าน้องเขามาปลุกบอกว่า "ไป after party กันต่อ ตอน 7 โมงเช้า" ดิฉันบอกว่า ไม่ไหวแล้ว ง่วงมาก ขอนอน ไปเที่ยวต่อเลยนะ บะบายยยย แล้วดิฉันก็สลบต่อค่ะ.....วาปอีกที 11 โมงเช้า เลยเวลากินข้าวเช้าไปแล้วด้วย ก็ตื่นมางัวเงีย แต่อันดับแรกเลย คือดิฉันเช็คมือถือกับ Money Clip ที่ซ่อนไว้ เออ....ก็อยู่ที่เดิมนิ ดิฉันก็ออกมาในส่วนของห้องนั่งเล่น ก็เจอพี่เขาแต่งตัว กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ดิฉันก็เห็นทุกอยากปกติดี ก็ให้พี่เขาตามสบาย ส่วนดิฉันก็เข้าไปอาบน้ำแปรงฟัน ระหว่างที่ดิฉันแปรงฟันอยู่ ก็มี sms ส่งมาจาก ธนาคารสีเขียวที่ดิฉันใช้บริการอยู่ว่า มีการตัดค่า Uber ไป 120 RUB ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าคงเป็นจากที่เรียกเมื่อคืน แล้วมันเพิ่งส่ง sms มา ดิฉันแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อย มานั่งกินกาแฟในห้องนั่งเล่น คุยกับพี่เขาไปว่า เดี๋ยวเราจะออกจากโรงแรมไปสนามบินกันกี่โมง ฯลฯ ระหว่างนั้นมันก็มี sms จากธนาคารเดิมมาอีกว่ามีการตัดบัตรค่า Uber อีกแล้ว ประมาณ 350 RUB คราวนี้ได้คาเฟอีนแล้ว ท้องอิ่มแล้ว สมองเริ่มกลับมา สติเริ่มคัมแบค มานั่งคิดว่า เอ๊ะ.....กูไม่ได้ออกไปไหนนิ มันมาตัดค่า Uber ได้ยังไง? แล้วก็มาเอ๊ะอีกทีว่า ดิฉันไม่ได้ใช้บัตรใบนี้ผูกกับ Uber!!! เอาละสิคะ!!! เรียบวิ่งไปที่โต๊ะทำงานในห้อง บัตรก็อยู่กับเรานิ!! มันเกิดอะไรขึ้น?!! ก็เลยเอาเงินสดที่ใช้ Money Clip ติดไว้กับบัตรเจ้าปัญหา มานั่งนับ....5,000 RUB ก็อยู่ครบ ไม่หาย ตอนนี้แหละค่ะ ที่เพิ่งคิดได้ว่า นังเด็กน้อยหอยสังข์ นางจดชื่อ จดเลขหน้าบัตร เลข cvv ของดิฉัน แล้วเอาไปใช้กับ Uber ของตัวเอง พอรู้ตัวก็เรียบกดอายัดบัตรใน Mobile Banking ค่ะ แล้วก็ report trips กับ Uber ไปว่า อันนี้เราไม่ได้ใช้ (สุดท้ายทาง Uber ดีมากนะคะ ส่งรูปหลักฐานอะไรไปให้ เขา refund เงิน 2 ทริปนี้ให้ด้วยค่ะ)
เรื่องนี้ก็ได้สอนบทเรียนให้ดิฉันหลายอย่างเลย ดิฉันโชคดีกว่าท่านอื่นหลายท่านที่ โดนแค่ค่า Uber แต่ถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้ ก็ไม่รู้นะคะจะโดนอะไรอีก แต่มันทำให้ดิฉันสงสัยว่า ทำไมมันไม่มี OTP อะไรพวกนี้? ก็มารู้ทีหลังว่า การซื้อของออนไลน์ หรือธุรกรรมบางประเภท อย่างเช่น Uber มันไม่ใช้ OTP ค่ะ และที่น้องเขาไม่เอาบัตรไป เพราะการใช้บัตรเครดิตในรัสเซีย เวลารูดเราต้องกด PIN ของบัตรด้วยทุกครั้งค่ะ น้องเขาไม่รู้ PIN เอาบัตรไปก็ไร้ประโยชน์ (น้องเขาเลยจดเลขบัตรไปแทน....ฉลาดสุดๆ เมก้าเคลเวอร์!!!)
ป.ล. ความจริงแล้ว ส่วนตัวดิฉันไม่คิดว่าน้องเขาตั้งใจขโมยอะไรนะคะ เพราะเงินสดก็ไม่ได้เอาไป และ iPhone 7 Plus ก็ไม่ได้เอาไป เรื่องมือถือเนี่ย เพราะสื่อสารกันไม่ค่อยได้ ดิฉันเลยต้องเปิดใช้ app แปลภาษาเกือบตลอดเวลา ถ้าน้องเขาเอาไป ก็ไม่ต้องไปปลดล็อคอะไรเลยค่ะ ระหว่างนั่งเครื่องกลับมากรุงเทพ ก็มาคิดได้ว่า....หรือว่าตอนที่น้องเขามาปลุก ที่ให้ไป After party เขาจะมาขอค่ารถกลับบ้านด้วย?? แล้วดิฉันอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง และก็ง่วงนอนอยู่ เลยไม่เข้าใจ (จริงๆขอค่ารถกลับบ้านดีๆก็ได้ เดี๋ยวพี่ให้ 500 เลย....นี่ต้องมาเสีย 500 ค่าออกบัตรใหม่ T-T)
ดิฉันหวังว่าทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ จะระมัดระวังเรื่องการใช้บัตรเครดิตในต่างแดนมากขึ้นนะคะ ดิฉันยังโชคดีกว่าหลายๆท่านที่โดนกันหลักหมื่นหลักแสน แต่ก็เป็นบทเรียนจากการท่องเที่ยวที่ได้รับมาค่ะ รอบหน้าจะพาใครกลับห้อง เขามีเซฟให้ก็ใช้เซฟนะคะ 555+
Extra นอกเรื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้