เพื่อนๆหลายคนน่าจะเป็นเหมือนๆกัน จะมีความสุขมากเวลาว่างแผนออกเดินทางท่องเที่ยว แม้จะดูวุ่นวายไปหน่อย แต่ถ้าคนเดินทางไปด้วยไม่เรื่องมากหรือเรื่องมากไม่ได้ ก็จะสนุกกับมันที่สุด รอบนี้ผมเริ่มต้นวางแผนเดินทางไปเที่ยวกับแฟนก่อน 2 คน จองเครื่องบิน ที่พัก และจัดแผนการเดินทางตั้งแต่ต้นปี ไปปลายปี ต่อมาน้องสาวอีก 2 คนก็อยากมาด้วย จึงทำการจองเพิ่ม ทริปนี้จึงลงตัวกันทั้งหมด 4 คนกำลังดี ไม่มีใครเรื่องมาก เมื่อลงตัวทุกอย่างเสร็จสิ้นก็รอเวลาออกเดินทาง
ครั้งนี้พวกเราเดินทางกับสายการบิน Air asiaX เราได้จองได้ในราคาไป-กลับ คนละ 9880 B ลงที่ Narita แล้วค่อยต่อเครื่องของ Vanila Air ไป-กลับ New chitose 4 คนในราคา 23440 Y ที่พักตกคืนหละประมาณ 2000 กว่าบาทต่อห้อง วางแผนท่องเที่ยวหลักๆ 2 เมืองคือ Sapporo กับ Tokyo แต่จะเน้นหนักตือ การไปหาของกินอร่อยๆ รอบนี้จึงวางเงินกองกลางไม่รวมค่าเครื่องบินกับที่พัก คนละ 30000 บาท
Day 1 (20 Nov 17)
พวกเรานัดรวมพลกันเพื่อ Chack-in ที่สนามบินดอนเมืองตอน 3 ทุ่ม เครื่องขึ้น ตอน 5 ทุ่ม 45 แนะนำให้เพื่อนๆ Chack-in ล่วงหน้า ผ่าน web หรือ ตู้ของ Air asia กันก่อน และเผื่อเวลามาสนามบินอย่างน้อย 2-3 ชม. เมื่อโหลดกระเป๋าและผ่าน ตม.ของไทยเสร็จสิ้น ก็เข้ามาเดินเล่นรอขึ้นเครื่องกันใน Duty free ปล.เดี๋ยวนี้ไม่ต้องกรอกข้อมูลในใบ ตม.แล้ว ง่ายและเร็วขึ้นแยอะมาก พวกเราเข้ามาเดินเล่นรอขึ้นเครื่อง จึงใช้บริการ King power Lounge ใครมีบัตรสามารถพาเพื่อนเข้าไปได้อีก 2 คน มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม และที่นั้งอย่างดี แนะนำให้เพื่อนๆใช้บริการกันนะครับ นั้งเล่นเกือบถึงเวลาขึ้นเครื่อง แล้วเจอกันที่ Japan ครับ
Day 2 (21 Nov 17)
เดินทางโดยเครื่องบิน Air asiaX มาประมาณ 6 ชม.กว่าๆ ก็มาถึงสนามบินนาริตะ ตอน 8.00 โมงเวลาญี่ปุ่น กับอุณหภูมิ 14 องศา เย็นสบาย ใช้เวลากับการตรวจเอกสารไม่มาก ที่นี้มีระบบจัดการอย่างรวดเร็ว แต่เราจะไปเสียเวลากันที่ศุลกากรนิดหน่อย ที่มีการขอตรวจสอบกระเป๋าใบใหญ่ๆของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากันอย่างมาก ผมสอบถามดูถึงรู้ว่า มีการจับนักท่องเที่ยวที่มาจากไทยขนยาเสพติดเข้าญี่ปุ่นได้หลายราย จึงตรวจเข้มขึ้น แต่พวกเราไม่มีปัญหาให้ความร่วมมือเต็มที่ เสร็จก็เข้าประเทศญี่ปุ่นได้อย่างเรียบร้อย ออกจาก Terminal 2 เราต้องไปขึ้นเครื่องที่ Terminal 3 ออกประตูทางซ้ายมือ ขึ้น Free bus ที่ป้ายหมายเลข 1 ไปลง Terminal 3 เครื่องของ Vanilla air ที่จะไป New Chitose ออกเวลา 12.45 มีเวลาอีกเกือบ 3 ชม. ได้เวลากินมื้อแรกที่สนามบินกัน แนะนำมี 2 ร้านที่อร่อย ร้านแรกเป็นเมนู อาหารชุด+ของทอด และอีกร้านเป็นเมนูจัมปง (ราดหน้า) แถวนี้ยังมีร้านค้าให้เดินเล่นได้ไม่น่าเบื่อ Vanilla air จะ Chack-in ก่อนประมาณ 1 ชม. ที่สำคัญ น้ำหนักกระเป๋าทั้งที่โหลดและถือขึ้นเครื่องต้องไม่เกินที่กำหนด เท่านั้น รอบนี้เห็นคนญี่ปุ่นซื้อน้ำหนักเพิ่มกันแยอะมาก แต่หลังนี้เครื่องมี Delay นิดหน่อยกว่าจะออกได้ก็เกือบบ่าย 2
ใช้เวลาเดินทางมา สนามบิน CTS ประมาณ 2 ชม. แค่ลงมาที่ Chitose ก็เจอกับอากาศหนาว 4 องศา เวลาประมาณ บ่าย 4 แล้ว เราเลือกเดินทางโดย รถไฟ JR เข้า Sapporo 1070 Y ต่อคน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึงสถานี JR Sapporo ต่อรถใต้ดินสาย Toho line ไปลง Hosusukino 200 Y ออกที่ทางออก1 เดินทางเข้าที่พัก Sapporo Tobu Hotel เก็บของเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่จะต้องกินกันแล้ว มื้อแรกที่ Sapporo ของเราต้องเป็น ปู เท่านั้น และร้านที่เราจะไปร้านแรกคือ Nanda Buffet แนะนำให้ที่โรงแรมโทรจองเวลาให้ก่อน walk-in เข้าไปอาจไม่ได้กินครับ ร้านนี้คนแยอะมาก โชคดีเราได้เวลาประมาณ 18.30 เดินจาก โรงแรมไปประมาณ 15 นาทีก็ถึง ร้านจะอยู่ที่ตึก Cyber ชั้นใต้ดิน มีป้ายชัดเจน ในร้านพนักงานมีพูดไทยได้ จึงไม่ลำบาก อย่างแรกคือต้องไปจ่ายเงินที่ตู้หน้าร้านก่อน รอบนี้ ตกคนละ 6000 Y กับเวลาในการกินอย่างจุใจ 100 นาที พนักงานจะเดินบอกและแนะนำอาหาร พาเราไปที่โต๊ะ และเริ่มกันได้เลย งานนี้ปูหมดไปอย่างน้อยก็ 10 ตัว อย่างอื่นอีกแยอะมาก แต่ที่ไม่ควรไปแตะต้องคือพวก ซูชิ ข้าวแยอะไปหน่อย ที่นี้มีน้ำจิ้มซีฟู๊ดให้ด้วย ไม่ต้องพกน้ำจิ้มมานะครับ พวกเรา 4 คนใช้เวลาการกินกันเต็มที่ จนเหลือแค่ 3 นาที ก็ออกไปเดินเล่นกันให้ย่อยที่ย่าน Susukino แต่เมื่อทานของคาวก็ต้องมีของหวานต่อ เราเดินมาถึงย่าน Tanukikoji แถวนี้จะมีร้านเครปเย็นอร่อยอยู่ร้านหนึ่งที่ห้ามพลาดคือ Marion Crepes คนจะต่อแถวแยอะมาก อากาศเริ่มหนาวจนเหลือไม่ 1 ก็ 2 องศา แต่สาวๆก็ยังอยากกินกัน วันแรกที่ Sapporo กับมื้ออาหารที่สุดอร่อยจนกินกันต่อไม่ไหว งานนี้จึงต้องขอกลับเข้าที่พัก ไปแช่น้ำอุ่นๆ คล้ายเหนื่อยกันก่อน แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้ Hokkaido
DAY 3 (22 Nov 17 )
วันนี้พวกเราตื่นกันเร็วหน่อย กินอาหารเช้าสุดอร่อยที่โรงแรมเสร็จ ก็เดินทางไปเที่ยวกันต่อ จุดหมายในวันนี้คือ เมืองOTARU เริ่มต้นเดินทางจากสถานี JR SAPPORO ไป สถานี OTARU 640 Y ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที วิวรถไฟไป Otaru นี้ฝั่งขวาจะเลียบทะเล สวยงามมาก ถึงที่สถานีOtaru ประมาณ 9.00 โมงเช้า ที่แรกที่แนะนำตลาดปลาOtaru ออกจาหน้าสถานีจะอยู่ทางซ้ายมือ ทางขึ้นจะเป็นเนินเล็กๆ เดินขึ้นไปจะเห็นทางเข้าชัดเจน ตลาดปลาที่นี้จะไม่ใหญ่เท่าที่ Sapporo แต่ที่มีปูให้เลือดดู หยิบถ่ายรูปได้ ขออนุญาติเจ้าขายร้านได้ครับ ใจดีกันมากๆ นอกจากนี้หากอยากกินของสดๆ ก็เลือกปู หรือ หอย ตามราคา/น้ำหนัก ให้ทางร้านทำเป็น ซาซิมิ หรือ ย่าง ได้เลยครับ รสชาติสดและอร่อยมาก
เดินเที่ยวตลาดปลากันซักพัก เราเดินลงมาตามถนนหน้าสถานี จะไปสุดที่คลองOtaru ระหว่างทางก็มีหลายจุดที่ให้สาวๆโพสท่าถ่ายรูปได้ตลอด งานนี้กว่าจะเดินถึงคลองเกือยครึ่งชั่วโมงเลย ที่คลองOtaru จะมีวิว โกดังเก่า สะพาน คลองน้ำ ขอบฟ้าและแถมด้วยหิมะ จัดว่าลงตัวสำหรับการถ่ายภาพจริงๆ แต่คงต้องหามุมที่มีคนน้อยๆหน่อย ซึ่งก็ยากนิด
หลังจากถ่ายภาพ เดินชมคลองชมโกดังและท่าเรือแล้ว สิ่งที่จะพลาดไม่ได้เลยคือ ไปลองชิม เมล่อนไอศครีม ฝั่งตรงข้ามคลอง Otaru จะเห็นเป็นร้านค้าอยู่ ร้านขายเมล่อนไอศครีมจะอยู่ข้างในสุด สังเกตุทางเข้าจะเป็นประตูหมุน ที่นี้แนะนำเลยครับ เลือก icecream รสเมล่อน เท่านั้นอร่อยมากๆ ถ้าให้คุ้มก็ขนาดใหญ่เลยครับ เมล่อนครึ่งลูก
หลังจากของหวานแล้ว งานนี้ก็ขอของคาวตามมาบ้าง ใกล้เที่ยงแล้วต้องเติมพลังใส่ท้อง แนะนำร้านนี้เลยครับ เป็นร้านที่เดินหากันมั่วๆเข้าไป แต่อร่อย สด และราคาไม่แพง ร้านจะอยู่ตรงข้ามเยื้องร้าน Le tao ร้านแรก และตรงข้ามจะมีร้านอาหารทะเลอยู่ ที่ร้านนี้จะมีเชฟทำอาหารให้เห็นกลางร้าน โดยเฉพาะปลาย่าง กลิ่นหอมมาก งานนี้พวกเรา 4 คน แต่สั่งกันเหมือนมา 6-7 คนเลยที่เดียว ค่าเสียหายที่ร้านนี้ประมาณ 12400 Y แต่ยอมรับคุ้มสุดๆครับ โดยเฉพาะข้าวหน้าปลาดิบ และ ปลาย่าง อร่อยมากๆ และทานมื้อเที่ยงอิ่มแล้ว เรามองไปร้านตรงข้ามก็อดไม่ได้ที่จะเติมของหวานแสนอร่อยจากร้าน Le tao จัดว่าเป็นสวรรค์ของหวานสำหรับสาวๆเลย เข้ามาก็สั่ง icecream เพลเซล ชีทเค้ก กันเลย ยอมรับเรื่องรสชาติ ไม่หวานมาก หอมชีทและแป้งก็กรอบพอดี ให้ 4 ผ่านเลยครับ แต่จริงๆแค่เดินชิมขนมที่มีให้ในร้านก็อิ่มแล้ว มีให้ชิมแยอะมาก
หลังจากกินกันจนอิ่มก็เดินเที่ยวกันมาเรื่อยๆ จนถึง Otaru music box museum จะมีนาฬิกาไอน้ำอยู่หน้าร้าน จะพ่นตามเวลา คนรอแยอะมาก ข้างในจะมีของหน้ารักๆโดยเฉพาะกล่องดนตรีมีหลากหลายทั้งเก่าและใหม่ โดยเฉพาะชั้น 3 มีกล่องดนตรีเก่าๆแยอะมาก สามารถขอฟังได้ แต่ราคาสูงมาก ใช้เวลาเดินเที่ยวใกล้พักใหญ่ ก็ต้องขอกลับ กันก่อน ที่นี้มืดเร็วมาก แค่ 4 โมงก็เริ่มมืดแล้ว เรากลับมาสถานีOtaru และเดินทางกลับ Sapporo ชอบมากๆเมือง Otaru
กลับมาถึง Sapporo ก็เกือบ 6 โมงเย็นก็ต้องหาอะไรกินกันต่อ จุดหมายแรกคือ ตรอกราเมง ที่ Susukino หาไม่ยาก มีร้านราเมงหลายร้าน ทุกร้านจะมีราเมงรสเด็ดต่างกันออกไป เราเดินเข้าไปมั่วๆอีกแล้ว เพราะเห็นลุงเจ้าของร้านวัยรุ่นดี ที่นี้เราสั่งกันคนละแบบ แลกกินชิม ยอมรับในน้ำซุปเลยครับถึงซุปกระดูกหมูมาก อยากจะกินอีกชามแต่ต้องเก็บท้องไว้กินต่ออีกร้าน ที่ต่อไปที่เราจะไปกินกันคือ ร้านซุป
เดินผ่านย่าน Susukino ถ่ายรูปกันหน่อย ที่นี้เหมือนใจกลางเมือง แสงสีและคนเดินกันมาก
เดินมาได้สักครู่ก็ถึงจุดหมายต่อไป ร้าน Soup curry & dining ร้านนี้ต้องต่อคิวกันหน่อย คนจะแยอะมาก ซุป
ของที่นี้ ลืมข้าวแกงกะหรี่ที่เคยกินไปได้เลย น้ำซุปจะใสกว่า แต่รสชาติเข้มข้นมาก วิธีสั่งก็เลือกเนื้อกว่า มีทั้ง แกะ หมู ไก่ และผัก สำหรับผมชองหมูฟุราโนะ จากนั้นก็เลือกปริมาณข้าว ระดับความเผ็ด และเครื่องเคียง งานนี้ทั้งอร่อยทั้งอิ่ม มาถึง Sapporo ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ กินเสร็จก็เดินย่อยชมเมืองกันไปเรื่อยๆ ขอกลับโรงแรมไปแช่น้ำอุ่นๆตีพุงกันก่อน
[CR] เค้าพาเที่ยว ตัวเองพากิน ภาค Sapporo - Tokyo
ครั้งนี้พวกเราเดินทางกับสายการบิน Air asiaX เราได้จองได้ในราคาไป-กลับ คนละ 9880 B ลงที่ Narita แล้วค่อยต่อเครื่องของ Vanila Air ไป-กลับ New chitose 4 คนในราคา 23440 Y ที่พักตกคืนหละประมาณ 2000 กว่าบาทต่อห้อง วางแผนท่องเที่ยวหลักๆ 2 เมืองคือ Sapporo กับ Tokyo แต่จะเน้นหนักตือ การไปหาของกินอร่อยๆ รอบนี้จึงวางเงินกองกลางไม่รวมค่าเครื่องบินกับที่พัก คนละ 30000 บาท
Day 1 (20 Nov 17)
พวกเรานัดรวมพลกันเพื่อ Chack-in ที่สนามบินดอนเมืองตอน 3 ทุ่ม เครื่องขึ้น ตอน 5 ทุ่ม 45 แนะนำให้เพื่อนๆ Chack-in ล่วงหน้า ผ่าน web หรือ ตู้ของ Air asia กันก่อน และเผื่อเวลามาสนามบินอย่างน้อย 2-3 ชม. เมื่อโหลดกระเป๋าและผ่าน ตม.ของไทยเสร็จสิ้น ก็เข้ามาเดินเล่นรอขึ้นเครื่องกันใน Duty free ปล.เดี๋ยวนี้ไม่ต้องกรอกข้อมูลในใบ ตม.แล้ว ง่ายและเร็วขึ้นแยอะมาก พวกเราเข้ามาเดินเล่นรอขึ้นเครื่อง จึงใช้บริการ King power Lounge ใครมีบัตรสามารถพาเพื่อนเข้าไปได้อีก 2 คน มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม และที่นั้งอย่างดี แนะนำให้เพื่อนๆใช้บริการกันนะครับ นั้งเล่นเกือบถึงเวลาขึ้นเครื่อง แล้วเจอกันที่ Japan ครับ
Day 2 (21 Nov 17)
เดินทางโดยเครื่องบิน Air asiaX มาประมาณ 6 ชม.กว่าๆ ก็มาถึงสนามบินนาริตะ ตอน 8.00 โมงเวลาญี่ปุ่น กับอุณหภูมิ 14 องศา เย็นสบาย ใช้เวลากับการตรวจเอกสารไม่มาก ที่นี้มีระบบจัดการอย่างรวดเร็ว แต่เราจะไปเสียเวลากันที่ศุลกากรนิดหน่อย ที่มีการขอตรวจสอบกระเป๋าใบใหญ่ๆของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากันอย่างมาก ผมสอบถามดูถึงรู้ว่า มีการจับนักท่องเที่ยวที่มาจากไทยขนยาเสพติดเข้าญี่ปุ่นได้หลายราย จึงตรวจเข้มขึ้น แต่พวกเราไม่มีปัญหาให้ความร่วมมือเต็มที่ เสร็จก็เข้าประเทศญี่ปุ่นได้อย่างเรียบร้อย ออกจาก Terminal 2 เราต้องไปขึ้นเครื่องที่ Terminal 3 ออกประตูทางซ้ายมือ ขึ้น Free bus ที่ป้ายหมายเลข 1 ไปลง Terminal 3 เครื่องของ Vanilla air ที่จะไป New Chitose ออกเวลา 12.45 มีเวลาอีกเกือบ 3 ชม. ได้เวลากินมื้อแรกที่สนามบินกัน แนะนำมี 2 ร้านที่อร่อย ร้านแรกเป็นเมนู อาหารชุด+ของทอด และอีกร้านเป็นเมนูจัมปง (ราดหน้า) แถวนี้ยังมีร้านค้าให้เดินเล่นได้ไม่น่าเบื่อ Vanilla air จะ Chack-in ก่อนประมาณ 1 ชม. ที่สำคัญ น้ำหนักกระเป๋าทั้งที่โหลดและถือขึ้นเครื่องต้องไม่เกินที่กำหนด เท่านั้น รอบนี้เห็นคนญี่ปุ่นซื้อน้ำหนักเพิ่มกันแยอะมาก แต่หลังนี้เครื่องมี Delay นิดหน่อยกว่าจะออกได้ก็เกือบบ่าย 2
ใช้เวลาเดินทางมา สนามบิน CTS ประมาณ 2 ชม. แค่ลงมาที่ Chitose ก็เจอกับอากาศหนาว 4 องศา เวลาประมาณ บ่าย 4 แล้ว เราเลือกเดินทางโดย รถไฟ JR เข้า Sapporo 1070 Y ต่อคน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึงสถานี JR Sapporo ต่อรถใต้ดินสาย Toho line ไปลง Hosusukino 200 Y ออกที่ทางออก1 เดินทางเข้าที่พัก Sapporo Tobu Hotel เก็บของเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่จะต้องกินกันแล้ว มื้อแรกที่ Sapporo ของเราต้องเป็น ปู เท่านั้น และร้านที่เราจะไปร้านแรกคือ Nanda Buffet แนะนำให้ที่โรงแรมโทรจองเวลาให้ก่อน walk-in เข้าไปอาจไม่ได้กินครับ ร้านนี้คนแยอะมาก โชคดีเราได้เวลาประมาณ 18.30 เดินจาก โรงแรมไปประมาณ 15 นาทีก็ถึง ร้านจะอยู่ที่ตึก Cyber ชั้นใต้ดิน มีป้ายชัดเจน ในร้านพนักงานมีพูดไทยได้ จึงไม่ลำบาก อย่างแรกคือต้องไปจ่ายเงินที่ตู้หน้าร้านก่อน รอบนี้ ตกคนละ 6000 Y กับเวลาในการกินอย่างจุใจ 100 นาที พนักงานจะเดินบอกและแนะนำอาหาร พาเราไปที่โต๊ะ และเริ่มกันได้เลย งานนี้ปูหมดไปอย่างน้อยก็ 10 ตัว อย่างอื่นอีกแยอะมาก แต่ที่ไม่ควรไปแตะต้องคือพวก ซูชิ ข้าวแยอะไปหน่อย ที่นี้มีน้ำจิ้มซีฟู๊ดให้ด้วย ไม่ต้องพกน้ำจิ้มมานะครับ พวกเรา 4 คนใช้เวลาการกินกันเต็มที่ จนเหลือแค่ 3 นาที ก็ออกไปเดินเล่นกันให้ย่อยที่ย่าน Susukino แต่เมื่อทานของคาวก็ต้องมีของหวานต่อ เราเดินมาถึงย่าน Tanukikoji แถวนี้จะมีร้านเครปเย็นอร่อยอยู่ร้านหนึ่งที่ห้ามพลาดคือ Marion Crepes คนจะต่อแถวแยอะมาก อากาศเริ่มหนาวจนเหลือไม่ 1 ก็ 2 องศา แต่สาวๆก็ยังอยากกินกัน วันแรกที่ Sapporo กับมื้ออาหารที่สุดอร่อยจนกินกันต่อไม่ไหว งานนี้จึงต้องขอกลับเข้าที่พัก ไปแช่น้ำอุ่นๆ คล้ายเหนื่อยกันก่อน แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้ Hokkaido
DAY 3 (22 Nov 17 )
วันนี้พวกเราตื่นกันเร็วหน่อย กินอาหารเช้าสุดอร่อยที่โรงแรมเสร็จ ก็เดินทางไปเที่ยวกันต่อ จุดหมายในวันนี้คือ เมืองOTARU เริ่มต้นเดินทางจากสถานี JR SAPPORO ไป สถานี OTARU 640 Y ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที วิวรถไฟไป Otaru นี้ฝั่งขวาจะเลียบทะเล สวยงามมาก ถึงที่สถานีOtaru ประมาณ 9.00 โมงเช้า ที่แรกที่แนะนำตลาดปลาOtaru ออกจาหน้าสถานีจะอยู่ทางซ้ายมือ ทางขึ้นจะเป็นเนินเล็กๆ เดินขึ้นไปจะเห็นทางเข้าชัดเจน ตลาดปลาที่นี้จะไม่ใหญ่เท่าที่ Sapporo แต่ที่มีปูให้เลือดดู หยิบถ่ายรูปได้ ขออนุญาติเจ้าขายร้านได้ครับ ใจดีกันมากๆ นอกจากนี้หากอยากกินของสดๆ ก็เลือกปู หรือ หอย ตามราคา/น้ำหนัก ให้ทางร้านทำเป็น ซาซิมิ หรือ ย่าง ได้เลยครับ รสชาติสดและอร่อยมาก
เดินเที่ยวตลาดปลากันซักพัก เราเดินลงมาตามถนนหน้าสถานี จะไปสุดที่คลองOtaru ระหว่างทางก็มีหลายจุดที่ให้สาวๆโพสท่าถ่ายรูปได้ตลอด งานนี้กว่าจะเดินถึงคลองเกือยครึ่งชั่วโมงเลย ที่คลองOtaru จะมีวิว โกดังเก่า สะพาน คลองน้ำ ขอบฟ้าและแถมด้วยหิมะ จัดว่าลงตัวสำหรับการถ่ายภาพจริงๆ แต่คงต้องหามุมที่มีคนน้อยๆหน่อย ซึ่งก็ยากนิด หลังจากถ่ายภาพ เดินชมคลองชมโกดังและท่าเรือแล้ว สิ่งที่จะพลาดไม่ได้เลยคือ ไปลองชิม เมล่อนไอศครีม ฝั่งตรงข้ามคลอง Otaru จะเห็นเป็นร้านค้าอยู่ ร้านขายเมล่อนไอศครีมจะอยู่ข้างในสุด สังเกตุทางเข้าจะเป็นประตูหมุน ที่นี้แนะนำเลยครับ เลือก icecream รสเมล่อน เท่านั้นอร่อยมากๆ ถ้าให้คุ้มก็ขนาดใหญ่เลยครับ เมล่อนครึ่งลูก
หลังจากของหวานแล้ว งานนี้ก็ขอของคาวตามมาบ้าง ใกล้เที่ยงแล้วต้องเติมพลังใส่ท้อง แนะนำร้านนี้เลยครับ เป็นร้านที่เดินหากันมั่วๆเข้าไป แต่อร่อย สด และราคาไม่แพง ร้านจะอยู่ตรงข้ามเยื้องร้าน Le tao ร้านแรก และตรงข้ามจะมีร้านอาหารทะเลอยู่ ที่ร้านนี้จะมีเชฟทำอาหารให้เห็นกลางร้าน โดยเฉพาะปลาย่าง กลิ่นหอมมาก งานนี้พวกเรา 4 คน แต่สั่งกันเหมือนมา 6-7 คนเลยที่เดียว ค่าเสียหายที่ร้านนี้ประมาณ 12400 Y แต่ยอมรับคุ้มสุดๆครับ โดยเฉพาะข้าวหน้าปลาดิบ และ ปลาย่าง อร่อยมากๆ และทานมื้อเที่ยงอิ่มแล้ว เรามองไปร้านตรงข้ามก็อดไม่ได้ที่จะเติมของหวานแสนอร่อยจากร้าน Le tao จัดว่าเป็นสวรรค์ของหวานสำหรับสาวๆเลย เข้ามาก็สั่ง icecream เพลเซล ชีทเค้ก กันเลย ยอมรับเรื่องรสชาติ ไม่หวานมาก หอมชีทและแป้งก็กรอบพอดี ให้ 4 ผ่านเลยครับ แต่จริงๆแค่เดินชิมขนมที่มีให้ในร้านก็อิ่มแล้ว มีให้ชิมแยอะมาก
หลังจากกินกันจนอิ่มก็เดินเที่ยวกันมาเรื่อยๆ จนถึง Otaru music box museum จะมีนาฬิกาไอน้ำอยู่หน้าร้าน จะพ่นตามเวลา คนรอแยอะมาก ข้างในจะมีของหน้ารักๆโดยเฉพาะกล่องดนตรีมีหลากหลายทั้งเก่าและใหม่ โดยเฉพาะชั้น 3 มีกล่องดนตรีเก่าๆแยอะมาก สามารถขอฟังได้ แต่ราคาสูงมาก ใช้เวลาเดินเที่ยวใกล้พักใหญ่ ก็ต้องขอกลับ กันก่อน ที่นี้มืดเร็วมาก แค่ 4 โมงก็เริ่มมืดแล้ว เรากลับมาสถานีOtaru และเดินทางกลับ Sapporo ชอบมากๆเมือง Otaru
กลับมาถึง Sapporo ก็เกือบ 6 โมงเย็นก็ต้องหาอะไรกินกันต่อ จุดหมายแรกคือ ตรอกราเมง ที่ Susukino หาไม่ยาก มีร้านราเมงหลายร้าน ทุกร้านจะมีราเมงรสเด็ดต่างกันออกไป เราเดินเข้าไปมั่วๆอีกแล้ว เพราะเห็นลุงเจ้าของร้านวัยรุ่นดี ที่นี้เราสั่งกันคนละแบบ แลกกินชิม ยอมรับในน้ำซุปเลยครับถึงซุปกระดูกหมูมาก อยากจะกินอีกชามแต่ต้องเก็บท้องไว้กินต่ออีกร้าน ที่ต่อไปที่เราจะไปกินกันคือ ร้านซุป เดินผ่านย่าน Susukino ถ่ายรูปกันหน่อย ที่นี้เหมือนใจกลางเมือง แสงสีและคนเดินกันมาก
เดินมาได้สักครู่ก็ถึงจุดหมายต่อไป ร้าน Soup curry & dining ร้านนี้ต้องต่อคิวกันหน่อย คนจะแยอะมาก ซุปของที่นี้ ลืมข้าวแกงกะหรี่ที่เคยกินไปได้เลย น้ำซุปจะใสกว่า แต่รสชาติเข้มข้นมาก วิธีสั่งก็เลือกเนื้อกว่า มีทั้ง แกะ หมู ไก่ และผัก สำหรับผมชองหมูฟุราโนะ จากนั้นก็เลือกปริมาณข้าว ระดับความเผ็ด และเครื่องเคียง งานนี้ทั้งอร่อยทั้งอิ่ม มาถึง Sapporo ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ กินเสร็จก็เดินย่อยชมเมืองกันไปเรื่อยๆ ขอกลับโรงแรมไปแช่น้ำอุ่นๆตีพุงกันก่อน
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น