คือเราสงสัยเกี่ยวกับการช่วยเหลือจากสถานการณ์การจราจรติดขัดเล็กน้อย
เราคิดว่าเส้นทางที่ควรจะขยายมากกว่า คือเส้นทางที่มีปัญหาทางการจราจรมากที่สุด ความเร็วเฉลี่ยในเส้นทางต่ำที่สุด
และมีปัจจัยที่ทำให้ความเร็วที่ใช้ได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ซึ่ง ทล.210 ช่วงนากลาง-วังสะพุง อันนี้เราให้ค่าความเร็วเฉลี่ยที่ทำได้คือ ประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และต่ำลงไปได้ถึง 30 กม./ชม.
เส้นทางเป็นเส้นทางเชื่อมเหนือ-อิสานตอนบน ทำให้มีปริมาณรถเป็นจำนวนมาก ซ้ำเติมด้วยรถบรรทุกอ้อย และรถบรรทุกหิน ซึ่งในเส้นทางมีโรงโม่หินอยู่หลายโรง ซึ่งรถบรรทุกเหล่านี้ทำความเร็วได้อย่างมากประมาณ 70 กม/ชม.
หากมีหลายคัน ความเร็วจะตกลงมาอยู่ที่ 40-50 กม./ชม.
ซ้ำหนักที่สุด ถ้ามีรถอีแต๋นนำหน้ารถสิบล้อ ความเร็วของเส้นทางจะอยู่ที่ 30 กม./ชม.
โอกาสแซง หายากมาก คือแทบไม่มีเลย ทำให้รถสะสมเกาะกันเป็นขบวนยาวนับกิโล ซึ่งเราที่ใช้งานเส้นทางสายนี้ก็ถือว่าเส้นทางสายนี้ทำให้หนักใจเวลาใช้มากๆ เราอยากให้โครงการ 4 ช่องจราจรสายนี้เสร็จตลอดระยะทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่มีการก่อสร้างเพียงน้อยนิดต่อครั้ง ประมาณครั้งละไม่ถึง 10 กม. โครงการเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซึ่งเรามองว่าอาจจะไม่พอ
เมื่อมีข่าวว่า ทล.24 ขยายเป็น 4 ช่องจราจรในระยะทางกว่า 70 กม. ในคราวเดียว และยังต่ออีก 118 กม. ในคราวเดียวถัดจากนั้นอีกเช่นกัน
แล้วการทำทางถือว่าเป็นมาตรฐานมากกว่า คือสร้างทางใหม่ด้านข้างของถนนข้างใดข้างหนึ่ง เกาะกลางถนนเป็นแบบร่อง แตกต่างจากของ ทล.210(ยกเว้นช่วงหนองบัวลำภู-นาคำไฮ-นากลาง)ที่ก่อสร้างแบบขยายแค่ช่องจราจรออกทางด้านข้าง ถนนเป็นแบบเกาะเนิน หรือไม่ก็เป็นเกาะแบบเกาะเทียม คือมีแค่การตีเส้นแทยงเป็นเขตปลอดภัยเท่านั้น
ซึ่งทำให้เรามองว่า เราได้น้อยกว่าเส้นทาง 24 มันทำให้เรารู้สึกน้อยใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และก็ทำให้ความต้องการที่จะให้ขยาย ทล.210 เป็น 4 ช่องจราจรของเรานั้นมันก็มากกว่าเดิม และเราต้องการให้ทำแบบก่อสร้างหลายตอนพร้อมกันเหมือนที่ทำกับ ทล.24 เป็นการสร้างทางใหม่ทางด้านข้างด้านใดด้านหนึ่ง ใช้เกาะกลางถนนแบบร่อง
ซึ่งระยะทาง 2 ช่องจราจร ที่เหลืออยู่ของเส้นทางสาย 210 วังสะพุง-อุดรธานี เหลืออยู่ประมาณ 50-55 กม.
แต่เมื่อเราไม่เคยใช้ ทล.24 เลย เราก็อยากรู้ว่า เส้นทางช่วง นางรอง-ปราสาท-ขุขันธ์ กับเส้นทางสายนี้อันไหน มีความเร็วที่ทำได้เฉลี่ยอันไหนสูงกว่ากัน
ถ้าหนักกว่า ก็อาจจะทำให้เราผ่อนความรู้สึกลงไปบ้าง
ทล.24 ช่วงนางรอง-ปราสาท-ขุขันธ์ (ก่อนขยายเป็น 4 ช่องจราจร) กับ ทล.210 ช่วงนากลาง-วังสะพุง เส้นทางสายไหนรถติดหนักกว่ากัน
เราคิดว่าเส้นทางที่ควรจะขยายมากกว่า คือเส้นทางที่มีปัญหาทางการจราจรมากที่สุด ความเร็วเฉลี่ยในเส้นทางต่ำที่สุด
และมีปัจจัยที่ทำให้ความเร็วที่ใช้ได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ซึ่ง ทล.210 ช่วงนากลาง-วังสะพุง อันนี้เราให้ค่าความเร็วเฉลี่ยที่ทำได้คือ ประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และต่ำลงไปได้ถึง 30 กม./ชม.
เส้นทางเป็นเส้นทางเชื่อมเหนือ-อิสานตอนบน ทำให้มีปริมาณรถเป็นจำนวนมาก ซ้ำเติมด้วยรถบรรทุกอ้อย และรถบรรทุกหิน ซึ่งในเส้นทางมีโรงโม่หินอยู่หลายโรง ซึ่งรถบรรทุกเหล่านี้ทำความเร็วได้อย่างมากประมาณ 70 กม/ชม.
หากมีหลายคัน ความเร็วจะตกลงมาอยู่ที่ 40-50 กม./ชม.
ซ้ำหนักที่สุด ถ้ามีรถอีแต๋นนำหน้ารถสิบล้อ ความเร็วของเส้นทางจะอยู่ที่ 30 กม./ชม.
โอกาสแซง หายากมาก คือแทบไม่มีเลย ทำให้รถสะสมเกาะกันเป็นขบวนยาวนับกิโล ซึ่งเราที่ใช้งานเส้นทางสายนี้ก็ถือว่าเส้นทางสายนี้ทำให้หนักใจเวลาใช้มากๆ เราอยากให้โครงการ 4 ช่องจราจรสายนี้เสร็จตลอดระยะทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่มีการก่อสร้างเพียงน้อยนิดต่อครั้ง ประมาณครั้งละไม่ถึง 10 กม. โครงการเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซึ่งเรามองว่าอาจจะไม่พอ
เมื่อมีข่าวว่า ทล.24 ขยายเป็น 4 ช่องจราจรในระยะทางกว่า 70 กม. ในคราวเดียว และยังต่ออีก 118 กม. ในคราวเดียวถัดจากนั้นอีกเช่นกัน
แล้วการทำทางถือว่าเป็นมาตรฐานมากกว่า คือสร้างทางใหม่ด้านข้างของถนนข้างใดข้างหนึ่ง เกาะกลางถนนเป็นแบบร่อง แตกต่างจากของ ทล.210(ยกเว้นช่วงหนองบัวลำภู-นาคำไฮ-นากลาง)ที่ก่อสร้างแบบขยายแค่ช่องจราจรออกทางด้านข้าง ถนนเป็นแบบเกาะเนิน หรือไม่ก็เป็นเกาะแบบเกาะเทียม คือมีแค่การตีเส้นแทยงเป็นเขตปลอดภัยเท่านั้น
ซึ่งทำให้เรามองว่า เราได้น้อยกว่าเส้นทาง 24 มันทำให้เรารู้สึกน้อยใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และก็ทำให้ความต้องการที่จะให้ขยาย ทล.210 เป็น 4 ช่องจราจรของเรานั้นมันก็มากกว่าเดิม และเราต้องการให้ทำแบบก่อสร้างหลายตอนพร้อมกันเหมือนที่ทำกับ ทล.24 เป็นการสร้างทางใหม่ทางด้านข้างด้านใดด้านหนึ่ง ใช้เกาะกลางถนนแบบร่อง
ซึ่งระยะทาง 2 ช่องจราจร ที่เหลืออยู่ของเส้นทางสาย 210 วังสะพุง-อุดรธานี เหลืออยู่ประมาณ 50-55 กม.
แต่เมื่อเราไม่เคยใช้ ทล.24 เลย เราก็อยากรู้ว่า เส้นทางช่วง นางรอง-ปราสาท-ขุขันธ์ กับเส้นทางสายนี้อันไหน มีความเร็วที่ทำได้เฉลี่ยอันไหนสูงกว่ากัน
ถ้าหนักกว่า ก็อาจจะทำให้เราผ่อนความรู้สึกลงไปบ้าง