บทความนี้เป็นเรื่องนอกตำรา แต่ผมคิดว่ามีประโยชน์มากในการพัฒนาภาษาอังกฤษด้วยตนเอง
ถ้าไม่อยากเรียนช้ากว่าคนอื่น 2 เท่าคุณต้องรู้จักวางกลยุทธ์ เพราะการเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่มีตารางเวลา ไม่มีแนวทาง ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือ การวางแผนที่ดีจะช่วยประหยัดการเรียนให้ประสบความสำเร็จไม่ช้าเกินกว่าความจำเป็น
กลยุทธ์การเรียนที่ผมจะมาแนะนำในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองวันนี้มี 7 ประเภท ซึ่งผมขอเปรียบเปรยกับธาตุต่างๆเพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายนะครับ เรามาเริ่มกันเลย
1
กลยุทธ์สายหิน
สำหรับวิธีดั้งเดิมแต่ได้ผลตั้งแต่รุ่นเก่าจนกระทั่งปัจจุบัน ได้แก่สายหิน สายถึก นั่นคือการอ่านตำราไวยากรณ์เล่มหนาสุดในห้องสมุดหรือ กินพจนานุกรมเป็นอาหาร
หนังสือไวยากรณ์และคำศัพท์ภาษาอังกฤษสมัยนี้หลากหลายมาก มีทั้งเหมาะสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ หรือปรับตามพื้นฐาน ผู้เรียนเช่น เริ่มจากภาษาไทย หรือต้องการใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่ม
ยังคงปฏิเสธไม่ได้ว่า grammar ในภาษาอังกฤษมี rule ให้จำมากมาย รวมถึง exception ต่างๆ
ซึ่งถ้าคุณเป็นผู้เรียนสายหิน ก็คงไม่ใช่เรื่องยากกับการจำ grammar , vocabulary
ข้อได้เปรียบคือเมื่อทำข้อสอบคุณจะรู้ทุกเรื่อง เหมือนหนังเรื่อง inception
ทำไมข้อสอบออกแบบนี้ คนออกตั้งใจจะหลอกอะไร ข้อสอบวัดความสามารถด้านไหน ข้อไหนถูกสุดผิดที่สุด
แต่ข้อเสียคือถ้าจำไม่ได้หรือจำสลับกัน ก็เสีย dog เหมือนกัน
นักเรียนสายหินมักจะเป็นแหล่งอ้างอิงของเพื่อนๆ ถามอะไรเหมือนกับถามครูอังกฤษโดยตรง ไม่ว่านักเรียนสายหินจะรู้จริงหรือรู้ไม่จริง เพื่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างไม่สงสัย
If Clause , 12 tenses , article , idioms ก็เป็นแค่วิชาที่บางที นักเรียนสายหินพูดก็ทำให้รู้สึกถึง overcorrect
นักเรียนสายหินต้องใช้ความอดทน พลังหรือบางครั้งพรสวรรค์ก็มีส่วนเกี่ยวข้อง
2
กลยุทธ์สายแม่น้ำ
นักเรียนภาษาอังกฤษสายน้ำคือนักเรียนแห่งโชคชะตา ผู้มีเพื่อน คนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือแม้กระทั่งแฟนที่เป็นคนต่างชาติ เป็นผู้สอนภาษา
นักเรียนสายแม่น้ำมีคนรู้จักมากมาย มีเส้นสาย สภาพแวดล้อมมักบังคับให้พูดภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะไทยคำอังกฤษคำ หรือพูดภาษาอังกฤษแล้วผิด เพื่อนก็จะแก้ให้
นักเรียนสายแม่น้ำอาจจะเคยอ่อนแอภาษาอังกฤษมาก่อน แต่เมื่อฟังพูดอ่านเขียนบ่อยๆ ความคิดที่ออกจากสมองด้านภาษาจะแทรกไวยากรณ์และคำศัพท์ที่จำเป็นในการเอาชีวิตรอดเข้าไป ทำให้พูดฟังภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้คล่องแคล่วกว่านักเรียนสายอื่น
นักเรียนสายแม่น้ำมักต้องอาศัยโชคชะตา เช่นการเข้าทำงานที่บริษัทข้ามชาติ หรือทำงานในย่านคนต่างชาติเยอะ
แต่ก็ไม่เสมอไป ในปัจจุบัน เราสามารถเข้าถึงคนต่างชาติได้หลายช่องทาง เช่นการใช้ application LINE , Facebook group , What's app เว็บไซต์อย่าง interpals.net , livemocha , Unilang เป็นต้น
รวมถึงเข้าค่ายแลกเปลี่ยนกับเพื่อนต่างชาติ (ที่ประเทศไทยราคาจะไม่แพง) เช่น exchage , boot camp , volunteer เป็นต้น
หากใครสนใจโค้ชแบบนี้อาจเริ่มต้นจาก skill Writing แบบ chat หรือ Speaking ก็ได้
ข้อดีของนักเรียนสายแม่น้ำคือการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องอ่านหนังสือมากมาย
3
กลยุทธ์สายไฟ
โค้ชสายไฟ หมายถึงต่อสู้ แข่งขัน
นักเรียนแบบนี้มักผ่านสนามสอบมาหลายสนาม
ผมเชื่อว่าในระบบการศึกษาประเทศไทย ทุกคนคงผ่านสนามสอบมาหลายครั้ง การสอบย่อย สอบ grammar ,vocabulary , error , essay ซึ่งแต่ละประเภทจะใช้ทักษะที่แตกต่างกันไป
อีกทั้งในปัจจุบันมีการสอบวัดความสามารถภาษาอังกฤษมากมาย และมีหลายจุดประสงค์
บางอย่างจัดสอบภายในประเทศ บางอย่างจัดสอบโดยสถาบันสากล
บางอย่างเสียเงิน บางอย่างไม่เสียเงิน
บางอย่างใช้เพื่อเรียนต่อ เพื่อสมัครงาน และอีกหลายๆจุดประสงค์
ข้อดีของนักเรียนที่มีโค้ชแบบนี้มักมี experience ที่หลากหลาย การสอบแบบ listening , writing , reading ,speaking
ในปัจจุบันมีหนังสือและคอร์สภาษาอังกฤษตามสถาบันต่างๆ ที่จัดทำขึ้นมาอ้างอิงตามการสอบ เช่น หนังสือจับผิด error , หนังสือ
แต่ข้อเสียคือใครที่สอบบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบที่จัดโดยสถาบันสากล มักจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย
ตัวอย่างการสอบเช่น TOEFL , TOEIC , IELTS , SAT
สำหรับใครที่อยากเป็นนักเรียนสายนี้ ขอแนะนำให้ฝึกตามธรรมชาติของการสอบต่างๆ เพราะคุณจะได้ประสบการณ์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้มี pre test online ทำได้ทาง internet แบบฟรีๆ
แต่สำหรับวิธีการเตรียมตัวสอบ คงไม่ได้พูดรายละเอียดเบื้องลึกไว้ ณ ที่นี้เพราะมีความจำเพาะสูงแต่สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่เพจ English KNOW NOW ได้นะครับ
4
กลยุทธ์สายหมอก
โค้ชสายนี้มีความเปลี่ยนแปลงสูง เหมือนกับนักเรียนที่อาศัยติวเตอร์หลายๆคอร์ส
ส่วนใหญ่เราจะเห็นนักเรียนแบบนี้ตามกวดวิชาติวเตอร์
กวดวิชาในปัจจุบันมีความหลากหลายสูงเพื่อให้เข้ากับ style การเรียน , วิถีชีวิตของนักเรียน
เช่นคอร์ส เจาะลึก grammar , เจาะลึก vocabulary
หรือแบ่งตามพื้นฐานภาษาอังกฤษเช่น preintermediate, intermediate หรือ advance
แน่นอนว่าการเรียนแบบนี้จะได้เจาะลึกถึงแก่นของภาษาอังกฤษจากผู้ชำนาญในการสอนและมีประสบการณ์ บางสถาบันใช้ native speaker เป็นผู้สอน
(แต่ผมเห็นว่ามีบางสถาบันเหมือนกันที่จ้างครูที่ไม่ได้มาจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเช่นอเมริกาใต้ , ยุโรปบางประเทศ ต้องดูให้ดี)
นอกจากนั้นบางสถาบันยังจัดสอน crash course ที่สอนจำเพาะกับการสอบ ในเวลาสั้นๆ เช่น ตั้งใจเตรียมสอบ TOEFL ใน 1 เดือนเป็นต้น ตามที่เคยกล่าวไว้แล้ว ซึ่งก็เป็นข้อได้เปรียบที่จะได้ทำข้อสอบเก่าและฝึกทักษะที่จำเป็นอย่างเข้มข้น
ผมเองก็เรียนภาษาอังกฤษจาก รูปแบบนี้เหมือนกัน เป็นศิษย์หลายอาจารย์ 555 ก็ยังชอบวิธีการสอนของอาจารย์หลายๆท่าน ซึ่งถ้าใครสนใจผมก็คิดว่าคงได้ความประทับใจแบบเดียวกัน
5
กลยุทธ์สายมืด
วิธีนี้เป็นวิธีที่น่าสนใจและเพิ่งเกิดใหม่ตามเทคโนโลยี ผมอยากเรียกว่า dark side แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายแบบในหนังนะครับ 555
นั่นก็คือการฝึกกับ youtube
เชื่อไหมครับว่า youtube เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ใหญ่มากถ้าเรารู้วิธีเข้า
ปัจจุบัน channel ต่างๆ ใน youtube ต่างผลิต content แข่งขันกันแย่งผู้ชม ทำให้ได้เทคนิคหลากหลายมากสำหรับผู้เรียนในการพัฒนาภาษาอังกฤษ
ส่วนตัวผมชอบใช้ BBC learning English เพราะเป็น channel ที่ใหญ่และมีเทคนิคการสอนดี
Skill ที่ได้รับคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นการ listening แต่ในความเป็นจริงเราสามารถฝึก reading , writing , speaking ได้ด้วย ตอนที่ผมสอบผมก็มาใช้บริการ youtube เหมือนกัน
นอกจาก channel สอนภาษาอังกฤษแล้วสื่อพวกเพลง หนัง สารคดี ก็ช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้เหมือนกัน
ข้อดีของวิธีนี้คือไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องลังเลที่จะเริ่มต้น สามารถทำเองได้เลย เก็บเอาไปฟังตอนไหนก็ได้ เป็นวิธีที่สะดวกสบาย เมื่อเทียบกับวิธีอื่น เหมาะกับนักเรียนที่อยู่ติดบ้าน หรือไม่ค่อยมีเวลา
6
กลยุทธ์สายแสง
สายนี้แหละครับเป็นสายชอบของผมเลย นั่นก็คือการดูหนัง ฟังเพลง เป็นภาษาอังกฤษ เหมือนกับแสงจากหน้าจอทีวี 555
โค้ชแบบนี้ผมแนะนำให้เริ่มก็ต่อเมื่อมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว เช่นพูด grammar , vocabulary พอได้บ้าง
เพราะเมื่อดูหนัง ทั้งที่ความจริงเราคิดว่าง่าย แต่ความจริงเป็นเรื่องยากที่จะฟังให้รู้เรื่องทั้งหมด
ควรจะเริ่มฝึกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ถ้าดูหนัง หรือ series ให้เริ่มจากการดู subtitle เป็นภาษาไทยและฝึกฟังภาษาอังกฤษ
สังเกตการใช้คำ บริบท grammar คำที่ใช้บ่อย (ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจพยายามหาคำตอบได้ก็จะดีมาก)
แล้วค่อย เปลี่ยนเป็น subtitle ภาษาไทย
ผมว่าช่วงนี้สำคัญเพราะจะทำให้เรารู้ว่าถ้าพูดภาษาไทยตามนี้ต้องพูดภาษาอังกฤษว่าอะไร รวมทั้งฝึก listening ได้จากความหมายของประโยคที่พอให้เราเดาออกว่า คำนี้น่าจะพูดว่าอะไร
สุดท้ายคือฟังให้ได้แบบไม่มี subtitle ฟังเหมือนคนพูดพูดจริงๆ จะทำให้เราฟังได้อยงเป็นธรรมชาติ
แต่ถ้าเราไม่เข้าใจก็ต้องเปิดฟังใหม่นะ เราจะได้รู้ว่าเขาพูดอะไร อย่าดูแต่ความสนุกความเพลิดเพลินอย่างเดียว
ถ้าฟังเพลงสากลก็ควรอ่าน lyrics ประกอบ
ซึ่งผมแนะนำว่า lyrics ของเพลงสากล มีความหมายดีและหลากหลายมาก
ทำให้เราเข้าใจเลยว่า คำแต่ละคำ ประโยคแต่ละประโยคจะสื่ออะไร เพราะมักเป็นความหมายในทำนองเดียวกันทั้งเพลง
เพลงสากลที่เลือกฟังมีตั้งแต่เพลงช้า เพลงเร็ว เพลง rap แบบไวๆ
ซึ่งผมขอแนะนำให้เริ่มฟังจากเพลงช้าๆ และนักร้องออกเสียงชัดๆเช่นของศิลปิน Taylor Swift , Michael Buble , Katy Perry นะครับ
ส่วนการอ่านนิยาย ก็เป็นทักษะ Reading อย่างเดียว จะช่วยในเรื่องของ vocabulary ผมเริ่มต้นฝึกคำศัพท์ก็จากนิยาย Harry Potter นั่นแหละครับ ทำให้เราเพลิดเพลินและพัฒนาภาษาอังกฤษไปได้ในตัวด้วย
คิดว่าทุกคนน่าจะอยากเป็นนักเรียนด้วยโค้ชแบบนี้นะครับ
7
กลยุทธ์สายทองคำ
สายนี้เป็นสาย pay โดยแท้ครับ 555
ถ้าสมมุติไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจริงๆผมแนะนำให้เรียนเมืองนอก หรือเรียนซัมเมอร์ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ
เพราะนอกจากได้สิ่งแวดล้อมที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีสถาบันที่มีมาตรฐานวางหลักสูตรให้ และที่สำคัญคือได้เพื่อนจากหลากหลายประเทศทั่วโลก สร้างเครือข่ายที่ดีด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเป็นประเทผสที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก
จุดหมายปลายทางยอดนิยมประกอบด้วย อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ซึ่งราคาก็จะเรียงตามลำดับ ขึ้นกับระยะทาง ระยะเวลาของคอร์ส ค่าที่พัก ค่าครองชีพ และชื่อเสียงของสถาบันสอนภาษา
ในสมัยนี้มีนายหน้าหลายแห่งที่รับติดต่อสถาบันสอนภาษาในต่างประเทศโดยตรง ซึ่งแน่นอนเราควรเลือกนายหน้าที่มีความน่าเชื่อถือ และมีปรบการณ์เป็นหลัก
ราคาโดยทั่วไปจะอยู่ที่หลักแสนบาท หรือหลักหมื่นบาท ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ
แถมนิดหนึ่งคือ ถ้าคนไหนสนใจ จะมีแคมป์อาสาสมัครทำงานช่วยเหลือตาม การรณรงค์ต่างๆหรือการทำงานเป็นส่วนเสริมไปด้วย ที่มีชื่อเสียงได้แก่ Work travel , UN campaign หรือค่ายระยะสั้น ก็ทำให้ได้ประสบการณ์เช่นกัน
แหมผมละอยากเป็นสายนี้เหลือเกิน 555
ทั้งหมดนี้ผมขอแนะนำให้ทุกคนประยุกต์ใช้ด้วยกันเพราะในแต่ละอย่างมีทั้งข้อดีข้อเสีย ทำให้ต้องประยุกต์ใช้ให้ลงตัว
ผมเชื่อว่าคนที่เรียนภาษาอังกฤษต้องเคยผ่านเส้นทางต่างๆเหล่านี้ แต่อาจไม่ได้สังเกต หรือรู้ว่ามันมีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป
สำหรับใครที่ยังไม่เริ่มต้นแต่มีแรงบันดาลใจผมขอแนะนำให้เริ่มอ่านจากกระทู้เทคนิคการเรียนอันนี้
https://ppantip.com/topic/37117138
แต่ถ้าใครที่กำลังเรียนอยู่ผมแนะนำให้เอาไปใช้ ได้เลยและสามารถอ่านส่วนที่ผมเรียบเรียงต่อได้ที่
https://m.facebook.com/EnglishKNOWNOW/
English KNOW NOW
7 วิธีวางกลยุทธ์แบบเซียน ...เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองให้ประสบความสำเร็จ
ถ้าไม่อยากเรียนช้ากว่าคนอื่น 2 เท่าคุณต้องรู้จักวางกลยุทธ์ เพราะการเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่มีตารางเวลา ไม่มีแนวทาง ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือ การวางแผนที่ดีจะช่วยประหยัดการเรียนให้ประสบความสำเร็จไม่ช้าเกินกว่าความจำเป็น
กลยุทธ์การเรียนที่ผมจะมาแนะนำในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองวันนี้มี 7 ประเภท ซึ่งผมขอเปรียบเปรยกับธาตุต่างๆเพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายนะครับ เรามาเริ่มกันเลย
1 กลยุทธ์สายหิน
สำหรับวิธีดั้งเดิมแต่ได้ผลตั้งแต่รุ่นเก่าจนกระทั่งปัจจุบัน ได้แก่สายหิน สายถึก นั่นคือการอ่านตำราไวยากรณ์เล่มหนาสุดในห้องสมุดหรือ กินพจนานุกรมเป็นอาหาร
หนังสือไวยากรณ์และคำศัพท์ภาษาอังกฤษสมัยนี้หลากหลายมาก มีทั้งเหมาะสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ หรือปรับตามพื้นฐาน ผู้เรียนเช่น เริ่มจากภาษาไทย หรือต้องการใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่ม
ยังคงปฏิเสธไม่ได้ว่า grammar ในภาษาอังกฤษมี rule ให้จำมากมาย รวมถึง exception ต่างๆ
ซึ่งถ้าคุณเป็นผู้เรียนสายหิน ก็คงไม่ใช่เรื่องยากกับการจำ grammar , vocabulary
ข้อได้เปรียบคือเมื่อทำข้อสอบคุณจะรู้ทุกเรื่อง เหมือนหนังเรื่อง inception
ทำไมข้อสอบออกแบบนี้ คนออกตั้งใจจะหลอกอะไร ข้อสอบวัดความสามารถด้านไหน ข้อไหนถูกสุดผิดที่สุด
แต่ข้อเสียคือถ้าจำไม่ได้หรือจำสลับกัน ก็เสีย dog เหมือนกัน
นักเรียนสายหินมักจะเป็นแหล่งอ้างอิงของเพื่อนๆ ถามอะไรเหมือนกับถามครูอังกฤษโดยตรง ไม่ว่านักเรียนสายหินจะรู้จริงหรือรู้ไม่จริง เพื่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างไม่สงสัย
If Clause , 12 tenses , article , idioms ก็เป็นแค่วิชาที่บางที นักเรียนสายหินพูดก็ทำให้รู้สึกถึง overcorrect
นักเรียนสายหินต้องใช้ความอดทน พลังหรือบางครั้งพรสวรรค์ก็มีส่วนเกี่ยวข้อง
2 กลยุทธ์สายแม่น้ำ
นักเรียนภาษาอังกฤษสายน้ำคือนักเรียนแห่งโชคชะตา ผู้มีเพื่อน คนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือแม้กระทั่งแฟนที่เป็นคนต่างชาติ เป็นผู้สอนภาษา
นักเรียนสายแม่น้ำมีคนรู้จักมากมาย มีเส้นสาย สภาพแวดล้อมมักบังคับให้พูดภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะไทยคำอังกฤษคำ หรือพูดภาษาอังกฤษแล้วผิด เพื่อนก็จะแก้ให้
นักเรียนสายแม่น้ำอาจจะเคยอ่อนแอภาษาอังกฤษมาก่อน แต่เมื่อฟังพูดอ่านเขียนบ่อยๆ ความคิดที่ออกจากสมองด้านภาษาจะแทรกไวยากรณ์และคำศัพท์ที่จำเป็นในการเอาชีวิตรอดเข้าไป ทำให้พูดฟังภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้คล่องแคล่วกว่านักเรียนสายอื่น
นักเรียนสายแม่น้ำมักต้องอาศัยโชคชะตา เช่นการเข้าทำงานที่บริษัทข้ามชาติ หรือทำงานในย่านคนต่างชาติเยอะ
แต่ก็ไม่เสมอไป ในปัจจุบัน เราสามารถเข้าถึงคนต่างชาติได้หลายช่องทาง เช่นการใช้ application LINE , Facebook group , What's app เว็บไซต์อย่าง interpals.net , livemocha , Unilang เป็นต้น
รวมถึงเข้าค่ายแลกเปลี่ยนกับเพื่อนต่างชาติ (ที่ประเทศไทยราคาจะไม่แพง) เช่น exchage , boot camp , volunteer เป็นต้น
หากใครสนใจโค้ชแบบนี้อาจเริ่มต้นจาก skill Writing แบบ chat หรือ Speaking ก็ได้
ข้อดีของนักเรียนสายแม่น้ำคือการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องอ่านหนังสือมากมาย
3 กลยุทธ์สายไฟ
โค้ชสายไฟ หมายถึงต่อสู้ แข่งขัน
นักเรียนแบบนี้มักผ่านสนามสอบมาหลายสนาม
ผมเชื่อว่าในระบบการศึกษาประเทศไทย ทุกคนคงผ่านสนามสอบมาหลายครั้ง การสอบย่อย สอบ grammar ,vocabulary , error , essay ซึ่งแต่ละประเภทจะใช้ทักษะที่แตกต่างกันไป
อีกทั้งในปัจจุบันมีการสอบวัดความสามารถภาษาอังกฤษมากมาย และมีหลายจุดประสงค์
บางอย่างจัดสอบภายในประเทศ บางอย่างจัดสอบโดยสถาบันสากล
บางอย่างเสียเงิน บางอย่างไม่เสียเงิน
บางอย่างใช้เพื่อเรียนต่อ เพื่อสมัครงาน และอีกหลายๆจุดประสงค์
ข้อดีของนักเรียนที่มีโค้ชแบบนี้มักมี experience ที่หลากหลาย การสอบแบบ listening , writing , reading ,speaking
ในปัจจุบันมีหนังสือและคอร์สภาษาอังกฤษตามสถาบันต่างๆ ที่จัดทำขึ้นมาอ้างอิงตามการสอบ เช่น หนังสือจับผิด error , หนังสือ
แต่ข้อเสียคือใครที่สอบบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบที่จัดโดยสถาบันสากล มักจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย
ตัวอย่างการสอบเช่น TOEFL , TOEIC , IELTS , SAT
สำหรับใครที่อยากเป็นนักเรียนสายนี้ ขอแนะนำให้ฝึกตามธรรมชาติของการสอบต่างๆ เพราะคุณจะได้ประสบการณ์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้มี pre test online ทำได้ทาง internet แบบฟรีๆ
แต่สำหรับวิธีการเตรียมตัวสอบ คงไม่ได้พูดรายละเอียดเบื้องลึกไว้ ณ ที่นี้เพราะมีความจำเพาะสูงแต่สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่เพจ English KNOW NOW ได้นะครับ
4 กลยุทธ์สายหมอก
โค้ชสายนี้มีความเปลี่ยนแปลงสูง เหมือนกับนักเรียนที่อาศัยติวเตอร์หลายๆคอร์ส
ส่วนใหญ่เราจะเห็นนักเรียนแบบนี้ตามกวดวิชาติวเตอร์
กวดวิชาในปัจจุบันมีความหลากหลายสูงเพื่อให้เข้ากับ style การเรียน , วิถีชีวิตของนักเรียน
เช่นคอร์ส เจาะลึก grammar , เจาะลึก vocabulary
หรือแบ่งตามพื้นฐานภาษาอังกฤษเช่น preintermediate, intermediate หรือ advance
แน่นอนว่าการเรียนแบบนี้จะได้เจาะลึกถึงแก่นของภาษาอังกฤษจากผู้ชำนาญในการสอนและมีประสบการณ์ บางสถาบันใช้ native speaker เป็นผู้สอน
(แต่ผมเห็นว่ามีบางสถาบันเหมือนกันที่จ้างครูที่ไม่ได้มาจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเช่นอเมริกาใต้ , ยุโรปบางประเทศ ต้องดูให้ดี)
นอกจากนั้นบางสถาบันยังจัดสอน crash course ที่สอนจำเพาะกับการสอบ ในเวลาสั้นๆ เช่น ตั้งใจเตรียมสอบ TOEFL ใน 1 เดือนเป็นต้น ตามที่เคยกล่าวไว้แล้ว ซึ่งก็เป็นข้อได้เปรียบที่จะได้ทำข้อสอบเก่าและฝึกทักษะที่จำเป็นอย่างเข้มข้น
ผมเองก็เรียนภาษาอังกฤษจาก รูปแบบนี้เหมือนกัน เป็นศิษย์หลายอาจารย์ 555 ก็ยังชอบวิธีการสอนของอาจารย์หลายๆท่าน ซึ่งถ้าใครสนใจผมก็คิดว่าคงได้ความประทับใจแบบเดียวกัน
5 กลยุทธ์สายมืด
วิธีนี้เป็นวิธีที่น่าสนใจและเพิ่งเกิดใหม่ตามเทคโนโลยี ผมอยากเรียกว่า dark side แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายแบบในหนังนะครับ 555
นั่นก็คือการฝึกกับ youtube
เชื่อไหมครับว่า youtube เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ใหญ่มากถ้าเรารู้วิธีเข้า
ปัจจุบัน channel ต่างๆ ใน youtube ต่างผลิต content แข่งขันกันแย่งผู้ชม ทำให้ได้เทคนิคหลากหลายมากสำหรับผู้เรียนในการพัฒนาภาษาอังกฤษ
ส่วนตัวผมชอบใช้ BBC learning English เพราะเป็น channel ที่ใหญ่และมีเทคนิคการสอนดี
Skill ที่ได้รับคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นการ listening แต่ในความเป็นจริงเราสามารถฝึก reading , writing , speaking ได้ด้วย ตอนที่ผมสอบผมก็มาใช้บริการ youtube เหมือนกัน
นอกจาก channel สอนภาษาอังกฤษแล้วสื่อพวกเพลง หนัง สารคดี ก็ช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้เหมือนกัน
ข้อดีของวิธีนี้คือไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องลังเลที่จะเริ่มต้น สามารถทำเองได้เลย เก็บเอาไปฟังตอนไหนก็ได้ เป็นวิธีที่สะดวกสบาย เมื่อเทียบกับวิธีอื่น เหมาะกับนักเรียนที่อยู่ติดบ้าน หรือไม่ค่อยมีเวลา
6 กลยุทธ์สายแสง
สายนี้แหละครับเป็นสายชอบของผมเลย นั่นก็คือการดูหนัง ฟังเพลง เป็นภาษาอังกฤษ เหมือนกับแสงจากหน้าจอทีวี 555
โค้ชแบบนี้ผมแนะนำให้เริ่มก็ต่อเมื่อมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว เช่นพูด grammar , vocabulary พอได้บ้าง
เพราะเมื่อดูหนัง ทั้งที่ความจริงเราคิดว่าง่าย แต่ความจริงเป็นเรื่องยากที่จะฟังให้รู้เรื่องทั้งหมด
ควรจะเริ่มฝึกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ถ้าดูหนัง หรือ series ให้เริ่มจากการดู subtitle เป็นภาษาไทยและฝึกฟังภาษาอังกฤษ
สังเกตการใช้คำ บริบท grammar คำที่ใช้บ่อย (ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจพยายามหาคำตอบได้ก็จะดีมาก)
แล้วค่อย เปลี่ยนเป็น subtitle ภาษาไทย
ผมว่าช่วงนี้สำคัญเพราะจะทำให้เรารู้ว่าถ้าพูดภาษาไทยตามนี้ต้องพูดภาษาอังกฤษว่าอะไร รวมทั้งฝึก listening ได้จากความหมายของประโยคที่พอให้เราเดาออกว่า คำนี้น่าจะพูดว่าอะไร
สุดท้ายคือฟังให้ได้แบบไม่มี subtitle ฟังเหมือนคนพูดพูดจริงๆ จะทำให้เราฟังได้อยงเป็นธรรมชาติ
แต่ถ้าเราไม่เข้าใจก็ต้องเปิดฟังใหม่นะ เราจะได้รู้ว่าเขาพูดอะไร อย่าดูแต่ความสนุกความเพลิดเพลินอย่างเดียว
ถ้าฟังเพลงสากลก็ควรอ่าน lyrics ประกอบ
ซึ่งผมแนะนำว่า lyrics ของเพลงสากล มีความหมายดีและหลากหลายมาก
ทำให้เราเข้าใจเลยว่า คำแต่ละคำ ประโยคแต่ละประโยคจะสื่ออะไร เพราะมักเป็นความหมายในทำนองเดียวกันทั้งเพลง
เพลงสากลที่เลือกฟังมีตั้งแต่เพลงช้า เพลงเร็ว เพลง rap แบบไวๆ
ซึ่งผมขอแนะนำให้เริ่มฟังจากเพลงช้าๆ และนักร้องออกเสียงชัดๆเช่นของศิลปิน Taylor Swift , Michael Buble , Katy Perry นะครับ
ส่วนการอ่านนิยาย ก็เป็นทักษะ Reading อย่างเดียว จะช่วยในเรื่องของ vocabulary ผมเริ่มต้นฝึกคำศัพท์ก็จากนิยาย Harry Potter นั่นแหละครับ ทำให้เราเพลิดเพลินและพัฒนาภาษาอังกฤษไปได้ในตัวด้วย
คิดว่าทุกคนน่าจะอยากเป็นนักเรียนด้วยโค้ชแบบนี้นะครับ
7 กลยุทธ์สายทองคำ
สายนี้เป็นสาย pay โดยแท้ครับ 555
ถ้าสมมุติไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจริงๆผมแนะนำให้เรียนเมืองนอก หรือเรียนซัมเมอร์ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ
เพราะนอกจากได้สิ่งแวดล้อมที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีสถาบันที่มีมาตรฐานวางหลักสูตรให้ และที่สำคัญคือได้เพื่อนจากหลากหลายประเทศทั่วโลก สร้างเครือข่ายที่ดีด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเป็นประเทผสที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก
จุดหมายปลายทางยอดนิยมประกอบด้วย อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ซึ่งราคาก็จะเรียงตามลำดับ ขึ้นกับระยะทาง ระยะเวลาของคอร์ส ค่าที่พัก ค่าครองชีพ และชื่อเสียงของสถาบันสอนภาษา
ในสมัยนี้มีนายหน้าหลายแห่งที่รับติดต่อสถาบันสอนภาษาในต่างประเทศโดยตรง ซึ่งแน่นอนเราควรเลือกนายหน้าที่มีความน่าเชื่อถือ และมีปรบการณ์เป็นหลัก
ราคาโดยทั่วไปจะอยู่ที่หลักแสนบาท หรือหลักหมื่นบาท ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ
แถมนิดหนึ่งคือ ถ้าคนไหนสนใจ จะมีแคมป์อาสาสมัครทำงานช่วยเหลือตาม การรณรงค์ต่างๆหรือการทำงานเป็นส่วนเสริมไปด้วย ที่มีชื่อเสียงได้แก่ Work travel , UN campaign หรือค่ายระยะสั้น ก็ทำให้ได้ประสบการณ์เช่นกัน
แหมผมละอยากเป็นสายนี้เหลือเกิน 555
ทั้งหมดนี้ผมขอแนะนำให้ทุกคนประยุกต์ใช้ด้วยกันเพราะในแต่ละอย่างมีทั้งข้อดีข้อเสีย ทำให้ต้องประยุกต์ใช้ให้ลงตัว
ผมเชื่อว่าคนที่เรียนภาษาอังกฤษต้องเคยผ่านเส้นทางต่างๆเหล่านี้ แต่อาจไม่ได้สังเกต หรือรู้ว่ามันมีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป
สำหรับใครที่ยังไม่เริ่มต้นแต่มีแรงบันดาลใจผมขอแนะนำให้เริ่มอ่านจากกระทู้เทคนิคการเรียนอันนี้
https://ppantip.com/topic/37117138
แต่ถ้าใครที่กำลังเรียนอยู่ผมแนะนำให้เอาไปใช้ ได้เลยและสามารถอ่านส่วนที่ผมเรียบเรียงต่อได้ที่
https://m.facebook.com/EnglishKNOWNOW/
English KNOW NOW