เรื่องราวของเราอาจจะยาวสักหน่อย แต่อยากให้คนที่ท้อแท้หมดหวัง ลองเข้ามาอ่านดูนะค่ะ แล้วจะรู้ว่า คำว่า “ศรัทธา” แท้จริงแล้วมันยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อเราได้ลิ้มรสความหอมหวานของผลจากความสำเร็จของมัน...
ลองอ่านเรื่องราวของเราดูนะ
เราเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่แยกทางกัน ตั้งแต่เราอยู่ชั้นอนุบาล เราอยู่กับยายและแม่ซึ่งตั้งแต่จำความได้ เราก็เห็นแม่กับยายทะเลาะกันตลอด ซึ่งตอนนั้นเรายอมรับว่าไม่เข้าใจจึงทำได้แค่ยืนร้องไห้เวลาที่เห็นพวกเค้าทะเลาะกัน...
แม่เรารับราชการ จึงต้องออกไปทำงานทุกวัน เเม่เป็นคนหาเงินส่งเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างภายในบ้านทั้งหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเรียนของเราด้วย. ส่วนเริ่องของพ่อนั้น แม่ไม่เคยพูดถึงอีกเลย. ทำให้เราเกรงใจที่จะถาม ถึงแม้ในใจจะมีคำถามเต็มไปหมด...??
พอเราโตขึ้น เรารับรู้ได้ถึงความรุนเเรงภายในบ้าน เห็นแม่กับยายทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นลงมือทำร้ายกัน ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจ เวลาทะเลาะกันจะเสียงดังโวยวายดังลั่นหมู่บ้าน เราได้แต่แอบร้องไห้คนเดียว เพราะทั้งเสียใจและรู้สึกอายบ้านใกล้ๆละแวกนั้นทำให้เราเก็บตัวและไม่ค่อยได้สุงสิงกับคนละแวกหมู่บ้านเท่าใดนัก....
หากคนมองครอบครัวเราจากภายนอกไม่ได้เข้ามาคลุกคลีหรือสัมผัสอะไรมากมาย. อาจจะมองว่าเป็นครอบครัวเล็กๆน่ารักและอบอุ่น ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย
เรากลายเป็นเด็กใจแตก ตอนอายุ 17 ปี เนื่องจากถูกแม่และยายไล่ออกจากบ้านเพราะจับได้ว่ามีแฟนและพลาดพลั้งไปมีอะไรกันขณะที่ยังเรียนหนังสือ. ทำให้แม่และยายรู้สึกอับอายมากในตอนนั้น. ที่ลูกสาวคนเดียวและหลานสาวคนเดียวทำตัวนอกกรอบที่ขีดไว้
เราถูกเลี้ยงดูถือว่าค่อนข้างสบายในระดับนึง. ไม่ได้ถือว่าลำบากกายอะไรมากมายนัก แม่ไปรับไปส่งเวลาไปโรงเรียนทุกวัน ไม่เคยได้ไปไหนกับเพื่อนๆ เลิกเรียนต้องรีบกลับบ้าน. เสาร์อาทิตย์เรียนพิเศษปกติเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป แม่จะสอนเสมอว่าห้ามเถียง ห้ามพูดสอดแทรกเวลาผู้ใหญ่คุยกัน ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยชอบแสดงความคิดเห็นมาตลอด. เพราะแม่จะบอกตลอดว่า เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก เด็กห้ามยุ่ง..??!?!?
จนวันนึงได้เจอกับแฟนคนแรก รู้สึกอบอุ่นในใจแปลกๆ เค้ารับฟังและให้โอกาสเราได้รักได้แสดงความคิดเห็น ได้เป็นตัวของเราเองจริงๆ เหมือนได้เปิดตามองดูโลกภายนอกมากขึ้น จนครอบครัวเราจับได้ และเราถูกคำสั่งให้ตัดขาดจากแฟน โดยถูกยื่นคำขาดให้เลิกทันที ก่อนหน้านี้เราทั้งถูกด่าทอและทำร้ายร่างกายจากครอบครัว. จนเรื่องถึงพัฒนาสังคม เพราะครอบครัวเราเข้าแจ้งความฝ่ายชาย. ข้อหาพรากผู้เยาว์ พัฒนาสังคมเข้ามาสอบถามและเเนะนำเราและเราควรได้รับการเยียวยาทางสภาพจิตใจ หากเราต้องการ. แต่ตอนนั้นเราได้ปฏิเสธไป
วันนั้นเรายังจำได้ดี แม่ตบตีเราและด่าทอเราต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพัก. เพราะเราให้การเข้าข้างฝ่ายชาย
กระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมของใช้ส่วนตัวบางส่วนได้ถูกเอามากองรวมกันไว้หน้าบ้าน และเป็นวันสุดท้ายที่เราก้าวออกจากบ้านมาด้วยวัยเพียง 17 ปี ด้วยเหตุที่เราเลือกผู้ชาย ไม่เลือกครอบครัว เราจึงถูกตัดหางปล่อยวัด. พร้อมกับคำพูดที่ว่า. ให้แฟนมึ_ นะเป็นคนส่งเสียให้เรียน ส่วน ตรู ขอตัดขาดจากความเป็นแม่เป็นลูกกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
หลังจากวันนั้นเราปฏิญาณต่อตัวเองตลอดมาว่า ถึงจะอย่างไร เราต้องเรียนหนังสือให้จบชั้นปริญญาให้ได้... ซึ่งเราเริ่มต้นโดยการมาสมัครเรียนต่อม.ปลายที่ กศน. ใช้เวลา เกือบ 2 ปี พอจบม.ปลาย เราหาข้อมูลในการเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวะ ซึ่งเรา ทั้งเรียนทั้งทำงาน ภาระในการรับผิดชอบต่อตัวเองเพิ่มขึ้น เหนื่อยกาย...แต่มีความสุขมากกกกกก. ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือก. ได้ทำได้คิดในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ไม่ต้องอยู่ในกรอบ และไม่ต้องทนฟังคำดุด่า แต่ถึงอย่างไรเราก็รักครอบครัวนะ. และยังคอยแวะไปเยี่ยมเสมอทุกวัน ซึ่งพอเค้าเห็นเราไม่ทิ้งการเรียน. เค้าก็เริ่มยอมรับในตัวเรามากขึ้น และยอมให้เราเข้าบ้าน...
เราใช้เวลาทั้งหมดในทุกวันของสัปดาห์เป็นเวลารวม 2 ปี หมดไปกับการเรียนและการทำงานควบคู่กัน ซึ่งทางบ้านไม่ได้ส่งเสียแต่อย่างใด ตามที่แม่ได้เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่ยอมส่งเสียเราอีก จากวันนั้นแม่ก็ยังทำตามคำที่พูดได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือทำให้เราย่อท้อนะ เรากลับเอามันมาเป็นแรงผลักดันมากกว่าที่จะทำให้เราก้าวต่อไป
บางครั้งที่หาค่าเทอมแทบไม่ทันก็ได้แต่ฟังเพลง ร้องไห้ กอดหมอน และตอนนั้นแฟนก็อยู่ข้างเราตลอด ช่วยเราได้เท่าที่ช่วย และเค้าก็ไม่เคยทิ้งเรา ส่วนแม่เรา เราเคยบากหน้าไปขอความช่วยเหลือครั้งหนึ่ง แต่กลับถูกปฏิเสธ ด้วยคำพูดคำเดียวว่า ไม่มี แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่เคยไปรบกวนอีกเลย จนเราเรียนจบระดับ ปวส. และหาข้อมูลโดยไม่รอช้า สมัครเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีทันที ซึ่งในวันที่เราเรียนจบระดับ ปวส. วันนั้นที่ทางบ้านเรารู้ จากท่าทางที่แสดงออกทุกคนดูมีความสุขมาก แต่ไม่มีใครพูดว่าอย่างไร แต่เราสามารถรับรู้ได้จากแววตา ส่วนแม่มีช่อดอกไม้สดหนึ่งช่อไปมอบให้ในวันสำเร็จการศึกษาในระดับ ปวส. ของเรา
เราเริ่มเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งตอนนั้นเพื่อๆที่เรียนมัธยมมาด้วยกันเค้าพากันเรียนจบปริญญากันเป็นที่เรียบร้อยกันไปเกือบหมดแล้ว 5555 เราเรียนช้ากว่าเพื่อนอยู่ 2 ปี เราจึงพยายามเร่งตัวเต็มที่จะช้าไม่ได้แล้ว ทั้งทำงานทั้งเรียนเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าเส้นชัยคอยอยู่ตรงหน้า ความพยายามต้องเอาชนะทุกสิ่งอย่างให้ได้ ฮึบมากตอนนั้น
เราเรียนเสาร์-อาทิตย์ โหนรถทัวร์ใช้เวลาในการเดินทางไปกลับ 200 กว่ากิโล จำได้ว่าเคยไปเป็นลมอยู่บนรถทัวร์ 2 ครั้ง แต่ไม่ถึงกับหมดสติ ยังพยายามประคองตัวเองไม่ให้ล้มลง แต่เหมือนหน้ามืดไปหมด หายใจไม่ออก เพราะต้องยืนเบียดกันตลอดทาง ไม่มีที่ว่างให้นั่งเลย ซึ่งที่บ้านเราตอนนั้นแม่เค้าออกรถเก๋งคันใหม่ เพราะเค้าบอกเราว่าไม่มีภาระต้องส่งลูกเรียนเหมือนคนอื่น เลยมีเงินเหลือเก็บไว้ออกรถ แต่เราแทบจะไม่เคยได้นั่งเลย จนถึงปัจจุบันนี้เราก็ไม่แม้แต่จะได้ขับ แต่เราก็ไม่เสียใจหรอก 555++
เราเรียนจบในระดับปริญญาตรีตอนอายุ 24 ปี สอบเข้าทำงานเป็นลูกจ้างในส่วนราชการแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากบ้านมากนัก เงินเดือนหมื่นต้นๆ ที่บ้านนอก จึงตัดสินใจออกรถเก๋งขับไปทำงาน เพราะเราคิดว่าเราได้ทำตามที่เราพยายามสำเร็จแล้ว เราจึงควรจะมอบอะไรเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองบ้าง และการซื้อรถของเราก็ไม่ได้เป็นการรบกวนใครเลย เรารู้สึกภูมิใจกับทุกๆอย่างที่เป็นตัวเรา และเราก็ไม่เคยคิดเสียใจเลยที่ตัดสินใจทำแบบนี้
หลังจากทุกอย่างลงตัว เรียนจบมีงานทำ ช่วงเวลาว่างก็ค้นหาข้อมูลเตรียมสอบเพื่อบรรจุเข้ารับราชการ จนถึงวันที่เราสำเร็จอีกหนึ่งวัน เราใช้เวลาอ่านหนังสือตลอดทั้งเดือน อ่านจนจำได้และเข้าใจ เมื่อลองไปสอบปรากฏว่าสอบติดในลำดับต้นๆ ของการสอบเข้ารับราชการในครั้งนั้น พอทราบข่าว ทุกคนในบ้านทั้งแม่และยายต่างก็ดีใจ ร้องไห้กอดกันใหญ่ จนลืมกันไปเลยด้วยซ้ำว่าครั้งนึงเราเคยเป็นเด็กใจแตกที่ถูกไล่ออกจากบ้าน 555++
เราสอบบรรจุเข้ารับราชการตอนอายุเกือบ 26 ปี จนถึงปัจจุบันเราอายุ 29 ปีแล้ว ชีวิตตอนนี้มีความสุขดีตามประสา เงินเดือนข้าราชการไม่มากมายอะไรแต่เรารักและภูมิใจในอาชีพของเรา ส่วนแฟนคนที่เราคบตอนนั้นแยกทางกับเราตั้งแต่เราเรียนจบ ปวส. แล้วค่ะ ต่างคนต่างเดินตามทางที่ตัวเองรัก แต่ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม และสิ่งที่เค้าเคยช่วยเหลือเราในวันที่เราไม่มีอะไรเลยในวันนั้น มาจนถึงวันนี้เราก็ยังไม่เคยลืม ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เดินร่วมทางกันแล้วก็ตาม แต่เราก็ต่างมีวิถีชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป
เราเพียงแค่อยากจะนำเอาประสบการณ์เหล่านี้มาถ่ายทอดให้คนที่รู้สึกหมดหวัง หมดกำลังใจ อย่าคิดว่าเราไม่เหลืออะไร แต่ให้คิดว่าเราจะต้องก้าวต่อไป โดยขีดเส้นใต้คำว่า “ศรัทธา” เอาไว้ในหัวใจ แค่นั้นพอค่ะ สู้ๆค่ะ สักวันต้องเป็นวันของเรา...
จากเด็กวัยรุ่นใจแตก ชีวิตเปลี่ยนไปแค่ไหน เอากำลังใจมาฝากค่ะ
ลองอ่านเรื่องราวของเราดูนะ
เราเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่แยกทางกัน ตั้งแต่เราอยู่ชั้นอนุบาล เราอยู่กับยายและแม่ซึ่งตั้งแต่จำความได้ เราก็เห็นแม่กับยายทะเลาะกันตลอด ซึ่งตอนนั้นเรายอมรับว่าไม่เข้าใจจึงทำได้แค่ยืนร้องไห้เวลาที่เห็นพวกเค้าทะเลาะกัน...
แม่เรารับราชการ จึงต้องออกไปทำงานทุกวัน เเม่เป็นคนหาเงินส่งเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างภายในบ้านทั้งหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเรียนของเราด้วย. ส่วนเริ่องของพ่อนั้น แม่ไม่เคยพูดถึงอีกเลย. ทำให้เราเกรงใจที่จะถาม ถึงแม้ในใจจะมีคำถามเต็มไปหมด...??
พอเราโตขึ้น เรารับรู้ได้ถึงความรุนเเรงภายในบ้าน เห็นแม่กับยายทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นลงมือทำร้ายกัน ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจ เวลาทะเลาะกันจะเสียงดังโวยวายดังลั่นหมู่บ้าน เราได้แต่แอบร้องไห้คนเดียว เพราะทั้งเสียใจและรู้สึกอายบ้านใกล้ๆละแวกนั้นทำให้เราเก็บตัวและไม่ค่อยได้สุงสิงกับคนละแวกหมู่บ้านเท่าใดนัก....
หากคนมองครอบครัวเราจากภายนอกไม่ได้เข้ามาคลุกคลีหรือสัมผัสอะไรมากมาย. อาจจะมองว่าเป็นครอบครัวเล็กๆน่ารักและอบอุ่น ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย
เรากลายเป็นเด็กใจแตก ตอนอายุ 17 ปี เนื่องจากถูกแม่และยายไล่ออกจากบ้านเพราะจับได้ว่ามีแฟนและพลาดพลั้งไปมีอะไรกันขณะที่ยังเรียนหนังสือ. ทำให้แม่และยายรู้สึกอับอายมากในตอนนั้น. ที่ลูกสาวคนเดียวและหลานสาวคนเดียวทำตัวนอกกรอบที่ขีดไว้
เราถูกเลี้ยงดูถือว่าค่อนข้างสบายในระดับนึง. ไม่ได้ถือว่าลำบากกายอะไรมากมายนัก แม่ไปรับไปส่งเวลาไปโรงเรียนทุกวัน ไม่เคยได้ไปไหนกับเพื่อนๆ เลิกเรียนต้องรีบกลับบ้าน. เสาร์อาทิตย์เรียนพิเศษปกติเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป แม่จะสอนเสมอว่าห้ามเถียง ห้ามพูดสอดแทรกเวลาผู้ใหญ่คุยกัน ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยชอบแสดงความคิดเห็นมาตลอด. เพราะแม่จะบอกตลอดว่า เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก เด็กห้ามยุ่ง..??!?!?
จนวันนึงได้เจอกับแฟนคนแรก รู้สึกอบอุ่นในใจแปลกๆ เค้ารับฟังและให้โอกาสเราได้รักได้แสดงความคิดเห็น ได้เป็นตัวของเราเองจริงๆ เหมือนได้เปิดตามองดูโลกภายนอกมากขึ้น จนครอบครัวเราจับได้ และเราถูกคำสั่งให้ตัดขาดจากแฟน โดยถูกยื่นคำขาดให้เลิกทันที ก่อนหน้านี้เราทั้งถูกด่าทอและทำร้ายร่างกายจากครอบครัว. จนเรื่องถึงพัฒนาสังคม เพราะครอบครัวเราเข้าแจ้งความฝ่ายชาย. ข้อหาพรากผู้เยาว์ พัฒนาสังคมเข้ามาสอบถามและเเนะนำเราและเราควรได้รับการเยียวยาทางสภาพจิตใจ หากเราต้องการ. แต่ตอนนั้นเราได้ปฏิเสธไป
วันนั้นเรายังจำได้ดี แม่ตบตีเราและด่าทอเราต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพัก. เพราะเราให้การเข้าข้างฝ่ายชาย
กระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมของใช้ส่วนตัวบางส่วนได้ถูกเอามากองรวมกันไว้หน้าบ้าน และเป็นวันสุดท้ายที่เราก้าวออกจากบ้านมาด้วยวัยเพียง 17 ปี ด้วยเหตุที่เราเลือกผู้ชาย ไม่เลือกครอบครัว เราจึงถูกตัดหางปล่อยวัด. พร้อมกับคำพูดที่ว่า. ให้แฟนมึ_ นะเป็นคนส่งเสียให้เรียน ส่วน ตรู ขอตัดขาดจากความเป็นแม่เป็นลูกกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
หลังจากวันนั้นเราปฏิญาณต่อตัวเองตลอดมาว่า ถึงจะอย่างไร เราต้องเรียนหนังสือให้จบชั้นปริญญาให้ได้... ซึ่งเราเริ่มต้นโดยการมาสมัครเรียนต่อม.ปลายที่ กศน. ใช้เวลา เกือบ 2 ปี พอจบม.ปลาย เราหาข้อมูลในการเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวะ ซึ่งเรา ทั้งเรียนทั้งทำงาน ภาระในการรับผิดชอบต่อตัวเองเพิ่มขึ้น เหนื่อยกาย...แต่มีความสุขมากกกกกก. ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือก. ได้ทำได้คิดในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ไม่ต้องอยู่ในกรอบ และไม่ต้องทนฟังคำดุด่า แต่ถึงอย่างไรเราก็รักครอบครัวนะ. และยังคอยแวะไปเยี่ยมเสมอทุกวัน ซึ่งพอเค้าเห็นเราไม่ทิ้งการเรียน. เค้าก็เริ่มยอมรับในตัวเรามากขึ้น และยอมให้เราเข้าบ้าน...
เราใช้เวลาทั้งหมดในทุกวันของสัปดาห์เป็นเวลารวม 2 ปี หมดไปกับการเรียนและการทำงานควบคู่กัน ซึ่งทางบ้านไม่ได้ส่งเสียแต่อย่างใด ตามที่แม่ได้เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่ยอมส่งเสียเราอีก จากวันนั้นแม่ก็ยังทำตามคำที่พูดได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือทำให้เราย่อท้อนะ เรากลับเอามันมาเป็นแรงผลักดันมากกว่าที่จะทำให้เราก้าวต่อไป
บางครั้งที่หาค่าเทอมแทบไม่ทันก็ได้แต่ฟังเพลง ร้องไห้ กอดหมอน และตอนนั้นแฟนก็อยู่ข้างเราตลอด ช่วยเราได้เท่าที่ช่วย และเค้าก็ไม่เคยทิ้งเรา ส่วนแม่เรา เราเคยบากหน้าไปขอความช่วยเหลือครั้งหนึ่ง แต่กลับถูกปฏิเสธ ด้วยคำพูดคำเดียวว่า ไม่มี แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่เคยไปรบกวนอีกเลย จนเราเรียนจบระดับ ปวส. และหาข้อมูลโดยไม่รอช้า สมัครเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีทันที ซึ่งในวันที่เราเรียนจบระดับ ปวส. วันนั้นที่ทางบ้านเรารู้ จากท่าทางที่แสดงออกทุกคนดูมีความสุขมาก แต่ไม่มีใครพูดว่าอย่างไร แต่เราสามารถรับรู้ได้จากแววตา ส่วนแม่มีช่อดอกไม้สดหนึ่งช่อไปมอบให้ในวันสำเร็จการศึกษาในระดับ ปวส. ของเรา
เราเริ่มเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งตอนนั้นเพื่อๆที่เรียนมัธยมมาด้วยกันเค้าพากันเรียนจบปริญญากันเป็นที่เรียบร้อยกันไปเกือบหมดแล้ว 5555 เราเรียนช้ากว่าเพื่อนอยู่ 2 ปี เราจึงพยายามเร่งตัวเต็มที่จะช้าไม่ได้แล้ว ทั้งทำงานทั้งเรียนเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าเส้นชัยคอยอยู่ตรงหน้า ความพยายามต้องเอาชนะทุกสิ่งอย่างให้ได้ ฮึบมากตอนนั้น
เราเรียนเสาร์-อาทิตย์ โหนรถทัวร์ใช้เวลาในการเดินทางไปกลับ 200 กว่ากิโล จำได้ว่าเคยไปเป็นลมอยู่บนรถทัวร์ 2 ครั้ง แต่ไม่ถึงกับหมดสติ ยังพยายามประคองตัวเองไม่ให้ล้มลง แต่เหมือนหน้ามืดไปหมด หายใจไม่ออก เพราะต้องยืนเบียดกันตลอดทาง ไม่มีที่ว่างให้นั่งเลย ซึ่งที่บ้านเราตอนนั้นแม่เค้าออกรถเก๋งคันใหม่ เพราะเค้าบอกเราว่าไม่มีภาระต้องส่งลูกเรียนเหมือนคนอื่น เลยมีเงินเหลือเก็บไว้ออกรถ แต่เราแทบจะไม่เคยได้นั่งเลย จนถึงปัจจุบันนี้เราก็ไม่แม้แต่จะได้ขับ แต่เราก็ไม่เสียใจหรอก 555++
เราเรียนจบในระดับปริญญาตรีตอนอายุ 24 ปี สอบเข้าทำงานเป็นลูกจ้างในส่วนราชการแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากบ้านมากนัก เงินเดือนหมื่นต้นๆ ที่บ้านนอก จึงตัดสินใจออกรถเก๋งขับไปทำงาน เพราะเราคิดว่าเราได้ทำตามที่เราพยายามสำเร็จแล้ว เราจึงควรจะมอบอะไรเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองบ้าง และการซื้อรถของเราก็ไม่ได้เป็นการรบกวนใครเลย เรารู้สึกภูมิใจกับทุกๆอย่างที่เป็นตัวเรา และเราก็ไม่เคยคิดเสียใจเลยที่ตัดสินใจทำแบบนี้
หลังจากทุกอย่างลงตัว เรียนจบมีงานทำ ช่วงเวลาว่างก็ค้นหาข้อมูลเตรียมสอบเพื่อบรรจุเข้ารับราชการ จนถึงวันที่เราสำเร็จอีกหนึ่งวัน เราใช้เวลาอ่านหนังสือตลอดทั้งเดือน อ่านจนจำได้และเข้าใจ เมื่อลองไปสอบปรากฏว่าสอบติดในลำดับต้นๆ ของการสอบเข้ารับราชการในครั้งนั้น พอทราบข่าว ทุกคนในบ้านทั้งแม่และยายต่างก็ดีใจ ร้องไห้กอดกันใหญ่ จนลืมกันไปเลยด้วยซ้ำว่าครั้งนึงเราเคยเป็นเด็กใจแตกที่ถูกไล่ออกจากบ้าน 555++
เราสอบบรรจุเข้ารับราชการตอนอายุเกือบ 26 ปี จนถึงปัจจุบันเราอายุ 29 ปีแล้ว ชีวิตตอนนี้มีความสุขดีตามประสา เงินเดือนข้าราชการไม่มากมายอะไรแต่เรารักและภูมิใจในอาชีพของเรา ส่วนแฟนคนที่เราคบตอนนั้นแยกทางกับเราตั้งแต่เราเรียนจบ ปวส. แล้วค่ะ ต่างคนต่างเดินตามทางที่ตัวเองรัก แต่ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม และสิ่งที่เค้าเคยช่วยเหลือเราในวันที่เราไม่มีอะไรเลยในวันนั้น มาจนถึงวันนี้เราก็ยังไม่เคยลืม ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เดินร่วมทางกันแล้วก็ตาม แต่เราก็ต่างมีวิถีชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป
เราเพียงแค่อยากจะนำเอาประสบการณ์เหล่านี้มาถ่ายทอดให้คนที่รู้สึกหมดหวัง หมดกำลังใจ อย่าคิดว่าเราไม่เหลืออะไร แต่ให้คิดว่าเราจะต้องก้าวต่อไป โดยขีดเส้นใต้คำว่า “ศรัทธา” เอาไว้ในหัวใจ แค่นั้นพอค่ะ สู้ๆค่ะ สักวันต้องเป็นวันของเรา...