ก่อนอื่นต้องบอกก่อนค่ะว่า เราเองก้เปนพี่สาวที่มีน้องชายเคยเรียนที่ รร. นั้นค่ะ จึงพอจะเข้าใจความรุ้สึกและขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องอย่างสุดซึ้งค่ะ
เข้าเรื่องเลยค่ะ น้องเราจะเรียนจบสักพักแล้วแต่เรา พ่อแม่เราคิดไม่ต่างกันค่ะ หากย้อนเวลาได้จะไม่ให้เรียนค่ะ เดิมช่วงม. ต้น น้องเราเป็นนักกีฬาค่ะและเปนเด็กอ่อนโยน ผู้ปกครองนักกีฬาด้วยกันจะเอ็นดูน้องเราเสมอค่ะ แต่น้องเราก้เติมเต็มความฝันให้คุณพ่อค่ะ (วัยรุ่นพ่อเราเคยอยากเรียนที่นี่มากแต่สอบไม่ได้ค่ะ) จึงติวเข้มทั้งสมองและร่างกายเพื่อเตรียมสอบค่ะ ทิ้งชีวิตวัยรุ่นช่วงม.3 แต่ก้ยังไม่สามารถสอบได้ จึงพยายามอย่างหนักอีก 1 ปี จนสอบได้ค่ะ
บ้านเราดีใจมากโดยเฉพาะคุณพ่อ ภูมิใจมากโม้ไป สิบซอยแปดซอยค่ะเราเองยังแอบอิจฉาเบาๆที่น้องทำให้พ่อภูมิใจได้ขนาดนั้น แต่ช่วงเวลาแห่งความภูมิใจมันสั้นค่ะ เพราะต้องเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อการออกกำลังกายที่ได้ยินมาว่าหนัก เข้มงวด แต่พ่อกะแม่เรา ก้ให้กำลังใจน้องตลอดว่า ไม่ต้องกลัวนะ ทุกอย่างฝึกเพื่อมีระเบียบวินัย เพื่อความอดทน จะหล่อหลอมให้เปนผู้นำที่ดีตอนจบออกมา
และแล้วก้มาถึงวันส่งตัวค่ะ แน่นอนค่ะร้องไห้กันทุกคน เพราะเปนห่วงและไม่รุ้ต้องพบเจออะไรบ้างค่ะ เพราะจะได้เจอกันหลังจากนั้น 1 อาทิตย์ เปนช่วงอาทิตย์พ่อแม่เรา กระวนกระวายรอแต่โทรศัพท์จากน้องค่ะ (เขาไม่ให้พกโทรศัพท์ค่ะสมัยนั้นต้องรอต่อคิวโทรตู้) ก้ได้รับค่ะ พร้อมคำพูดแพทเทิรน์คือสบายดี ไม่ต้องห่วง จนวันที่ได้เจอผู้ปกครองก้มารอพร้อมทำกับข้าวใส่ปิ่นโตบ้าง ใส่กล่องบ้าง ซื้อจากร้านดังบ้างค่ะ และแน่นอนค่ะ เจอกันก้ร้องไห้ค่ะ เปนทุกบ้าน พ่อเราจะเปนฝ่ายให้กำลังใจค่ะให้เข้มแข็ง น้องเราก้เล่าง่าเจออะไรบ้าง หลักๆคือ วิดพื้น วิ่ง พุ่งหลัง และออกกำลังถึงดึกๆ และมีมากดดันช่วงกินข้าวและอาบน้ำ อาจฟังดูธรรมดาค่ะ แต่น้องเราผอมและตัวดำขึ้นชัดเจนและถ้าได้เหนเวลาลูกผู้ชายร้องไห้เวลาจะจากแม่เพื่อเดินเข้าไปใน รร. จะรุ้เลยว่า ที่เขาเล่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด และทางรร. บอกอีกว่า ปีหนึ่งจะอาจจะไม่ปล่อยกลับบ้านอีกหลายอาทิตค่ะ ก้กระวนกระวายลูปไปค่ะ
จนปลายเทอมหนึ่งเริ่มคลายความเข้มงวด ได้กลับบ้านบ้างพร้อมอาการน้องที่เปลี่ยนไปค่ะ เงียบขรึม ไม่พูดอะไรมาก แม่ถามอะไรก้บอกว่า ทนได้ครับ แต่ไม่เล่าอะไรพ่อก้พยายามให้เน้นเรื่องเรียนค่ะ น้องจะบอกเลยว่า ไม่มีเวลา แถมประโยคที่เราตกใจเบาๆค่ะและยังจำได้จนตอนนี้คือ รร. นี้เก่งนะ ทำให้คนฉลาดสอบกว่าจะได้ โง่เท่ากันหมด ก้จิงค่ะ พอเกรดออก เกรดน้องเราตกค่ะและเปนอย่างนี้ไปจนจบปีหนึ่งค่ะ
พอปีสอง เริ่มเปนรุ่นพี่ทุกอย่างเหมือนจะเบาลงแต่ช่วงนี้เราเริ่มห่างๆค่ะเพราะเปนช่วงอ่านหนังสือเตรียมสอบตรงเข้ามหาลัยค่ะ เลยไม่ค่อยได้ใกล้ชิดน้องค่ะ แต่น้องเริ่มติดเพื่อนค่ะ กลับมาบ้านช่วงวันหยุด แทบไม่ค่อยอยุ่บ้าน ออกเยนกลับเช้าแม่เรารอค่ะบางทีมีร้องให้ค่ะ พ่อลำบากใจค่ะ แต่ก้ได้แค่เตือนเขาก้ครับๆ แต่ไม่ทำค่ะ แม่รอ ร้องไห้ก้หยุดบ้าง
พอปีสามทุกอย่างที่เริ่มเปนตอนปีสองก้หนักเลยค่ะ พ่อแม่เราเริ่มทำใจค่ะ น้องไม่ยอมอยุ่บ้านติดเพื่อน ด้วยความเปนพ่อแม่ พ่อแม่เราก้พยายามทำความเข้าใจค่ะว่า เขาถูกกดดันมาเลยอยากเที่ยวเล่นบ้าง และเวลาถูกกดดันเขาลำบากใน รร. หันไปมีแต่เพื่อน น้องจึงติดเพื่อนค่ะ แต่เราเข้ามหาลัยแล้วค่ะช่วงนั้นก้มีรับน้องแต่เราคิดว่า ไม่จำเปนต้องมีอะไรแบบนี้ก้ทำความรุ้จักหรือรักกันได้ เราจึงไม่ค่อยเหนกะสิ่งที่น้องทำค่ะ เลยเตือนเขาก้ฟังค่ะ แต่ไม่ตอบรับอะไร ไม่มีท่าทีเหนด้วยหรือสำนึกว่าทำให้พ่อแม่คิดถึงและเปนห่วง คือเรารุ้สึกเหมือนเข้าไม่ถึงน้องอะค่ะ
จากที่เล่า อาจจะเล่าไม่เก่งหรือยาวไปสักหน่อย แต่พยายามจะบอกว่า แม้น้องจะกลับบ้านมาแต่นิสัยแข็งกร้าว ไม่รับฟัง ต่อต้านอย่างเงียบๆและไม่ยอมอยุ่ด้วยค่ะ จึงเหมือนเราสูญเสียน้อง แม้น้องยังมีชีวิตอยุ่ แม้ตอนที่เข้ารร. เหล่าจะหนักกว่านี้แต่คงจะเล่ายาวมาก และตอนนี้แม้น้องจะเรียนจบแล้วและเกรดก้สามารถเลือกสถานที่ทำงานใกล้บ้านได้แต่น้องไม่ทำค่ะ เลือกที่ไกลจากกทม. ประมาน 2 ชม. และตั้งแต่น้องทำงานมาสองสามปี แม้จะกลับบ้านมากินข้าวกะพ่อแม่บ้าง แต่ก้ไม่เคยนอนที่บ้านเลยค่ะ
ตอนนี้ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าถ้าบ้านเมืองเราจะปฎิรูปอะไรสักอย่าง ควรเริ่มต้นจากจุดนี้ก้ได้ค่ะ เพราะบุคลากรใน รร. นี้ก้เติบโตเปนผู้นำ บางทีเปนนายกด้วยซ้ำ ควรปลูกฝังความยุติธรรมโดยเริ่มจากเคสน้องเมยค่ะ เขาทุ่มเท เสียสละมาเท่าไหร่กว่าจะถึงจุดนี้ ตอนนี้น้องเขาไม่มีชีวิตแล้ว แค่ความยุติธรรมให้น้องไม่ได้ เราว่าเกินไปค่ะ ฝากถึงท่านใดที่พอจะมีอำนาจค่ะ ขออย่าให้เรื่องเงียบ ขอให้จับให้ถูกคน ครบทุกคน ได้รับบทลงโทษที่เหมาะสมค่ะ
สุดท้าย rip ค่ะน้องเมย สงสารน้องมากค่ะน้ำตาไหลทุกครั้งที่อ่านข่าว
จากกรณีน้องเมย และความอยุติธรรมที่ได้รับทำให้ย้อนคิดถึงครอบครัวตัวเองค่ะ
เข้าเรื่องเลยค่ะ น้องเราจะเรียนจบสักพักแล้วแต่เรา พ่อแม่เราคิดไม่ต่างกันค่ะ หากย้อนเวลาได้จะไม่ให้เรียนค่ะ เดิมช่วงม. ต้น น้องเราเป็นนักกีฬาค่ะและเปนเด็กอ่อนโยน ผู้ปกครองนักกีฬาด้วยกันจะเอ็นดูน้องเราเสมอค่ะ แต่น้องเราก้เติมเต็มความฝันให้คุณพ่อค่ะ (วัยรุ่นพ่อเราเคยอยากเรียนที่นี่มากแต่สอบไม่ได้ค่ะ) จึงติวเข้มทั้งสมองและร่างกายเพื่อเตรียมสอบค่ะ ทิ้งชีวิตวัยรุ่นช่วงม.3 แต่ก้ยังไม่สามารถสอบได้ จึงพยายามอย่างหนักอีก 1 ปี จนสอบได้ค่ะ
บ้านเราดีใจมากโดยเฉพาะคุณพ่อ ภูมิใจมากโม้ไป สิบซอยแปดซอยค่ะเราเองยังแอบอิจฉาเบาๆที่น้องทำให้พ่อภูมิใจได้ขนาดนั้น แต่ช่วงเวลาแห่งความภูมิใจมันสั้นค่ะ เพราะต้องเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อการออกกำลังกายที่ได้ยินมาว่าหนัก เข้มงวด แต่พ่อกะแม่เรา ก้ให้กำลังใจน้องตลอดว่า ไม่ต้องกลัวนะ ทุกอย่างฝึกเพื่อมีระเบียบวินัย เพื่อความอดทน จะหล่อหลอมให้เปนผู้นำที่ดีตอนจบออกมา
และแล้วก้มาถึงวันส่งตัวค่ะ แน่นอนค่ะร้องไห้กันทุกคน เพราะเปนห่วงและไม่รุ้ต้องพบเจออะไรบ้างค่ะ เพราะจะได้เจอกันหลังจากนั้น 1 อาทิตย์ เปนช่วงอาทิตย์พ่อแม่เรา กระวนกระวายรอแต่โทรศัพท์จากน้องค่ะ (เขาไม่ให้พกโทรศัพท์ค่ะสมัยนั้นต้องรอต่อคิวโทรตู้) ก้ได้รับค่ะ พร้อมคำพูดแพทเทิรน์คือสบายดี ไม่ต้องห่วง จนวันที่ได้เจอผู้ปกครองก้มารอพร้อมทำกับข้าวใส่ปิ่นโตบ้าง ใส่กล่องบ้าง ซื้อจากร้านดังบ้างค่ะ และแน่นอนค่ะ เจอกันก้ร้องไห้ค่ะ เปนทุกบ้าน พ่อเราจะเปนฝ่ายให้กำลังใจค่ะให้เข้มแข็ง น้องเราก้เล่าง่าเจออะไรบ้าง หลักๆคือ วิดพื้น วิ่ง พุ่งหลัง และออกกำลังถึงดึกๆ และมีมากดดันช่วงกินข้าวและอาบน้ำ อาจฟังดูธรรมดาค่ะ แต่น้องเราผอมและตัวดำขึ้นชัดเจนและถ้าได้เหนเวลาลูกผู้ชายร้องไห้เวลาจะจากแม่เพื่อเดินเข้าไปใน รร. จะรุ้เลยว่า ที่เขาเล่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด และทางรร. บอกอีกว่า ปีหนึ่งจะอาจจะไม่ปล่อยกลับบ้านอีกหลายอาทิตค่ะ ก้กระวนกระวายลูปไปค่ะ
จนปลายเทอมหนึ่งเริ่มคลายความเข้มงวด ได้กลับบ้านบ้างพร้อมอาการน้องที่เปลี่ยนไปค่ะ เงียบขรึม ไม่พูดอะไรมาก แม่ถามอะไรก้บอกว่า ทนได้ครับ แต่ไม่เล่าอะไรพ่อก้พยายามให้เน้นเรื่องเรียนค่ะ น้องจะบอกเลยว่า ไม่มีเวลา แถมประโยคที่เราตกใจเบาๆค่ะและยังจำได้จนตอนนี้คือ รร. นี้เก่งนะ ทำให้คนฉลาดสอบกว่าจะได้ โง่เท่ากันหมด ก้จิงค่ะ พอเกรดออก เกรดน้องเราตกค่ะและเปนอย่างนี้ไปจนจบปีหนึ่งค่ะ
พอปีสอง เริ่มเปนรุ่นพี่ทุกอย่างเหมือนจะเบาลงแต่ช่วงนี้เราเริ่มห่างๆค่ะเพราะเปนช่วงอ่านหนังสือเตรียมสอบตรงเข้ามหาลัยค่ะ เลยไม่ค่อยได้ใกล้ชิดน้องค่ะ แต่น้องเริ่มติดเพื่อนค่ะ กลับมาบ้านช่วงวันหยุด แทบไม่ค่อยอยุ่บ้าน ออกเยนกลับเช้าแม่เรารอค่ะบางทีมีร้องให้ค่ะ พ่อลำบากใจค่ะ แต่ก้ได้แค่เตือนเขาก้ครับๆ แต่ไม่ทำค่ะ แม่รอ ร้องไห้ก้หยุดบ้าง
พอปีสามทุกอย่างที่เริ่มเปนตอนปีสองก้หนักเลยค่ะ พ่อแม่เราเริ่มทำใจค่ะ น้องไม่ยอมอยุ่บ้านติดเพื่อน ด้วยความเปนพ่อแม่ พ่อแม่เราก้พยายามทำความเข้าใจค่ะว่า เขาถูกกดดันมาเลยอยากเที่ยวเล่นบ้าง และเวลาถูกกดดันเขาลำบากใน รร. หันไปมีแต่เพื่อน น้องจึงติดเพื่อนค่ะ แต่เราเข้ามหาลัยแล้วค่ะช่วงนั้นก้มีรับน้องแต่เราคิดว่า ไม่จำเปนต้องมีอะไรแบบนี้ก้ทำความรุ้จักหรือรักกันได้ เราจึงไม่ค่อยเหนกะสิ่งที่น้องทำค่ะ เลยเตือนเขาก้ฟังค่ะ แต่ไม่ตอบรับอะไร ไม่มีท่าทีเหนด้วยหรือสำนึกว่าทำให้พ่อแม่คิดถึงและเปนห่วง คือเรารุ้สึกเหมือนเข้าไม่ถึงน้องอะค่ะ
จากที่เล่า อาจจะเล่าไม่เก่งหรือยาวไปสักหน่อย แต่พยายามจะบอกว่า แม้น้องจะกลับบ้านมาแต่นิสัยแข็งกร้าว ไม่รับฟัง ต่อต้านอย่างเงียบๆและไม่ยอมอยุ่ด้วยค่ะ จึงเหมือนเราสูญเสียน้อง แม้น้องยังมีชีวิตอยุ่ แม้ตอนที่เข้ารร. เหล่าจะหนักกว่านี้แต่คงจะเล่ายาวมาก และตอนนี้แม้น้องจะเรียนจบแล้วและเกรดก้สามารถเลือกสถานที่ทำงานใกล้บ้านได้แต่น้องไม่ทำค่ะ เลือกที่ไกลจากกทม. ประมาน 2 ชม. และตั้งแต่น้องทำงานมาสองสามปี แม้จะกลับบ้านมากินข้าวกะพ่อแม่บ้าง แต่ก้ไม่เคยนอนที่บ้านเลยค่ะ
ตอนนี้ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าถ้าบ้านเมืองเราจะปฎิรูปอะไรสักอย่าง ควรเริ่มต้นจากจุดนี้ก้ได้ค่ะ เพราะบุคลากรใน รร. นี้ก้เติบโตเปนผู้นำ บางทีเปนนายกด้วยซ้ำ ควรปลูกฝังความยุติธรรมโดยเริ่มจากเคสน้องเมยค่ะ เขาทุ่มเท เสียสละมาเท่าไหร่กว่าจะถึงจุดนี้ ตอนนี้น้องเขาไม่มีชีวิตแล้ว แค่ความยุติธรรมให้น้องไม่ได้ เราว่าเกินไปค่ะ ฝากถึงท่านใดที่พอจะมีอำนาจค่ะ ขออย่าให้เรื่องเงียบ ขอให้จับให้ถูกคน ครบทุกคน ได้รับบทลงโทษที่เหมาะสมค่ะ
สุดท้าย rip ค่ะน้องเมย สงสารน้องมากค่ะน้ำตาไหลทุกครั้งที่อ่านข่าว