สวัสดีค่ะ ดิฉันมีปัญหา ต้องการความช่วยเหลือค่ะถ้าเพื่อนๆคนไหนมีคำแนะนำดีๆรบกวนแนะนำด้วยน่ะค่ะ ดิฉันก็รู้สึกวิตกกังวลมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้งๆที่ตอนนี้ก็ตั้งครรภ์ เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันและสามี ชาวแซมเบีย เป็นคนผิวสี เราพบรักกันทางเฟรสบุค แต่เราเคยเดินสวนทางกันมาก่อนสมัยตอนที่เขามาเป็นนักฟุตบอลในไทย กว่าเราจะได้เดินทางมาพบกัน เราก็ได้พูดคุยกันนานกว่า 1 ปี 3 เดือน แล้วเขาก็ได้เดินทางมาเมืองไทย เราพบกันครั้งแรกที่สุวรรณภูมิ หลังจากนี้เราก็อยู่กินกันจนตัดสินใจอยากจะแต่งงานกัน เราจึงเริ่มจากการจดทะเบียนสมรส เราเดินทางไปจดที่เขตบางกะปิครั้งแรก แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าเอกสารไม่ครบ จึงไม่ได้จดทะเบียนกัน เราจึงไปหาที่ปรึกษากงศุลที่แจ้งวัฒนะ เขาบอกว่าเราจะต้องไปเอาเอกสารรับรองความโสดที่สถานทูตแซมเบียและให้สถานทูตไทยในมาเลเซียประทับตรารับรองด้วยหลังจากนั้นก็ให้นำกลับมาติดสติกเกอร์รับรองที่กงศุลแจ้งวัฒนะ สามีดิฉันก็ได้เดินไปที่มาเลเซียและทำตามคำแนะนำ ตอนเดินทางกลับมาที่ไทยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีวีซ่าถูกต้อง แต่ก็ต้องโชว์เงิน 20,000 ให้ ตม ดู ยกเว้นวีซ่าแต่งงาน เมื่อเรานำเอกสารมาติดสติกเกอร์จากกงศุลเรียนร้อย เราก็นำกลับไปจดทะเบียนที่เขตบางกะปิอีกเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมให้จดแจ้งว่าเอกสารไม่ครบอีกแล้วต้องมีใบนูนนี่นั้น เราเดินทางกลับไปหาที่ปรึกษาอีกครั้งที่กงศุลแจ้งวัฒนะ คำตอบที่ได้คือเราจะต้องเอาเอกสารรายได้และเอกสารอื่นๆของสามีไปประทับตรารับรองที่มาเลเซียอีกครั้ง ครั้งนี้ดิฉันบินไปด้วย เราจองตั๋วทั้งไปและกลับ กว่าสามีดิฉันจะได้ขึ้นเครื่อง เจ้าหน้าของสายการบินจะต้องถามนุนถามนี้ให้สามีดิฉันโชว์เอกสารนุนนี่นั้นกว่าจะปล่อยไปขึ้นเครื่อง เหตุผลที่ต้องตรวจคือ สามีดิฉันเป็นสัญชาติคนผิวสี เราเดินทางไปสถาทูตไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอ เพื่อประทับตรารับรองเอกสารและต่อวีซ่าของสามีเพื่อเดินทางมาดำเนินเรื่องจดทะเบียน เราจึงถามเจ้าหน้าที่ถึงวีซ่าแต่งงาน ( จุดที่ทำให้เราสองคนสูญเสียทั้งเงิน เวลาและความรู้สึกคือคำแนะนำของเจ้าหน้าไทยในมาเลเซีย ) เจ้าหน้าที่ในสถานทูตไทย ณ มาเลเซีย บอกเราว่าถ้าได้ทะเบียนสมรสแล้วให้นำกลับมาทำวีซ่าแต่งงานที่มาเลเซียอีกครั้งน่ะ ทางเจ้าหน้าจะดำเนินการให้ ( เราเชื่อและมีความหงังมากกับคำแนะนำ ) ดิฉันเดินทางกลับไทยก่อนสามี เพราะสามีต้องรอวีซ่า ก็เลยต้องเสียตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับทิ้งไปใบหนึ่ง หลังจากสามีบินมาไทยกว่าจะได้เข้าประเทศก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทันทีที่เจ้าหน้าที่เห็นสามีดิฉัน เจ้าหน้าที่ก็ได้มาเชิญสามีดิฉันไปที่ห้องๆหนึ่งในสนามบินเพื่อสัมภาษ ว่ามาทำไม นุนนี่นั้น เพราะสามีดิฉันเป็นสัญชาติคนดำ หลังจากนั้นดิฉันให้สามีเดินทางไปกงศุลเพื่อขอสติกเกอร์รับรองเอกสารอีกครั้งที่กงศุลแจ้งวัฒนะแต่กลับโดนเจ้าหน้าและที่ปรึกษากงศุลปฏิเสธการติดสติกเกอร์รับรองทั้งที่พวกเขาบอกให้เราเดินทางไปประทับตราที่มาเลเซีย สามีดิฉันกลับมาบ้านพร้อมสีหน้าที่เศร้ามากและพร้อมทั้งกระดาษข้อความจากที่ปรึษากงศุลที่แจ้งวัฒนะ ในข้อความระบุว่าให้ทำตามขั้นตอนที่ระบุในกระดาษ แต่ในกระดาษบอกว่าจะต้องไปที่อาบูจาประเทศไนจีเรีย ดิฉันก็โกรธมาก ทำไมไม่บอกตั้งที่แรกให้ถูกต้องทำไมต้องทำให้เสียเวลาเสียเงินเสียงานเพราะต้องลาไปดำเนินเรื่องที่มาเลเซีย ดิฉันกลับไปหาที่ปรึษากงศุลพร้อมกับสามี คำแรกที่เขาเห็นเราเขาใช้ถ้อยคำและน้ำเสียงได้หยาบมาก ว่าจะมาอีกทำไมมมมมมก็บอกไปแล้วว่าต้องทำยังไงงงงง แล้วแสดงสีหน้าไม่พอใจ ดิฉันก็โมโหมากยังไม่ได้ฟังอธิบายแต่ตีโพยตีพายไปแล้ว ทั้งที่เขาทำงานในสถานที่ราชการที่เหมือนเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศแต่ใช้น้ำเสียงกับคนที่มาใช้บริการได้แย่มาก ดิฉันก็หวีนเลยค่ะ บอกว่าจะให้สามีดิฉันไปอาบูจาทำไมสามีฉันไม่ใช่ไนจีเรีย และที่สำคัญทางที่ปรึกษาให้คำแนะนำไม่ถูกต้องตั้งแต่ตอนแรก ทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนแรกว่าต้องไปไหนแล้วให้เข้าออกประเทศหลายรอบทำไม เขาก็เงียบไป แล้วบอกให้เราไปรออีกห้องหนึ่งจะมีเจ้าหน้าที่มาพบ เราก็รอในห้อง ซึ่งต้องใช้บัตรพนักงานเข้าไปเท่านั้น จึงจะเข้าได้ เรารอได้สักพักใหญ่ก็มีเจ้าหน้าที่มาสอบถามนุนนี่นั้น ในที่สุดก็ยอมทำเอกสารให้ ( ตอนนี้ดิฉันตั้งครรภ์พอดี ) หลังจากได้เอกสารแล้วเราก็เดินทางกลับไปเขตบางกะปิครั้งที่สามเจ้าหน้าที่ก็บอกเอกสารไม่ครบอีกทั้งที่เรามีครบแล้ว ( 3 ครั้งเจ้าหน้าเปลี่ยนหน้าทั้งสามครั้งและให้คำแนะนำไม่เหมือนกันสักคนเลย) เราก็รู้สึกแย่มากๆ เราจึงตัดสินใจกลับไปจดกันที่บ้านเกิดดิฉันที่ขอนแก่น จนสามารถจดได้แล้ว หลังจากได้ทะเบียนสมรสแล้ว สามีดิฉันก็ได้นำเอกสารกลับไปที่สถาทูตไทยในมาเลเซียอีกครั้งตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่นั้นแนะนำตั้งแต่ครั้งที่สองที่ไป ครั้งนี้ดิฉันไม่ได้ไปด้วย เพราะติดงาน ปรากฎว่าสถานทูตไทยไม่ยอมอนุมัติบอกว่าจะต้องรอให้กระทรวรตรวจเอกสารก่อน 2 เดือนเพราะสัญชาติสามีดิฉันเป็นคนดำ ดิฉันเสียใจมากทั้งคิดมากจนปวดท้องทั้งที่ตั้งครรภ์ ทั้งที่ครั้งที่สองที่ไปเขาไม่ได้บอกลายละเอียดอะไรเลย สามีดิฉันจึงไม่สามารถเข้าไทยได้ต้องติดอยู่ที่มาเลเซีย เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา และความรู้สึก หลังจากติดอยู่นั้นได้10กว่าวัน ก็ต้องทำเรื่องขอวีซ่าไปพม่า เพราะมีเพื่อนที่นั่นและประหยัดค่าที่พัก แต่ก็ต้องเสียเงินค่าวีซ่า ค่าตั๋วเครื่อง และอื่นๆอีกมากมาย ดิฉันสงสารสามีมากทั้งๆตัวเองก็ตั้งครรภ์ด้วยเครียดมากไม่ดี แต่ละวันเราไม่เป็นอันกินอันนอนค่ะ เครียดมาก เขาเดินทางมาพม่ากว่าจะได้เข้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจะต้องซื้อตั๋วเครื่องบินกลับด้วย เพราะเป็นสัญชาติคนดำ เราได้คุยกันว่าเราควรจะลองไปขอวีซ่าท่องเที่ยวที่นั้นดูไหม ดิฉันจึงเดินทางไปหาสามีที่พม่าด้วยความหวัง เราไปที่สถานทูตไทย ณ ย่างกุ้ง เจ้าหน้ามองหน้าเราแล้วบอกว่าสัญชาตินี้ไม่แน่ใจว่าจะให้ไหม งั้นมาใหม่แล้วกันน่ะค่ะตอนบ่ายสามโมงน่ะ จะต้องไปสอบถามหัวหน้าก่อน ทั้งๆที่เราก็มีเอกสารครบทั้งทะเบียนสมรสด้วย บ่ายสามเรากลับมาอีกรอบ เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าจะขอวีซ่าที่นี่รอได้ไหม 1-2 อาทิตย์ขอตรวจสอบเอกสาร แล้วจะโทรไปบอก ( ก็ถือว่าเขามีท่าทีเหมือนจะอนุมัติ ) สามีดิฉันก็ยังไม่สามารถเข้ามาไทยได้ยังต้องติดอยู่ตรงนั้นอยู่ ดิฉันจึงบินกลับไทยก่อน เรารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ผ่านไป 5-6 วัน คำตอบที่เขาตอบเราคือ ไม่อนุมัติ ไม่แจ้งเหตุผล อ้างเพียงสัญชาติ เขาบอกว่าจะส่งมาตรวจที่ไทย เราเลยมั่นใจว่าต้องได้เพราะสามีดิฉันไม่เคยสร้างปัญหาที่ไทย ไม่เคยทำผิดที่ไทย แต่โดนเหมารวมว่าคนดำคือคนเลวที่สร้างปัญหาในไทย เรามีเอกสารการตรวจประวัติอาชญากรจากสำนักงานใหญ่ตำรวจไทยด้วย ว่าเขาไม่เคยมีประวัติอาชญากร ไม่เคยมีความผิดในไทย สรุปเขาไม่ได้ส่งเอกสารมาที่ไทยหลอกค่ะ ถ้าส่งมาก็ไม่มีประวัติแน่นอน เราสูญเสียทรัพย์เป็นจำนวนมากจากการพยายามครั้งนี้ มันเหมือนสถานทูตไทยฆ่าเราสองคนทั้งเป็น ทำให้สามีและภรรยาพลัดพลากกัน ทั้งๆที่เรากำลังจะมีครอบครัวร่วมกันค่ะ ตอนนี้ดิฉันได้ใช้เงินก้อนสุดท้ายเพื่อส่งเขากลับบ้านก่อนวีซ่าในพม่าจะหมด ( 9 ธ.ค 60 ) เร็วๆนี้ เพื่อลองไปขอวีซ่าที่แอฟริกาดู อาจจะง่ายกว่า ( ในความคิดน่ะค่ะ ) ตอนนี้เงินเก็บเราไม่เหลือ ดิฉันอยากให้สามีอยู่ด้วยตอนตั้งครรภ์(รู้สึกท้อวิตกกังวล) สามีก็อยากกลับมาดูแล จิตตกมากๆค่ะ ถ้าเป็นเพื่อนๆล่ะค่ะจะทำอย่างไร ขอคำปรึษาหน่อยค่ะกับปัญหานี้ ควรจะทำอย่างไรค่ะ
เพราะสัญชาติ ทำให้สถานทูตไทยไม่อนุมัติวีซ่า ทั้งๆที่ฝ่ายหญิงก็ตั้งครรภ์ ทะเบียนสมรสก็มี