สวัสดีเพื่อนพี่น้องขาเที่ยวชาว ppantip.com ทุกคนจ้า ทริปนี้เราจะพาทุกคนไปเที่ยวเกาะใต้แห่งญี่ปุ่นกัน
ซึ่งก็คือ โอกินาว่า นั่นเอง
ต้นเหตุของทริปนี้ก็ง่ายๆ เลยคือเราโดนตั๋วราคาโปรกระชากวิญญาณ แหม! ก็ไปกลับญี่ปุ่นในราคาสี่พันนิดๆ ใครจะอดใจไหว ทำให้ทริปนี้เรามีเวลาเตรียมตัวแค่เกือบๆ เดือนเท่านั้น เรียกว่าตรงตามคอนเซ็ปต์การกดซื้อตั๋วโปรจริงๆ คือ มือต้องไว ใจต้องเร็ว ซึ่งมันก็จะกระชั้นชิดหน่อยๆ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ราบรื่นดี เราขอเล่าให้ฟังตั้งแต่ช่วงเตรียมตัวเลยละกันจ้า
เราได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับของสายการบิน Peach สำหรับ 2 คน มาในราคา 10,920 บาท อันนี้คือรวมค่าโหลดกระเป๋า 20 กิโลกรัม ทั้ง 2 ขา (ซื้อโหลดกระเป๋าแค่คนเดียว) และค่าตัดบัตรเครดิตแล้ว พอหารกันก็ตกคนละ 5,460 บาท พอดีเราเป็นพวกของเยอะก็เลยต้องซื้อโหลดกระเป๋าเพิ่ม แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ของน้อย เราว่าไม่ต้องซื้อก็ได้ เพราะ Peach ให้ถือสัมภาระขึ้นเครื่องได้ 2 ชิ้น 10 กิโลกรัมแหนะ
พอได้ตั๋วเครื่องบินมา เราก็เริ่มหาข้อมูลการเที่ยวโอกินาว่าจากที่เพื่อนๆ รีวิวกันไว้ จากนั้นก็ลิสต์สิ่งที่ต้องเตรียมตัว ซึ่งหลักๆ ก็มีดังนี้
ทำใบขับขี่สากล (เราเลือกเช่ารถขับเที่ยวกันค่ะ เพราะสะดวกที่สุดสำหรับการเที่ยวโอกินาว่า)
จองรถเช่า
จองที่พัก
วางแผนเที่ยว 4 วัน
จับตาการขึ้นลงของค่าเงินเยน
มาเริ่มต้นกันที่การทำใบขับขี่สากล ซึ่งก็ไม่ยากเลยสำหรับคนที่มีใบขับขี่ของไทยอยู่แล้ว แค่เตรียมเอกสารต่างๆ ดังนี้
1. สำเนาหนังสือเดินทาง เล่มที่ใช้ในการเดินทาง ประวัติหน้าที่แก้ไข (พร้อมฉบับจริง)
2. สำเนาประจำตัวประชาชน (พร้อมฉบับจริง)
3. สำเนาใบขับขี่รถส่วนบุคคล หรือ ตลอดชีพ (พร้อมฉบับจริง) ใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยกรมการขนส่งทางบกซึ่งยังไม่หมดอายุ ***(พร้อมฉบับจริง)***
4. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป ******( รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน ) ถ่ายรูปหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้ม, ไม่มีภาพวิวหลังรูป
5. สำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อ- สกุล, ทะเบียนสมรสหรือใบหย่า
6. ค่าธรรมเนียม 505 บาท
พอเตรียมเอกสารครบแล้วก็พุ่งตัวไปที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดได้เลยจ้า (ตรงนี้ต้องเช็คดีๆ นะคะ ขอย้ำว่าต้องเป็นขนส่ง 1-5 ในกรุงเทพฯ หรือขนส่งจังหวัดเท่านั้น เพราะเราไปผิดมาแล้ว ถ้าเป็นขนส่งย่อยๆ ทำใบขับขี่สากลไม่ได้จ้า) พอไปถึงก็ยื่นเอกสาร จ่ายเงิน รอไม่นานก็ได้ใบขับขี่สากลมาครอบครองเรียบร้อยจ้า
จากนั้นมาถึงขั้นตอนการจองรถเช่ากันค่ะ แอบบอกนิดนึงถึงสาเหตุที่เราไปทำใบขับขี่สากลก่อน เพราะเห็นมีบางบริษัทรถเช่าที่ให้กรอกข้อมูลเกี่ยวกับใบขับขี่สากลด้วย ตรงนี้เพื่อนๆ ก็ลองเช็คดูก่อนนะคะ เพราะบางบริษัทก็ไม่ต้องกรอก แต่ทำไว้แต่เนิ่นๆ ก็อุ่นใจดีจ้า
สำหรับการจองรถเช่า ตอนแรกเราลองดูจากพวกเว็บของบริษัทรถเช่าของญี่ปุ่นโดยตรง เช่น ABC Nissan แต่ปรากฏว่าเจอราคาค่อนข้างสูง และรถไซส์เล็กของบางบริษัทก็ถูกจองเต็มหมดแล้ว เราเลยลองเข้าไปดูใน www.rentalcars.com ซึ่งรวบรวมรถเช่าของทุกบริษัทไว้ให้แล้ว ปรากฏว่าได้ราคาโอเคเลย และเป็นราคาที่รวมประกันไว้แล้วด้วย เราก็เลยจองรถเช่าจากเว็บนี้แหละ ซึ่งพอจองเสร็จ rentalcars จะยังไม่หักเงินจากบัตรเครดิตเราทันที แต่เขาจะส่งเมลมาแจ้งเราว่าต้องรอการยืนยันจากบริษัทรถเช่าก่อน พอบริษัทรถเช่ายืนยันว่ามีรถว่างสำหรับเราปุ๊บ rentalcars ก็จะส่งเมลมาคอนเฟิร์มและหักเงินจากบัตรเครดิตเราไป
ทริปนี้เราเช่ารถ 4 วัน ในราคา 5,693 บาท ของบริษัท Orix โดยตอนแรกเราจองรถ Daihatsu Move ไว้ แต่พอถึงวันจริงได้อัพเกรดเป็นรถ Toyata Aqua Hybrid ดี๊ดีไปอีกจ้า
ต่อไปเป็นขั้นตอนการจองที่พัก ซึ่งเราหาจาก www.agoda.com โดยเลือกที่พักที่มีที่จอดรถ และดู google street view ควบคู่ไปด้วยเพื่อดูว่าใกล้ๆ ที่พักนั้นมีที่จอดรถแบบเสียเงินด้วยรึเปล่า เพราะอย่างที่พักที่เราจองไปก็มีที่จอดรถให้แบบจำกัด คือมาก่อนก็ได้จอดก่อน
ทริปนี้เราพักกันที่ Villa Coast Nishimachi ในเมืองนาฮะ 3 คืน ราคา 5,660 บาท ซึ่งตอนที่เราดูรีวิวก็ถือว่าโอเคเลย คนไทยไปพักเยอะอยู่ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็มีให้ครบ พอได้ไปพักจริงๆ ก็โอเคอย่างที่รีวิวกันไว้ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ มีให้ตั้งแต่ไดร์เป่าผม ไมโครเวฟ ตู้เย็น เตาแก๊ส ไปจนถึงเครื่องซักผ้า ห้องพักสะอาดสะอ้าน ทำเลดีเพราะอยู่ใกล้มินิมาร์ท รอบๆ มีที่จอดรถแบบเสียเงินอยู่หลายจุด
มาถึงขั้นตอนการวางแผนเที่ยว สำหรับเราก็ไม่มีอะไรมาก ใช้วิธีดูรีวิวไปเรื่อยๆ แล้วเลือกเที่ยวเฉพาะที่ที่ชอบ ไม่ได้เก็บครบทุกที่ แล้วก็ดูแผนที่ประกอบ เพื่อวางแผนเที่ยวในแต่ละวัน จะได้ไม่ต้องขับรถวนไปวนมา
ส่วนขั้นตอนสุดท้าย จับตาดูค่าเงินเยน พอลงจนเป็นที่น่าพอใจปุ๊บก็พุ่งตัวไปแลกด่วนๆ แนะนำว่าให้กดติดตามเพจ Superrich ไว้ให้ดี แล้วพกพาสปอร์ตติดตัวไว้ตลอดเลยจ้า
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ตามไปเที่ยวกันเลยจ้า
Day 1
วันแรกเราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนประมาณเกือบๆ ตี 3 แต่เวลาตามไฟลท์คือ 1.40 น. Peach แอบดีเลย์ไปนิดนึง ซึ่งเข้าใจได้ เพราะการจราจรตรงรันเวย์คับคั่งมาก เราจึงมาถึงสนามบินนาฮะ อาคาร LCC (Peach ขึ้นลงที่อาคารนี้เด้อ) กันราวๆ 9 โมงเช้าตามเวลาญี่ปุ่น ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงเอง
พอมาถึงก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า แล้วขึ้นรถบัสไปอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เพื่อติดต่อบริษัทรถเช่าซึ่งจะรอรับเราอยู่ เราก็โชว์หลักฐานการจองกับเขา จากนั้นก็ขึ้นรถบัสของบริษัทรถเช่าเพื่อไปยังศูนย์รถเช่า แล้วดำเนินการรับรถกันที่นั่น ขั้นตอนก็ไม่ยากอะไร ก็เหมือนกับการเช่ารถที่บ้านเรานั่นแหละ แค่ยากกว่าหน่อยตรงที่พนักงานไม่ค่อยสื่อสารภาษาอังกฤษกับเรา เพราะเท่าที่สังเกตดูคนที่มาเที่ยวโอกินาว่าส่วนใหญ่ก็เป็นคนญี่ปุ่น อารมณ์เหมือนเราไปเที่ยวพักร้อนที่ภูเก็ตอะไรประมาณนั้น
เมื่อยานพาหนะพร้อมก็ถึงเวลาตะลุยโอกินาว่ากันแล้วจ้า แต่ก่อนอื่นขอแวะกินมื้อเช้ารวบเที่ยงก่อนนะ สำหรับมื้อแรกเราก็กินกันง่ายๆ ที่ Lawson อิ่ม อร่อย สะดวก และคาดว่าทริปนี้คงได้เจอกันทุกวัน
หลังจากเติมพลังเต็มแล้ว เราก็ไปเที่ยวที่แรกกันเลยนั่นก็คือจุดชมเครื่องบินขึ้นลง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินนาฮะ จากตรงนี้สามารถถ่ายรูปชมวิวกันได้เพลินๆ เลย
จากนั้นเราไปกันที่ Katsuren Castle Ruins ซึ่งเป็นซากปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชันใกล้ชายฝั่ง สำหรับที่นี่ต้องใช้พละกำลังขากันหน่อย เพราะเดินขึ้นเหนื่อยไม่ใช่เล่น แต่พอขึ้นไปแล้วก็จะได้ชมวิวทะเลสวยๆ ยืนรับลมชิลๆ ฟินดีเหมือนกัน
น้ำทะเลก็จะสีสวยประมาณนี้
วิวระหว่างทาง สะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย
บนถนนหนทางมีรถน้อยกว่าบ้านเรามากกก กอไก่สิบแปดล้านตัว
ระหว่างทางเจอร้านน้ำแข็งใส 100 เยน อยู่ริมทะเลด้วย แวะสักหน่อย
ช่วงเย็นเราไปกันที่ Cape Zanpa เพื่อเก็บภาพแสงสุดท้ายของวัน
วันแรกเที่ยวจบแล้ว โปรแกรมสั้นเว่อร์ จากนั้นเราก็ไปเช็คอินที่พักกัน ซึ่งเราไปถึงหลัง 4 โมงเย็น ก็เลยต้องเช็คอินแบบ Self-Service ซึ่งทางที่พักแจ้งไว้ในเมลแล้ว เราก็ทำตามขั้นตอนที่เขาแนะนำไว้ได้เลย สะดวกมากๆ
พอเข้าที่พักเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราก็ออกมาหามื้อเย็นกินกัน ซึ่งยังคงเป็น Lawson เพราะไม่อยากเอารถออกแล้ว เดี๋ยวกลับมาจะไม่มีที่จอด
Day 2
วันที่ 2 เราออกสตาร์ทกันสายๆ เพราะตื่นสาย ฮ่าๆ จึงเริ่มต้นด้วยการไปกินมื้อเช้ารวบเที่ยง (อีกแล้ว) ที่ Toya Fishing Port ท่าเรือประมงที่มีร้านอาหารอยู่ ชื่อร้าน Uminchu ซึ่งมีอาหารทะเลสดๆ ให้กินกันแบบฟินๆ แถมราคาไม่แพงด้วย
สีน้ำทะเลตรงท่าเรือประมงก็จะสวยประมาณนี้
กินกัน 2 คน จ่ายไปแค่ 1,160 เยน แถมกินไม่หมดอีก เพราะให้เยอะอยู่เหมือนกัน
ระเบียงชั้น 2 ของร้านอาหาร ยืนชมวิวถ่ายรูปได้สวยๆ
พออิ่มแล้วเราก็ไปกันที่ Arashiyama View Point ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นเกาะ Yagaji ได้แบบเต็มๆ สำหรับที่นี่ไม่ค่อยมีคนเลย เงียบสงบมากๆ เราเจอที่นี่มาจากเว็บเมืองนอก
ระหว่างทางเจอชายหาดสาธารณะที่เล่นน้ำได้ น่าจะชื่อว่า Kouki Beach เลยแวะเล็งๆ ไว้ก่อน
แวะหม่ำไอติม Blue Seal ไอติมขึ้นชื่อประจำเกาะโอกินาว่า ซึ่งมีอยู่ทั่วเกาะเลย
จากนั้นเราไปกันที่ Busena Underwater Observatory ประภาคารใต้น้ำที่ลึกลงไปในทะเลกว่า 20 เมตร ค่าเข้าคนละ 1,030 เยน ซึ่งตอนแรกแอบคิดว่าแพงอยู่นะ แต่พอเข้าไปแล้วขอบอกว่าคุ้มมากๆ เพราะแค่ปะการังตรงสะพานไปประภาคารยังสวยขนาดนี้
ในประภาคารจะมีช่องให้ดูโลกใต้ทะเลแบบนี้
สามารถให้อาหารปลาจากบนสะพานได้ด้วย มีตู้อาหารปลาแบบหยอดเหรียญบริการอยู่
[CR] ปุบปับทัวร์เพราะตั๋วโปร ชวนกันเฮโลไป OKINAWA 4 วัน 3 คืน ด้วยงบ 15 K
ต้นเหตุของทริปนี้ก็ง่ายๆ เลยคือเราโดนตั๋วราคาโปรกระชากวิญญาณ แหม! ก็ไปกลับญี่ปุ่นในราคาสี่พันนิดๆ ใครจะอดใจไหว ทำให้ทริปนี้เรามีเวลาเตรียมตัวแค่เกือบๆ เดือนเท่านั้น เรียกว่าตรงตามคอนเซ็ปต์การกดซื้อตั๋วโปรจริงๆ คือ มือต้องไว ใจต้องเร็ว ซึ่งมันก็จะกระชั้นชิดหน่อยๆ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ราบรื่นดี เราขอเล่าให้ฟังตั้งแต่ช่วงเตรียมตัวเลยละกันจ้า
เราได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับของสายการบิน Peach สำหรับ 2 คน มาในราคา 10,920 บาท อันนี้คือรวมค่าโหลดกระเป๋า 20 กิโลกรัม ทั้ง 2 ขา (ซื้อโหลดกระเป๋าแค่คนเดียว) และค่าตัดบัตรเครดิตแล้ว พอหารกันก็ตกคนละ 5,460 บาท พอดีเราเป็นพวกของเยอะก็เลยต้องซื้อโหลดกระเป๋าเพิ่ม แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ของน้อย เราว่าไม่ต้องซื้อก็ได้ เพราะ Peach ให้ถือสัมภาระขึ้นเครื่องได้ 2 ชิ้น 10 กิโลกรัมแหนะ
พอได้ตั๋วเครื่องบินมา เราก็เริ่มหาข้อมูลการเที่ยวโอกินาว่าจากที่เพื่อนๆ รีวิวกันไว้ จากนั้นก็ลิสต์สิ่งที่ต้องเตรียมตัว ซึ่งหลักๆ ก็มีดังนี้
มาเริ่มต้นกันที่การทำใบขับขี่สากล ซึ่งก็ไม่ยากเลยสำหรับคนที่มีใบขับขี่ของไทยอยู่แล้ว แค่เตรียมเอกสารต่างๆ ดังนี้
1. สำเนาหนังสือเดินทาง เล่มที่ใช้ในการเดินทาง ประวัติหน้าที่แก้ไข (พร้อมฉบับจริง)
2. สำเนาประจำตัวประชาชน (พร้อมฉบับจริง)
3. สำเนาใบขับขี่รถส่วนบุคคล หรือ ตลอดชีพ (พร้อมฉบับจริง) ใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยกรมการขนส่งทางบกซึ่งยังไม่หมดอายุ ***(พร้อมฉบับจริง)***
4. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป ******( รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน ) ถ่ายรูปหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้ม, ไม่มีภาพวิวหลังรูป
5. สำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อ- สกุล, ทะเบียนสมรสหรือใบหย่า
6. ค่าธรรมเนียม 505 บาท
พอเตรียมเอกสารครบแล้วก็พุ่งตัวไปที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดได้เลยจ้า (ตรงนี้ต้องเช็คดีๆ นะคะ ขอย้ำว่าต้องเป็นขนส่ง 1-5 ในกรุงเทพฯ หรือขนส่งจังหวัดเท่านั้น เพราะเราไปผิดมาแล้ว ถ้าเป็นขนส่งย่อยๆ ทำใบขับขี่สากลไม่ได้จ้า) พอไปถึงก็ยื่นเอกสาร จ่ายเงิน รอไม่นานก็ได้ใบขับขี่สากลมาครอบครองเรียบร้อยจ้า
จากนั้นมาถึงขั้นตอนการจองรถเช่ากันค่ะ แอบบอกนิดนึงถึงสาเหตุที่เราไปทำใบขับขี่สากลก่อน เพราะเห็นมีบางบริษัทรถเช่าที่ให้กรอกข้อมูลเกี่ยวกับใบขับขี่สากลด้วย ตรงนี้เพื่อนๆ ก็ลองเช็คดูก่อนนะคะ เพราะบางบริษัทก็ไม่ต้องกรอก แต่ทำไว้แต่เนิ่นๆ ก็อุ่นใจดีจ้า
สำหรับการจองรถเช่า ตอนแรกเราลองดูจากพวกเว็บของบริษัทรถเช่าของญี่ปุ่นโดยตรง เช่น ABC Nissan แต่ปรากฏว่าเจอราคาค่อนข้างสูง และรถไซส์เล็กของบางบริษัทก็ถูกจองเต็มหมดแล้ว เราเลยลองเข้าไปดูใน www.rentalcars.com ซึ่งรวบรวมรถเช่าของทุกบริษัทไว้ให้แล้ว ปรากฏว่าได้ราคาโอเคเลย และเป็นราคาที่รวมประกันไว้แล้วด้วย เราก็เลยจองรถเช่าจากเว็บนี้แหละ ซึ่งพอจองเสร็จ rentalcars จะยังไม่หักเงินจากบัตรเครดิตเราทันที แต่เขาจะส่งเมลมาแจ้งเราว่าต้องรอการยืนยันจากบริษัทรถเช่าก่อน พอบริษัทรถเช่ายืนยันว่ามีรถว่างสำหรับเราปุ๊บ rentalcars ก็จะส่งเมลมาคอนเฟิร์มและหักเงินจากบัตรเครดิตเราไป
ทริปนี้เราเช่ารถ 4 วัน ในราคา 5,693 บาท ของบริษัท Orix โดยตอนแรกเราจองรถ Daihatsu Move ไว้ แต่พอถึงวันจริงได้อัพเกรดเป็นรถ Toyata Aqua Hybrid ดี๊ดีไปอีกจ้า
ต่อไปเป็นขั้นตอนการจองที่พัก ซึ่งเราหาจาก www.agoda.com โดยเลือกที่พักที่มีที่จอดรถ และดู google street view ควบคู่ไปด้วยเพื่อดูว่าใกล้ๆ ที่พักนั้นมีที่จอดรถแบบเสียเงินด้วยรึเปล่า เพราะอย่างที่พักที่เราจองไปก็มีที่จอดรถให้แบบจำกัด คือมาก่อนก็ได้จอดก่อน
ทริปนี้เราพักกันที่ Villa Coast Nishimachi ในเมืองนาฮะ 3 คืน ราคา 5,660 บาท ซึ่งตอนที่เราดูรีวิวก็ถือว่าโอเคเลย คนไทยไปพักเยอะอยู่ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็มีให้ครบ พอได้ไปพักจริงๆ ก็โอเคอย่างที่รีวิวกันไว้ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ มีให้ตั้งแต่ไดร์เป่าผม ไมโครเวฟ ตู้เย็น เตาแก๊ส ไปจนถึงเครื่องซักผ้า ห้องพักสะอาดสะอ้าน ทำเลดีเพราะอยู่ใกล้มินิมาร์ท รอบๆ มีที่จอดรถแบบเสียเงินอยู่หลายจุด
มาถึงขั้นตอนการวางแผนเที่ยว สำหรับเราก็ไม่มีอะไรมาก ใช้วิธีดูรีวิวไปเรื่อยๆ แล้วเลือกเที่ยวเฉพาะที่ที่ชอบ ไม่ได้เก็บครบทุกที่ แล้วก็ดูแผนที่ประกอบ เพื่อวางแผนเที่ยวในแต่ละวัน จะได้ไม่ต้องขับรถวนไปวนมา
ส่วนขั้นตอนสุดท้าย จับตาดูค่าเงินเยน พอลงจนเป็นที่น่าพอใจปุ๊บก็พุ่งตัวไปแลกด่วนๆ แนะนำว่าให้กดติดตามเพจ Superrich ไว้ให้ดี แล้วพกพาสปอร์ตติดตัวไว้ตลอดเลยจ้า
วันแรกเราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนประมาณเกือบๆ ตี 3 แต่เวลาตามไฟลท์คือ 1.40 น. Peach แอบดีเลย์ไปนิดนึง ซึ่งเข้าใจได้ เพราะการจราจรตรงรันเวย์คับคั่งมาก เราจึงมาถึงสนามบินนาฮะ อาคาร LCC (Peach ขึ้นลงที่อาคารนี้เด้อ) กันราวๆ 9 โมงเช้าตามเวลาญี่ปุ่น ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงเอง
พอมาถึงก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า แล้วขึ้นรถบัสไปอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เพื่อติดต่อบริษัทรถเช่าซึ่งจะรอรับเราอยู่ เราก็โชว์หลักฐานการจองกับเขา จากนั้นก็ขึ้นรถบัสของบริษัทรถเช่าเพื่อไปยังศูนย์รถเช่า แล้วดำเนินการรับรถกันที่นั่น ขั้นตอนก็ไม่ยากอะไร ก็เหมือนกับการเช่ารถที่บ้านเรานั่นแหละ แค่ยากกว่าหน่อยตรงที่พนักงานไม่ค่อยสื่อสารภาษาอังกฤษกับเรา เพราะเท่าที่สังเกตดูคนที่มาเที่ยวโอกินาว่าส่วนใหญ่ก็เป็นคนญี่ปุ่น อารมณ์เหมือนเราไปเที่ยวพักร้อนที่ภูเก็ตอะไรประมาณนั้น
เมื่อยานพาหนะพร้อมก็ถึงเวลาตะลุยโอกินาว่ากันแล้วจ้า แต่ก่อนอื่นขอแวะกินมื้อเช้ารวบเที่ยงก่อนนะ สำหรับมื้อแรกเราก็กินกันง่ายๆ ที่ Lawson อิ่ม อร่อย สะดวก และคาดว่าทริปนี้คงได้เจอกันทุกวัน
หลังจากเติมพลังเต็มแล้ว เราก็ไปเที่ยวที่แรกกันเลยนั่นก็คือจุดชมเครื่องบินขึ้นลง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินนาฮะ จากตรงนี้สามารถถ่ายรูปชมวิวกันได้เพลินๆ เลย
จากนั้นเราไปกันที่ Katsuren Castle Ruins ซึ่งเป็นซากปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชันใกล้ชายฝั่ง สำหรับที่นี่ต้องใช้พละกำลังขากันหน่อย เพราะเดินขึ้นเหนื่อยไม่ใช่เล่น แต่พอขึ้นไปแล้วก็จะได้ชมวิวทะเลสวยๆ ยืนรับลมชิลๆ ฟินดีเหมือนกัน
น้ำทะเลก็จะสีสวยประมาณนี้
วิวระหว่างทาง สะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย
บนถนนหนทางมีรถน้อยกว่าบ้านเรามากกก กอไก่สิบแปดล้านตัว
ระหว่างทางเจอร้านน้ำแข็งใส 100 เยน อยู่ริมทะเลด้วย แวะสักหน่อย
ช่วงเย็นเราไปกันที่ Cape Zanpa เพื่อเก็บภาพแสงสุดท้ายของวัน
วันแรกเที่ยวจบแล้ว โปรแกรมสั้นเว่อร์ จากนั้นเราก็ไปเช็คอินที่พักกัน ซึ่งเราไปถึงหลัง 4 โมงเย็น ก็เลยต้องเช็คอินแบบ Self-Service ซึ่งทางที่พักแจ้งไว้ในเมลแล้ว เราก็ทำตามขั้นตอนที่เขาแนะนำไว้ได้เลย สะดวกมากๆ
พอเข้าที่พักเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราก็ออกมาหามื้อเย็นกินกัน ซึ่งยังคงเป็น Lawson เพราะไม่อยากเอารถออกแล้ว เดี๋ยวกลับมาจะไม่มีที่จอด
วันที่ 2 เราออกสตาร์ทกันสายๆ เพราะตื่นสาย ฮ่าๆ จึงเริ่มต้นด้วยการไปกินมื้อเช้ารวบเที่ยง (อีกแล้ว) ที่ Toya Fishing Port ท่าเรือประมงที่มีร้านอาหารอยู่ ชื่อร้าน Uminchu ซึ่งมีอาหารทะเลสดๆ ให้กินกันแบบฟินๆ แถมราคาไม่แพงด้วย
สีน้ำทะเลตรงท่าเรือประมงก็จะสวยประมาณนี้
กินกัน 2 คน จ่ายไปแค่ 1,160 เยน แถมกินไม่หมดอีก เพราะให้เยอะอยู่เหมือนกัน
ระเบียงชั้น 2 ของร้านอาหาร ยืนชมวิวถ่ายรูปได้สวยๆ
พออิ่มแล้วเราก็ไปกันที่ Arashiyama View Point ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นเกาะ Yagaji ได้แบบเต็มๆ สำหรับที่นี่ไม่ค่อยมีคนเลย เงียบสงบมากๆ เราเจอที่นี่มาจากเว็บเมืองนอก
ระหว่างทางเจอชายหาดสาธารณะที่เล่นน้ำได้ น่าจะชื่อว่า Kouki Beach เลยแวะเล็งๆ ไว้ก่อน
แวะหม่ำไอติม Blue Seal ไอติมขึ้นชื่อประจำเกาะโอกินาว่า ซึ่งมีอยู่ทั่วเกาะเลย
จากนั้นเราไปกันที่ Busena Underwater Observatory ประภาคารใต้น้ำที่ลึกลงไปในทะเลกว่า 20 เมตร ค่าเข้าคนละ 1,030 เยน ซึ่งตอนแรกแอบคิดว่าแพงอยู่นะ แต่พอเข้าไปแล้วขอบอกว่าคุ้มมากๆ เพราะแค่ปะการังตรงสะพานไปประภาคารยังสวยขนาดนี้
ในประภาคารจะมีช่องให้ดูโลกใต้ทะเลแบบนี้
สามารถให้อาหารปลาจากบนสะพานได้ด้วย มีตู้อาหารปลาแบบหยอดเหรียญบริการอยู่