ดอยเชียงดาว หรือ ดอยหลวงเชียงดาว ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทยรองมาจากดอยอินทนนท์และผ้าห่มปก มีความสูง 2,275 เมตร นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่นักเดินป่าหรือคนที่ชอบการผจญภัยต้องมาสัมผัสให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
ว่าเป็นเรื่องยากแล้วสำหรับการเดินป่า แต่ดอยหลวงมีสิ่งที่ยากกว่าคือ การจองคิวให้ได้ นั้นยากยิ่งกว่าอีกหลายเท่าเลยค่ะ (ยกเว้นคนที่ซื้อทริปจากบริษัททัวร์) ทริปนี้ถือว่ามีความตื่นเต้นไม่น้อยสำหรับเราเพราะเป็นการ Joy Trip ครั้งแรกในชีวิตโดยมีเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 6 คน เราเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้จักทุกคนและทุกคนก็ไม่เคยรู้จักเราด้วย สั้นๆเลยคือเรากับเพื่อนๆพยายามจะโทรจองไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวแต่ไม่สำเร็จ พอเห็นมีสมาชิกใน Pantip โพสต์หาเพื่อนร่วมทริป เอาเว้ยเข้าทางเราเลย ในที่สุดก็เลยทำให้เกิดการรีวิวทริปนี้ขึ้นมากับระยะเวลา 2 วัน 1 คืน
ทักทายกันก่อนค่าา..นี่ไงสมาชิกของพวกเรา สวยหล่อกันทั้งนั้นเลย *_^ (เพื่อนๆเป็นจาวเชียงใหม่จ้าว)
ปกติจะสรุปรายละเอียดและค่าใช้จ่ายเอาไว้ตอนท้าย แต่ทริปนี้ขอแจ้งก่อนเข้าเนื้อหาเพื่อคลายข้อสงสัยและไม่ต้องเลื่อนไปตอนท้ายแล้วย้อนกลับมาอ่านด้านบน
เนื่องจากทริปนี้เราไป Joy Trip กับเพื่อนๆที่อยู่เชียงใหม่เลยขอแยกค่าใช้จ่ายเป็น 2 ตอนนะคะ
ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
1.ค่าตั๋วเครื่องบิน ขาไป-ขากลับ 796 บาท (เนื่องจากใช้คะแนนแลกตั๋วและจ่ายส่วนต่างเพิ่ม)
2.ค่าที่พัก 1 คืน 600 บาท (จองที่พักในตัวเมืองผ่าน agoda)
3.ค่า Grab Bike จากสนามบิน-ที่พัก 105 บาท
4.ค่า Grab Bike จากที่พัก-ท่ารถช้างเผือก 250 บาท
5.ค่ารถเมล์ส้ม สายเชียงใหม่-ท่าตอน 40 บาท
รวม 1,791 บาท (ตัวเลขนี้เราโอเคเพราะต้องบอกว่าใจรักจริงๆ)
ค่าใช้จ่ายส่วนรวม (แบบรวบรัด)
1.ค่าธรรมเนียมต่างๆของเขตรักษาพันธุ์ฯ / ค่ารถรับ-ส่ง (เด่นหญ้าขัดและปางวัว) / ค่าลูกหาบ 3 คน / ค่าอาหารการกิน /ค่าอาหารหลังจบทริป รวมทั้งหมดแล้วทริปนี้ได้จ่าย 1,370 บาท/คน (สมาชิก 6 คน รวม 8,220 บาท)
**ปล.เต๊นท์ ถุงนอน เราเตรียมกันไปเองนะคะ **
ได้เวลาแล้ว มาลุยทริปดอยหลวงพร้อมกันเลยค่ะ เริ่มจากการเดินทางคนเดียวด้วยพี่หางแดง มาถึงเชียงใหม่ได้สัญญาณโทรศัพท์ปุ๊บรีบหยิบโทรศัพท์เรียกใช้บริการพี่ Grab Bike ทันที
ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีก็มาถึงที่พัก ด้วยบรรยากาศชุ่มฉ่ำหลังฝนเท บรรยากาศโรงแรมตามภาพเลยค่ะ ภาพรวมแล้วถือว่าคุ้มกับราคาเพราะจองได้ในราคา 600 บาท โรงแรมมณีนาราคร ในตัวเมืองเชียงใหม่
การนอนคนเดียวกับบรรยากาศห้องที่ออกแนวโบราณนิดๆก็ผ่านไปด้วยดี นัดพี่ Grab Bike คนเดิมที่ใช้บริการจากสนามบินเมื่อวานให้มารับเวลา 05.00 น.(ตรงเวลานี้แหละที่ทำให้พี่เขาคิดราคาExtra 250 บาท) เพื่อไปให้ทันรถเที่ยวแรกที่จะออกจากท่ารถช้างเผือกไปยัง อ.เชียงดาว และแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี
มาถึงแล้วเชียงดาว..บรรยากาศยามเช้าที่จุดพักรถอ.เชียงดาว เวลาประมาณ 07.10 น.ของวันที่ 10.11.17 อากาศเย็นๆที่ 19 องศาฯ
เพี่อนๆแบ่งบทบาท หน้าที่กันดีมาก จึงทำให้ขั้นตอนต่างๆเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว แล้วก็ถึงเวลาที่พี่ลูกหาบของเราต้องแบ่งสัมภาระกัน
ของพร้อม รถพร้อม คนพร้อม ลุยยย...รถจะรับเราจากเขตรักษาพันธุ์ไปยังเด่นหญ้าขัด ระยะทางช่วงนี้ค่อนข้างแคบและน่าตื่นเต้นตลอดทางเลย ถนนเส้นนี้ถ้าฝนตกคือจบ !!
มาถึงล๊าวว เด่นหญ้าขัด พี่ลูกหาบแพคของเพื่อความชัวร์อีกรอบเพราะครั้งนี้ต้องเดินป่าแล้วจริงๆ
ชักภาพอีกนิสสส..ก่อนเดินลุย >>>
การเดินทางของพวกเราได้เริ่มขึ้นแล้ว Go..go..go >>
อีกหนึ่งเป้าหมายของทริปนี้ คือ การได้เจอดอกเทียนนกแก้ว แสนสวยนี่เอง เย่ๆๆ..เราได้เจอกันแล้ว
ดอกเทียนนกแก้วสีขาว โชคดีมากค่ะที่ได้เจอสีขาวด้วย อยู่ใกล้ๆจุดกางเต๊นท์เราเลย
ดอกกุหลาบพันปี แต่ได้เห็นแค่ช่อที่ยังตูมอยู่คาดว่าดอกเต็มๆน่าจะบานช่วงเดือนธันวาคมค่ะ (ส่วนเราก็ชมต้นไปก่อน หุหุ)
ดอกบัวตองนั้นบานอยู่บนยอดดอย.. (มาเป็นเพลงเชียว) เชื่อแล้วค่ะว่าบานบนยอดดอยจริงๆ
เหนื่อยก็พัก ระหว่างทางก็มีจุดให้แวะพักเรื่อยๆ ทั้งเราทั้งลูกหาบนั่งพักเอาแรงกันก่อนแล้วค่อยไปต่อ...
ณ.จุดนี้..อะไรก็อร่อย
นี่ไง..สวรรค์ของคนทุกข์หนัก..สุขาาาาา มองตามป้ายลูกศรชี้เลยค่าาา *_^
ทางเดินบางจุดก็จะค่อนข้างชัน ดังนั้นเราต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวแล้วคูณสอง..บ !!
หลังจากที่ได้ฝ่าฟันทางเรียบ ทางตรง ทางดิ่ง ทางชันและหญ้าคาตบหน้าตลอดทางแล้ว พวกเราก็ได้เจอป้ายสวรรค์ชี้ทาง..
ปักหมุดได้ก็รีบช่วยกันกางเต๊นท์ ที่นอนคืนนี้ก็ตามภาพเลยจ้า จัดการทุกอย่างเรียบร้อยเวลาก็ปาเข้าไป 16.30 น.ภารกิจวันนี้ยังไม่จบค่ะ เป้าหมายต่อไปคือการเดินขึ้นไปบนยอดเขาที่ยู่ตรงหน้าเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดิน..ลุยยย
ทางเดินขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ชันมากบอกเลย ก้อนหินทั้งน้านนน...โปรดเป็นกำลังใจให้พวกเราต่อไปนะคะ 555
ถึงแล้วว>>ยอดเขาสูง ป้ายนี้เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่เลยแหละ มาแล้วต้องถ่ายรูปคู่ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราเคยมา(มาครั้งเดียวนี่แหละ555)
ใครจะเชื่อว่าเราอยู่เหนือหมอก..โมเม้นต์นั่งมองหมอกลอย บ้างก็โดนสายหมอกกระทบใบหน้า ฟินสุดๆเลยค่ะ
ภาพนี้ดูเหมือนดีใจและภูมิใจกับชัยชนะของตังเองมากค่ะ (แน่ละซิ ! เพราะต้องใช้ความอดทนสูงมากกว่าจะมาถึงจุดนี้)
อันนี้คืออุณหภูมิตอนประมาณ 15.15 น.ของวันที่ 10.11.17 ณ.จุดกางเต๊นท์
หลังจากที่ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก ลงมาจากยอดเขาถึงที่พักก็มืดพอดี ได้เวลาปาร์ตี้สุ้กี้แสนอร่อยของพวกเราแล้วจ้า ขอบอกว่าเสบียงเรามีเยอะกินแบบไม่ต้องกลัวหมด (แต่กลัวเหลือ แบกกลับเองมันหนักน๊า) ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงต้องอัดเข้าให้เต็มพุง กินไปคุยกันไปอร่อยเพลินถึง 20.30 น.เริ่มไม่ไหวกันแล้วด้วยสภาพอากาศที่เริ่มเย็นลงทุกที..GoOd NiGhT..Zzz
ตื่นๆๆ 04.00 น.คือเวลาตื่นของพวกเราค่ะ เพราะนัดพี่ลูกหาบให้พาขึ้นไปบนจุดชมวิว "กิ่วลมเหนือ" สภาพทางเดินตลอดระยะทางคือสูง ชัน ลื่น มืด (ด้วยเหตุฉะนี้พี่ลูกหาบจึงต้องตามมาดูแลพวกเรา อิอิ) เอาเป็นว่าภาพโหดๆเราจะไม่โชว์เพราะอยากให้เพื่อนๆได้เห็นภาพวิวสวยๆบนนี้กัน ตามภาพเลยจ้า
ผู้คนมากมายยอมทอดกายเดินขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและโผล่มาให้เห็นอย่างสวยงาม แต่ที่ใหนได้ฟ้าปิด หมอกหนาเตอะ จบข่าว !! สรุปคือ โอกาสยากมากค่ะที่จะโชคดีได้เห็นพระอาทิตย์โผล่มาต้อนรับเพราะหมอกมาเป็นขบวนตลอเวลา
นางแบบ แบบว่าฟินมากค่าากับทะเลหมอกอันหนาตึ๊บ อิอิ
หลังจากกลับลงมาจาก "กิ่วลมเหนือ" พวกเราก็ทานอาหารเช้าแบบเบาๆ มาม่า กาแฟ โอวัลติน ปลากระป๋อง คือเสบียงที่เหลือต้องเคลียร์เพราะไม่อยากแบกกลับ เสร็จสิ้นภารกิจก็เก็บเต๊นท์โดยจะมีพี่ลูกหาบคอยช่วยเหลือ (น่ารักที่ซู๊ดดด)
เวลา 10.10 น. คือเวลาเริ่มเดินทางกลับของพวกเรา แต่สิ่งที่มาพร้อมกับการเดินทางครั้งนี้คือสายฝนจ้า เริ่มจากปรอยๆและตกหนักในที่สุด โชคดีที่เราเตรียมผ้ากันฝนมาพร้อม
เดินทางมาถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะไปทางใหนดีระหว่างปางวัว (สั้นแต่ชัน) กับเด่นหญ้าขัด (ไกลแต่ไปเรื่อยๆ) ผลโหวตออกมาว่าไปเส้นปางวัว สภาพพื้นดิน ณ.เวลานั้นก็ตามภาพเลยค่ะฝนเท ถนนลื่น(มากๆ) บางจุดก็เล่นสไลเดอร์กันไปสนุกสนาน
ในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จ เดินมาถึงจุดหมายปลายทาง อยากจะขอบคุณรองเท้าที่คอยร่วมทุกข์กับเรามาใช้เวลาเดินไป-กลับ เที่ยวละ 4 ชม.ขากลับที่ต้องใช้เวลาเยอะเนื่องจากฝนตก
รถมารอรับที่ปางวัว สภาพก็ตามที่เห็นกันเลยจ้า บ้างก็เพลีย บ้างก็หิว ปูท้อง..เอ๊ย ! รองท้องกันด้วยขนมปังไปก่อนละกัน แล้วก็เดินทางไปยังเขตรัษาพันธุ์เพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่าย
อันนี้เอาข้อมูลมาจากโทรศัพท์เราเองจ้า ไอโฟนเขาจะมีแอพพลิเคชั่นติดมากับเครื่องเลย "Health" ซึ่งเราจะสามารถเช็คข้อมูลต่างๆในแต่ละวันของตัวเองได้จากภาพก็จะมีบอกระยะทาง จำนวนก้าวในแต่ละวัน และเทียบความสูงจากตึก
คำแนะนำสำหรับทริปนี้
1.ปัญหาหลักเลยคือค่อนข้างโทรจองยาก โทรมาบางทีสายไม่ว่างให้ใช้ความพยามยาม(สูง) นิดนึง
2.ถ้าใครอยากตัดปัญหาข้อที่ 1.ก็แนะนำให้ซื้อแพคเกจกับทัวร์เลย
3.ยาคลายกล้ามเนื้อพกติดตัวก็ดี (เราใช้ตลอดทริป)
4.ผ้ากันฝนไม่ควรพลาด
5.แนะนำให้มาช่วงเดือนแรกๆที่เขตรักษาพันธุ์ฯเริ่มเปิดให้เดินป่า(มาหลังๆคุณอาจจะเจอปัญหาเรื่องขรี้ๆ)
6.รองเท้าแนะนำว่าควรเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์
7.สภาพอากาศจากการพยากรณ์เชื่อไม่ได้เสมอไป
8.เตรียมกาย ใจ ให้พร้อมและลุยให้เต็มที่ ประสบการณ์ดีๆรอคุณอยู่
**ขอให้ทุกคนที่มีแพลนจะไปโชคดี ไม่เจอฝน ฟ้าเปิด เพลิดเพลินและเบิกบานตลอดทริป**
[CR] [รีวิว] ยินดีที่ได้รู้จัก..ดอยหลวงเชียงดาว 2017
ว่าเป็นเรื่องยากแล้วสำหรับการเดินป่า แต่ดอยหลวงมีสิ่งที่ยากกว่าคือ การจองคิวให้ได้ นั้นยากยิ่งกว่าอีกหลายเท่าเลยค่ะ (ยกเว้นคนที่ซื้อทริปจากบริษัททัวร์) ทริปนี้ถือว่ามีความตื่นเต้นไม่น้อยสำหรับเราเพราะเป็นการ Joy Trip ครั้งแรกในชีวิตโดยมีเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 6 คน เราเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้จักทุกคนและทุกคนก็ไม่เคยรู้จักเราด้วย สั้นๆเลยคือเรากับเพื่อนๆพยายามจะโทรจองไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวแต่ไม่สำเร็จ พอเห็นมีสมาชิกใน Pantip โพสต์หาเพื่อนร่วมทริป เอาเว้ยเข้าทางเราเลย ในที่สุดก็เลยทำให้เกิดการรีวิวทริปนี้ขึ้นมากับระยะเวลา 2 วัน 1 คืน
ทักทายกันก่อนค่าา..นี่ไงสมาชิกของพวกเรา สวยหล่อกันทั้งนั้นเลย *_^ (เพื่อนๆเป็นจาวเชียงใหม่จ้าว)
ปกติจะสรุปรายละเอียดและค่าใช้จ่ายเอาไว้ตอนท้าย แต่ทริปนี้ขอแจ้งก่อนเข้าเนื้อหาเพื่อคลายข้อสงสัยและไม่ต้องเลื่อนไปตอนท้ายแล้วย้อนกลับมาอ่านด้านบน
เนื่องจากทริปนี้เราไป Joy Trip กับเพื่อนๆที่อยู่เชียงใหม่เลยขอแยกค่าใช้จ่ายเป็น 2 ตอนนะคะ
ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
1.ค่าตั๋วเครื่องบิน ขาไป-ขากลับ 796 บาท (เนื่องจากใช้คะแนนแลกตั๋วและจ่ายส่วนต่างเพิ่ม)
2.ค่าที่พัก 1 คืน 600 บาท (จองที่พักในตัวเมืองผ่าน agoda)
3.ค่า Grab Bike จากสนามบิน-ที่พัก 105 บาท
4.ค่า Grab Bike จากที่พัก-ท่ารถช้างเผือก 250 บาท
5.ค่ารถเมล์ส้ม สายเชียงใหม่-ท่าตอน 40 บาท
รวม 1,791 บาท (ตัวเลขนี้เราโอเคเพราะต้องบอกว่าใจรักจริงๆ)
ค่าใช้จ่ายส่วนรวม (แบบรวบรัด)
1.ค่าธรรมเนียมต่างๆของเขตรักษาพันธุ์ฯ / ค่ารถรับ-ส่ง (เด่นหญ้าขัดและปางวัว) / ค่าลูกหาบ 3 คน / ค่าอาหารการกิน /ค่าอาหารหลังจบทริป รวมทั้งหมดแล้วทริปนี้ได้จ่าย 1,370 บาท/คน (สมาชิก 6 คน รวม 8,220 บาท)
**ปล.เต๊นท์ ถุงนอน เราเตรียมกันไปเองนะคะ **
ได้เวลาแล้ว มาลุยทริปดอยหลวงพร้อมกันเลยค่ะ เริ่มจากการเดินทางคนเดียวด้วยพี่หางแดง มาถึงเชียงใหม่ได้สัญญาณโทรศัพท์ปุ๊บรีบหยิบโทรศัพท์เรียกใช้บริการพี่ Grab Bike ทันที
ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีก็มาถึงที่พัก ด้วยบรรยากาศชุ่มฉ่ำหลังฝนเท บรรยากาศโรงแรมตามภาพเลยค่ะ ภาพรวมแล้วถือว่าคุ้มกับราคาเพราะจองได้ในราคา 600 บาท โรงแรมมณีนาราคร ในตัวเมืองเชียงใหม่
การนอนคนเดียวกับบรรยากาศห้องที่ออกแนวโบราณนิดๆก็ผ่านไปด้วยดี นัดพี่ Grab Bike คนเดิมที่ใช้บริการจากสนามบินเมื่อวานให้มารับเวลา 05.00 น.(ตรงเวลานี้แหละที่ทำให้พี่เขาคิดราคาExtra 250 บาท) เพื่อไปให้ทันรถเที่ยวแรกที่จะออกจากท่ารถช้างเผือกไปยัง อ.เชียงดาว และแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี
มาถึงแล้วเชียงดาว..บรรยากาศยามเช้าที่จุดพักรถอ.เชียงดาว เวลาประมาณ 07.10 น.ของวันที่ 10.11.17 อากาศเย็นๆที่ 19 องศาฯ
เพี่อนๆแบ่งบทบาท หน้าที่กันดีมาก จึงทำให้ขั้นตอนต่างๆเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว แล้วก็ถึงเวลาที่พี่ลูกหาบของเราต้องแบ่งสัมภาระกัน
ของพร้อม รถพร้อม คนพร้อม ลุยยย...รถจะรับเราจากเขตรักษาพันธุ์ไปยังเด่นหญ้าขัด ระยะทางช่วงนี้ค่อนข้างแคบและน่าตื่นเต้นตลอดทางเลย ถนนเส้นนี้ถ้าฝนตกคือจบ !!
มาถึงล๊าวว เด่นหญ้าขัด พี่ลูกหาบแพคของเพื่อความชัวร์อีกรอบเพราะครั้งนี้ต้องเดินป่าแล้วจริงๆ
ชักภาพอีกนิสสส..ก่อนเดินลุย >>>
การเดินทางของพวกเราได้เริ่มขึ้นแล้ว Go..go..go >>
อีกหนึ่งเป้าหมายของทริปนี้ คือ การได้เจอดอกเทียนนกแก้ว แสนสวยนี่เอง เย่ๆๆ..เราได้เจอกันแล้ว
ดอกเทียนนกแก้วสีขาว โชคดีมากค่ะที่ได้เจอสีขาวด้วย อยู่ใกล้ๆจุดกางเต๊นท์เราเลย
ดอกกุหลาบพันปี แต่ได้เห็นแค่ช่อที่ยังตูมอยู่คาดว่าดอกเต็มๆน่าจะบานช่วงเดือนธันวาคมค่ะ (ส่วนเราก็ชมต้นไปก่อน หุหุ)
ดอกบัวตองนั้นบานอยู่บนยอดดอย.. (มาเป็นเพลงเชียว) เชื่อแล้วค่ะว่าบานบนยอดดอยจริงๆ
เหนื่อยก็พัก ระหว่างทางก็มีจุดให้แวะพักเรื่อยๆ ทั้งเราทั้งลูกหาบนั่งพักเอาแรงกันก่อนแล้วค่อยไปต่อ...
ณ.จุดนี้..อะไรก็อร่อย
นี่ไง..สวรรค์ของคนทุกข์หนัก..สุขาาาาา มองตามป้ายลูกศรชี้เลยค่าาา *_^
ทางเดินบางจุดก็จะค่อนข้างชัน ดังนั้นเราต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวแล้วคูณสอง..บ !!
หลังจากที่ได้ฝ่าฟันทางเรียบ ทางตรง ทางดิ่ง ทางชันและหญ้าคาตบหน้าตลอดทางแล้ว พวกเราก็ได้เจอป้ายสวรรค์ชี้ทาง..
ปักหมุดได้ก็รีบช่วยกันกางเต๊นท์ ที่นอนคืนนี้ก็ตามภาพเลยจ้า จัดการทุกอย่างเรียบร้อยเวลาก็ปาเข้าไป 16.30 น.ภารกิจวันนี้ยังไม่จบค่ะ เป้าหมายต่อไปคือการเดินขึ้นไปบนยอดเขาที่ยู่ตรงหน้าเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดิน..ลุยยย
ทางเดินขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ชันมากบอกเลย ก้อนหินทั้งน้านนน...โปรดเป็นกำลังใจให้พวกเราต่อไปนะคะ 555
ถึงแล้วว>>ยอดเขาสูง ป้ายนี้เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่เลยแหละ มาแล้วต้องถ่ายรูปคู่ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราเคยมา(มาครั้งเดียวนี่แหละ555)
ใครจะเชื่อว่าเราอยู่เหนือหมอก..โมเม้นต์นั่งมองหมอกลอย บ้างก็โดนสายหมอกกระทบใบหน้า ฟินสุดๆเลยค่ะ
ภาพนี้ดูเหมือนดีใจและภูมิใจกับชัยชนะของตังเองมากค่ะ (แน่ละซิ ! เพราะต้องใช้ความอดทนสูงมากกว่าจะมาถึงจุดนี้)
อันนี้คืออุณหภูมิตอนประมาณ 15.15 น.ของวันที่ 10.11.17 ณ.จุดกางเต๊นท์
หลังจากที่ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตก ลงมาจากยอดเขาถึงที่พักก็มืดพอดี ได้เวลาปาร์ตี้สุ้กี้แสนอร่อยของพวกเราแล้วจ้า ขอบอกว่าเสบียงเรามีเยอะกินแบบไม่ต้องกลัวหมด (แต่กลัวเหลือ แบกกลับเองมันหนักน๊า) ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงต้องอัดเข้าให้เต็มพุง กินไปคุยกันไปอร่อยเพลินถึง 20.30 น.เริ่มไม่ไหวกันแล้วด้วยสภาพอากาศที่เริ่มเย็นลงทุกที..GoOd NiGhT..Zzz
ตื่นๆๆ 04.00 น.คือเวลาตื่นของพวกเราค่ะ เพราะนัดพี่ลูกหาบให้พาขึ้นไปบนจุดชมวิว "กิ่วลมเหนือ" สภาพทางเดินตลอดระยะทางคือสูง ชัน ลื่น มืด (ด้วยเหตุฉะนี้พี่ลูกหาบจึงต้องตามมาดูแลพวกเรา อิอิ) เอาเป็นว่าภาพโหดๆเราจะไม่โชว์เพราะอยากให้เพื่อนๆได้เห็นภาพวิวสวยๆบนนี้กัน ตามภาพเลยจ้า
ผู้คนมากมายยอมทอดกายเดินขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและโผล่มาให้เห็นอย่างสวยงาม แต่ที่ใหนได้ฟ้าปิด หมอกหนาเตอะ จบข่าว !! สรุปคือ โอกาสยากมากค่ะที่จะโชคดีได้เห็นพระอาทิตย์โผล่มาต้อนรับเพราะหมอกมาเป็นขบวนตลอเวลา
นางแบบ แบบว่าฟินมากค่าากับทะเลหมอกอันหนาตึ๊บ อิอิ
หลังจากกลับลงมาจาก "กิ่วลมเหนือ" พวกเราก็ทานอาหารเช้าแบบเบาๆ มาม่า กาแฟ โอวัลติน ปลากระป๋อง คือเสบียงที่เหลือต้องเคลียร์เพราะไม่อยากแบกกลับ เสร็จสิ้นภารกิจก็เก็บเต๊นท์โดยจะมีพี่ลูกหาบคอยช่วยเหลือ (น่ารักที่ซู๊ดดด)
เวลา 10.10 น. คือเวลาเริ่มเดินทางกลับของพวกเรา แต่สิ่งที่มาพร้อมกับการเดินทางครั้งนี้คือสายฝนจ้า เริ่มจากปรอยๆและตกหนักในที่สุด โชคดีที่เราเตรียมผ้ากันฝนมาพร้อม
เดินทางมาถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะไปทางใหนดีระหว่างปางวัว (สั้นแต่ชัน) กับเด่นหญ้าขัด (ไกลแต่ไปเรื่อยๆ) ผลโหวตออกมาว่าไปเส้นปางวัว สภาพพื้นดิน ณ.เวลานั้นก็ตามภาพเลยค่ะฝนเท ถนนลื่น(มากๆ) บางจุดก็เล่นสไลเดอร์กันไปสนุกสนาน
ในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จ เดินมาถึงจุดหมายปลายทาง อยากจะขอบคุณรองเท้าที่คอยร่วมทุกข์กับเรามาใช้เวลาเดินไป-กลับ เที่ยวละ 4 ชม.ขากลับที่ต้องใช้เวลาเยอะเนื่องจากฝนตก
รถมารอรับที่ปางวัว สภาพก็ตามที่เห็นกันเลยจ้า บ้างก็เพลีย บ้างก็หิว ปูท้อง..เอ๊ย ! รองท้องกันด้วยขนมปังไปก่อนละกัน แล้วก็เดินทางไปยังเขตรัษาพันธุ์เพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่าย
อันนี้เอาข้อมูลมาจากโทรศัพท์เราเองจ้า ไอโฟนเขาจะมีแอพพลิเคชั่นติดมากับเครื่องเลย "Health" ซึ่งเราจะสามารถเช็คข้อมูลต่างๆในแต่ละวันของตัวเองได้จากภาพก็จะมีบอกระยะทาง จำนวนก้าวในแต่ละวัน และเทียบความสูงจากตึก
คำแนะนำสำหรับทริปนี้
1.ปัญหาหลักเลยคือค่อนข้างโทรจองยาก โทรมาบางทีสายไม่ว่างให้ใช้ความพยามยาม(สูง) นิดนึง
2.ถ้าใครอยากตัดปัญหาข้อที่ 1.ก็แนะนำให้ซื้อแพคเกจกับทัวร์เลย
3.ยาคลายกล้ามเนื้อพกติดตัวก็ดี (เราใช้ตลอดทริป)
4.ผ้ากันฝนไม่ควรพลาด
5.แนะนำให้มาช่วงเดือนแรกๆที่เขตรักษาพันธุ์ฯเริ่มเปิดให้เดินป่า(มาหลังๆคุณอาจจะเจอปัญหาเรื่องขรี้ๆ)
6.รองเท้าแนะนำว่าควรเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์
7.สภาพอากาศจากการพยากรณ์เชื่อไม่ได้เสมอไป
8.เตรียมกาย ใจ ให้พร้อมและลุยให้เต็มที่ ประสบการณ์ดีๆรอคุณอยู่
**ขอให้ทุกคนที่มีแพลนจะไปโชคดี ไม่เจอฝน ฟ้าเปิด เพลิดเพลินและเบิกบานตลอดทริป**
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น