ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง สัปดาห์นี้มีหนังยึดโรงฉายอยู่แทบจะเรียกว่าเรื่องเดียวเลย สำหรับการรวมทีม Superheroes จากค่าย #DC ที่หลายคนตั้งตารอ ตั้งแต่ #BATMANvSUPERMAN ที่มีทั้งนชอบและไม่ชอบ เพราะหนังค่อนข้างดาร์คมากและดราม่ายืดเยื้อ (แต่ผมโคตรชอบ) ซึ่งก็มีการเอาไปเปรียบเทียบกับอีกค่ายที่เน้นโทนสดใส ก็มันคนละสไตล์ชัดเจนอยู่แล้ว และต่างค่ายต่างก็มีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไป
จากความตื่นตัวเรื่องการกอบกู้ศรัทธาจากมนุษย์ และด้วยแรงบันดาลใจจากความเสียสละของซูเปอร์แมน บรูซ เวย์นจึงขอความช่วยเหลือจากเพื่อนใหม่ ไดอาน่า ปรินซ์ เพื่อผนึกกำลังไปเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยกัน แบทแมนและวันเดอร์วูแมนต้องรวมทีมยอดมนุษย์เพื่อต่อสู้กับมหันตภัยร้ายครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง แต่การรวมทีมเหล่าฮีโร่ที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแบทแมน วันเดอร์วูแมน อะควาแมน ไซบอร์ก และ เดอะแฟลช อาจสายเกินไปสำหรับการกอบกู้โลกจากกลุ่มเหล่าร้ายที่บุกจู่โจมอย่าง สเตพเพนวูลฟ์
หนังเดินเรื่องไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากมาย ไปตรงๆ มันนี่แหละ โดยเลือกที่จะเปิดด้วยการเกริ่นนำเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจาก BvS แล้วจึงบอกให้คนดูรู้จักตัวละครหลักอีกสามตัวแบบคร่าวๆ คือคร่าวจริงๆ เรียกว่าแทบจะไม่ได้อินอะไรกับตัวละครใหม่ อย่าง Cyborg, Aquaman, หรือ The Flash เลย ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นข้อที่น่าเสียดายมากๆ ในหนัง เพราะถือว่าเป็นสีสันใหม่ที่จะพาไปสู่เรื่องราวต่อเนื่อง แต่มันก็ทำให้หนังดูไม่ยืดยาดและรวบรัดมากขึ้น
หลังจากเกริ่นว่าใครเป็นใคร ศัตรูมาจากไหน แล้วหนังก็เดินไปแบบหนัง Superheroes ตามสูตรปกติ สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่หนังเล่นปมของตัวละครแต่ละตัว ที่ทำให้ทีมไม่ค่อยลงตัว แต่ก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ ซึ่งอย่างที่บอก ทำให้ความผูกพันธ์กับตัวละครกับคนดูมีน้อยเกินไป แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบให้หนังมีอะไรมาขึ้นกว่าการรวมทีมอย่างเดียว
อีกอย่างที่จะเรียกว่าดีหรือไม่ดีก็ได้ คือหนังปูเรื่องมาแบบทุกอย่างยากลำบากแทบจะทุกปัญหาจะต้องเจออุปสรรคนานัปการ ทั้งการปกป้อง มาเธอร์บ็อกซ์ ไม่ให้ตกอยู่ในมือของวายร้าย ทั้งปมตัวละครที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดจิกกัดกันให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตของทีม และปัญหาของทีมที่จะจัดการกับเรื่องของชายที่ชื่อ “ซุปเปอร์แมน” รวมไปถึงการดึงทุกคนให้เต็มใจเป็นส่วนหนึ่งของทีมด้วยคำว่า “ศรัทธา” หนังปูมาซะยากเย็นแต่สุดท้ายหนังกลับสรุปทุกอย่างได้ง่ายมาก มากจนแบบผมคิดว่า เฮ้ย...ทำไมมันง่ายจัง
ตัวละครมาใหม่แต่ละตัว ถือว่ายังทำงานตามกลไกของหนังได้ไม่ค่อยดีนัก อย่างที่บอก คนดูยังไม่ได้รู้สึกอินกับตัวละครใหม่ทั้งสามตัวเท่าไหร่ Cyborg นี่หนักเลย ตัวเองด้อยอยู่แล้ว บทในหนังก็ไม่ได้สร้างความผูกพันให้คนดูเท่าไหร่ Aquaman นี่น่าเสียดายมาก เป็นตัวที่เท่และเกรียนพอจะเรียกความฮืฮาได้ ก็ไม่ค่อยมีบทบาทนัก จะมีก็แค่ The Flash ที่สร้างสีสันให้น่าจดจำได้ดีกว่าตัวละครอื่น ซึ่งถ้าใครไม่เคยดูเวอร์ชั่น TV Series ที่ติดดราม่าพอสมควร มาเจอสายเกรียนในหนัง น่าจะหลงรักได้ไม่ยาก และผมมองว่า Flash เวอร์ชั่นนี้น่าอาจจะถูกปูทางให้ไปสร้างเป็นหนังเดี่ยวของจักรวาลหนัง DC ก็ได้
จุดเด่นที่สุดของหนัง ก็ต้องยกให้ฉากแอ็คชั่นที่หนักหน่วงรุนแรง และดูสู้กันแบบซีเรียสในสไตล์ของ DC แหละครับ ซึ่งในการต่อสู้ของ DC นั้นไม่ได้มีมุขตลกแทรกเข้ามาเบรกเหมือนหนัง Marvel ทำให้อารมณ์มันค่อนข้างต่อเนื่องและดูมันส์กันแบบยาวๆ ฉาก CG ดูสวยงามอลังการ ไม่ทิ้งลายการผลิตของ Zack Snyder แม้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นจนต้องถอนตัวและให้ผู้กำกับคนใหม่อย่าง จอส วีดอน ที่เข้ามารับหน้าที่สานต่อแทนก็ยังคงความเจ๋งของฉากต่อสู้ในแบบ DC ไว้ได้อยู่ เรียกได้ว่าดูฉากต่อสู้สวยๆ มันส์ๆ กันยาวๆ เลยทีเดียว
จุดที่น่าเสียดายอีกจุดคือเรื่องของเพลงประกอบ ที่ในหนัง JL นี้เรียกได้ว่า ไม่โดดเด่นและหายเข้ากลีบเมฆไปเลย หลังจากที่ไม่มี Hans Zimmer ที่ดูจะเป็นมือทองที่ทำซ่สน์และเพลงได้เหมาะกับหนัง DC ที่สุดแล้ว พอไม่มีเขาเพลงประกอบก็ไม่โดเด่น ถึงแม้จะมีการโปรโมทด้วยเพลง Come Together เวอร์ชั่นร็อค แต่ในหนังกลับไม่เอามาใช้ซะอย่างงั้น
สุดท้ายถามว่าหนังดีมั๊ย ผมก็ว่ามันก็คงต้องมีสองเสียงแยกกันชัดเจนเหมือนเดิม ส่วนตัวผมชอบมากกว่า Thor Raknarok นะ เพราะผมชอบความดาร์ค (ที่ภาคนี้มีน้อยลง) ของ DC และชอบฉากต่อสู้ที่อัดกันจริงๆ จังๆ และความที่ดูแข็งแกร่งดุดันของตัวละครทุกตัวมากกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็อย่างที่บอกว่า หนังมันมีทั้งจุดเด่นจุดด้อยที่มีรวมๆ กันไป แต่ก็มี Easter Egg หลายอันเหมือนกันที่บอกคนดูว่า เราคงได้ดูหนัง Superheroes อีกหลายตัวเลยล่ะ
ปล. มี End Credit 2 อัน อันแรกแบบเกรียนๆ อันที่สอง ปูทางไปเรื่องใหม่ (อันที่สองนี่เด็ด ห้ามพลาด)
ฝากเพจด้วยนะครับ >>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[CR] [#Review] Justice League - มีทั้งดีและไม่ดี แต่ก็ดีกว่าที่หวัง ลดดราม่า ลดยืดเยื้อ เนื้อๆ เน้นๆ (มีสปอยล์เล็กๆ)
จากความตื่นตัวเรื่องการกอบกู้ศรัทธาจากมนุษย์ และด้วยแรงบันดาลใจจากความเสียสละของซูเปอร์แมน บรูซ เวย์นจึงขอความช่วยเหลือจากเพื่อนใหม่ ไดอาน่า ปรินซ์ เพื่อผนึกกำลังไปเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยกัน แบทแมนและวันเดอร์วูแมนต้องรวมทีมยอดมนุษย์เพื่อต่อสู้กับมหันตภัยร้ายครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง แต่การรวมทีมเหล่าฮีโร่ที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแบทแมน วันเดอร์วูแมน อะควาแมน ไซบอร์ก และ เดอะแฟลช อาจสายเกินไปสำหรับการกอบกู้โลกจากกลุ่มเหล่าร้ายที่บุกจู่โจมอย่าง สเตพเพนวูลฟ์
หนังเดินเรื่องไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากมาย ไปตรงๆ มันนี่แหละ โดยเลือกที่จะเปิดด้วยการเกริ่นนำเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจาก BvS แล้วจึงบอกให้คนดูรู้จักตัวละครหลักอีกสามตัวแบบคร่าวๆ คือคร่าวจริงๆ เรียกว่าแทบจะไม่ได้อินอะไรกับตัวละครใหม่ อย่าง Cyborg, Aquaman, หรือ The Flash เลย ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นข้อที่น่าเสียดายมากๆ ในหนัง เพราะถือว่าเป็นสีสันใหม่ที่จะพาไปสู่เรื่องราวต่อเนื่อง แต่มันก็ทำให้หนังดูไม่ยืดยาดและรวบรัดมากขึ้น
หลังจากเกริ่นว่าใครเป็นใคร ศัตรูมาจากไหน แล้วหนังก็เดินไปแบบหนัง Superheroes ตามสูตรปกติ สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่หนังเล่นปมของตัวละครแต่ละตัว ที่ทำให้ทีมไม่ค่อยลงตัว แต่ก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ ซึ่งอย่างที่บอก ทำให้ความผูกพันธ์กับตัวละครกับคนดูมีน้อยเกินไป แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบให้หนังมีอะไรมาขึ้นกว่าการรวมทีมอย่างเดียว
อีกอย่างที่จะเรียกว่าดีหรือไม่ดีก็ได้ คือหนังปูเรื่องมาแบบทุกอย่างยากลำบากแทบจะทุกปัญหาจะต้องเจออุปสรรคนานัปการ ทั้งการปกป้อง มาเธอร์บ็อกซ์ ไม่ให้ตกอยู่ในมือของวายร้าย ทั้งปมตัวละครที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดจิกกัดกันให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตของทีม และปัญหาของทีมที่จะจัดการกับเรื่องของชายที่ชื่อ “ซุปเปอร์แมน” รวมไปถึงการดึงทุกคนให้เต็มใจเป็นส่วนหนึ่งของทีมด้วยคำว่า “ศรัทธา” หนังปูมาซะยากเย็นแต่สุดท้ายหนังกลับสรุปทุกอย่างได้ง่ายมาก มากจนแบบผมคิดว่า เฮ้ย...ทำไมมันง่ายจัง
ตัวละครมาใหม่แต่ละตัว ถือว่ายังทำงานตามกลไกของหนังได้ไม่ค่อยดีนัก อย่างที่บอก คนดูยังไม่ได้รู้สึกอินกับตัวละครใหม่ทั้งสามตัวเท่าไหร่ Cyborg นี่หนักเลย ตัวเองด้อยอยู่แล้ว บทในหนังก็ไม่ได้สร้างความผูกพันให้คนดูเท่าไหร่ Aquaman นี่น่าเสียดายมาก เป็นตัวที่เท่และเกรียนพอจะเรียกความฮืฮาได้ ก็ไม่ค่อยมีบทบาทนัก จะมีก็แค่ The Flash ที่สร้างสีสันให้น่าจดจำได้ดีกว่าตัวละครอื่น ซึ่งถ้าใครไม่เคยดูเวอร์ชั่น TV Series ที่ติดดราม่าพอสมควร มาเจอสายเกรียนในหนัง น่าจะหลงรักได้ไม่ยาก และผมมองว่า Flash เวอร์ชั่นนี้น่าอาจจะถูกปูทางให้ไปสร้างเป็นหนังเดี่ยวของจักรวาลหนัง DC ก็ได้
จุดเด่นที่สุดของหนัง ก็ต้องยกให้ฉากแอ็คชั่นที่หนักหน่วงรุนแรง และดูสู้กันแบบซีเรียสในสไตล์ของ DC แหละครับ ซึ่งในการต่อสู้ของ DC นั้นไม่ได้มีมุขตลกแทรกเข้ามาเบรกเหมือนหนัง Marvel ทำให้อารมณ์มันค่อนข้างต่อเนื่องและดูมันส์กันแบบยาวๆ ฉาก CG ดูสวยงามอลังการ ไม่ทิ้งลายการผลิตของ Zack Snyder แม้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นจนต้องถอนตัวและให้ผู้กำกับคนใหม่อย่าง จอส วีดอน ที่เข้ามารับหน้าที่สานต่อแทนก็ยังคงความเจ๋งของฉากต่อสู้ในแบบ DC ไว้ได้อยู่ เรียกได้ว่าดูฉากต่อสู้สวยๆ มันส์ๆ กันยาวๆ เลยทีเดียว
จุดที่น่าเสียดายอีกจุดคือเรื่องของเพลงประกอบ ที่ในหนัง JL นี้เรียกได้ว่า ไม่โดดเด่นและหายเข้ากลีบเมฆไปเลย หลังจากที่ไม่มี Hans Zimmer ที่ดูจะเป็นมือทองที่ทำซ่สน์และเพลงได้เหมาะกับหนัง DC ที่สุดแล้ว พอไม่มีเขาเพลงประกอบก็ไม่โดเด่น ถึงแม้จะมีการโปรโมทด้วยเพลง Come Together เวอร์ชั่นร็อค แต่ในหนังกลับไม่เอามาใช้ซะอย่างงั้น
สุดท้ายถามว่าหนังดีมั๊ย ผมก็ว่ามันก็คงต้องมีสองเสียงแยกกันชัดเจนเหมือนเดิม ส่วนตัวผมชอบมากกว่า Thor Raknarok นะ เพราะผมชอบความดาร์ค (ที่ภาคนี้มีน้อยลง) ของ DC และชอบฉากต่อสู้ที่อัดกันจริงๆ จังๆ และความที่ดูแข็งแกร่งดุดันของตัวละครทุกตัวมากกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็อย่างที่บอกว่า หนังมันมีทั้งจุดเด่นจุดด้อยที่มีรวมๆ กันไป แต่ก็มี Easter Egg หลายอันเหมือนกันที่บอกคนดูว่า เราคงได้ดูหนัง Superheroes อีกหลายตัวเลยล่ะ
ปล. มี End Credit 2 อัน อันแรกแบบเกรียนๆ อันที่สอง ปูทางไปเรื่องใหม่ (อันที่สองนี่เด็ด ห้ามพลาด)
ฝากเพจด้วยนะครับ >> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/