เทให้หมด...แล้วขึ้นรถไปเที่ยวกาญ @2วัน1คืน ไปย้อนรอยตามหาอดีตในเมืองกาญ

ฮัลโหลลลล เพื่อนๆสมาชิกชาวพันทิปทุกคนวันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์เที่ยวของพวกเรา2สาว หลังจากที่พวกเราสอบมิดเทอมเสร็จก็อยากออกไปผ่อนคลายสมองหน่อย เราเลยตกลงปลงใจไปบ้านข้ากันเถอะเอ็ง!! 55555(บ้านจขกท.อยู่กาญจนบุรี)  โดยที่เจ้าเพื่อนตัวแสบของ จขกท. อยากนั่งรถไฟไปทางรถไฟสายมรณะและสะพานข้ามแม่น้ำแังไม่พอน้ะมันยังสงสัยมากอีกว่าทั้ง2สถานที่นี้เนี่ยมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง มีเหตุการณ์หรือสำคัญอะไรเกิดขึ้น แล้วทำไมคนถึงไปเที่ยวกันเยอะ เออมันก็น่าลองไปหาคำตอบกันปะน่าสนุกดี ได้ทั้งเที่ยวได้ทั้งความรู้ พวกเราก็เลยจะมารีวิวทริป …..

จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวแถมยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพด้วย การเดินทางไปก็แสนจะง่ายดายมีทั้งรถไฟและรถโดยสารบขส. ทริปนี้เราเลือกเดินทางด้วยรถโดยสารบขส.เพื่อความรวดเร็วจ้า ตามไปกันเลย

Day 1
พวกเราถึงสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ เวลาประมาณ 07:45 น.
รถจะมาจอดเทียบท่า เวลา08:00น. ตรงเวลาพอดี พร้อมแล้วก็ไปกันเลยย...


พวกเราเดินทางมาถึง สถานีขนส่งผู้โดยสารกาญจนบุรีเวลาประมาณ 10:20 น.
พวกเราเลือกที่จะเช่ารถมอเตอไซต์ไว้เดินทางในทริปของเราเพราะสะดวกกว่าการรอรถโดยสารประจำทาง
พูดแล้วก็โทรไปเลย เราเลือกเช่ารถกับร้านจ่าชา เพราะตามอ่านในรีวิวพันทิปเขาบอกว่าในตัวเมืองกาญมีร้านนี้ปล่อยเช่าให้คนไทยร้านเดียว


หลังจากที่ตกลงราคา ทำสัญญาเช่าพร้อมแนบหลักฐานบัตรนักศึกษา 1 ใบ เราก็ได้เจ้าคันนี้มาในราคา 300บาท/วัน


เหลือบดูนาฬิกาอีกทีก็จะ 10:30 น. แล้วว!! รีบแว้นไปสถานีรถไฟกาญจนบุรี เพื่อที่เราจะนั่งรถไฟไปยังสะพานทางรถไฟสายมรณะ
รถไฟที่จะไปสถานีถ้ำกระแซจะมารอบ 10:40 น. ขากลับจากสถานีน้ำตกจะมารอบ 13:30 น. แต่ก็ตามที่เห็นรถไฟไทยเรทกว่าชาติใดในโลก5555
ไปถึงสถานีกาญแล้ว หยิบบัตรประชาชนมายื่นที่ห้องจำหน่ายตั๋วได้เลยจะมีพนักงานนั่งคอยออกตั๋วให้ (คนไทยขึ้นฟรีน้ะจ้ะ)

สถานีปลายทางของพวกเราคือ " สถานีถ้ำกระแซ"  ซึ่งอยู่บริเวณโค้งมรณะของเส้นทางรถไฟสายมรณะ แต่สถานีถ้ำกรแซนั้นมีจุดจอดอยู่ 2 จุด คือต้นทางของโค้งมรณะ และปลายทางของโค้งมรณะ โดยพวกเราเลือกลงที่จุดจอดบริเวณปลายทางของโค้ง



ระหว่าง 2 ข้างทาง เราก็วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นำวัวมาเลี้ยงให้เห็นบ้างเป็นช่วงๆ มีภูเขาให้เห็นบ้าง
และเต็มไปด้วยไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ที่ชาวบ้านที่ทำการเกษตรไว้ เห็นสีเขียวๆที่ไรมันรู้สึกสดชื่นทุกที ^^


บรรยากาศบนรถไฟก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
รวมไปถึงแม่ค้าที่หาบของกิน ขนม นม เนย เต็มไปหมด เราก็อดใจไม่ไหวเหมือนกัน จัดไข่ต้มไป 3ลูก ในราคา 20บาท

หลังจากที่นั่งมานาน 1 ชั่วโมงโดยประมาณก็ถึงแล้วจ้าา ยิ้ม) แท่น แท้น แท๊นนนน!!
ทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้แรงงานเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและกรรมกรชาวเอเชีย ที่กองทัพญี่ปุ่น เกณฑ์ มาสร้าง เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า ปัจจุบันเส้นทางนี้ไปสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานี น้ำตกระยะทางจาก สถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกเป็นระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร "หากนับหมอนหนุนรางรถไฟมีเท่าไหร่ จำนวนผู้คน-เชลยศึกที่ถูกเกณฑ์มาสร้าง ทางรถไฟ สายนี้ก็ตายไปเท่านั้น"  นี่คือคำเล่าขานถึงเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ ไทย-พม่า ระยะทางกว่า 415 กิโลเมตรนี้ คือ ความหฤโหด ทารุณ และยากลำบาก ของสิ่งที่เชลยศึกได้รับ จนได้รับการขนานนาม ว่า "เส้นทางรถไฟสายมรณะ"


ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดเดินรถบนเส้นทางสาย ธนบุรี-น้ำตกทุกวัน และจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ - น้ำตก ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาก คือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแควและช่วงโค้งมรณะหรือ ถ้ำกระแซซึ่งเป็นสะพานโค้งเลียบ แม่น้ำแควน้อยยาวประมาณ 400 เมตร ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนี้สวยงามมาก ที่เส้นทางรถไฟ จะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแควน้อย โดยจะ วิ่งเลียบผ่านและจอดที่สถานีถ้ำกระแซ

หลังจากที่เรากลับจากทางรถไฟสายมรณะ เราก็นั่งรถไฟกลับมาลงที่สถานีกาญจนบุรีเหมือนเดิม
และมุ่งหน้าไปที่ พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า เพื่อไปไขข้อข้องใจที่เราตั้งข้อสงสัยกัน??


เนื่องจากว่าทางพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป พวกเราจึงไม่สามารถนำรูปมาแสดงให้เพื่อนๆดูได้ (ข้างในเล่าเรื่องได้ดีมากแถมแอร์เย็นมากด้วย555)
พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า จัดแสดงเรื่องราวตั้งแต่การเข้ามา ของทหารญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ออกแบบและเกณฑ์เชลยศึกมาร่วมกันก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ ระหว่างการสร้างมีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากจึงได้ชื่อว่าทางรถไฟสายมรณะในปัจจุบันนอกจากนี้ยังจัดแสดงสภาพภูมิศาสตร์ของทางรถไฟ สภาพชีวิตในค่ายเชลยศึก ด้านการแพทย์ การทิ้งระเบิดและการทำลายทางรถไฟ รวมไปถึงเหตุการณ์หลังจากสงครามยุติ

เที่ยวเพลิน จนได้เวลาพักผ่อนแล้วว คืนนี้เราเลือกพักที่เราได้ทำการจองไว้ก่อนเดินทางมาที่นี่
ชื่อโนเบิล ไนท์ เกสท์เฮาส์ (Noble Night Guesthouse) ห้องพักเป็นห้องแอร์ เตียงใหญ่ สะอาด พนักงานน่ารักทุกคนเลย แถมวิวดีมาก
ค่าเสียหาย คืนละ 650บาท หารกับเพื่อน 2 คนตกคนละ 325บาทเอง คุ้มค่ามาก


Day 2 วันนี้รีบตื่นเช้าเพื่อไปต่อยังสะพานข้ามแม่น้ำแคว เช้าๆแบบนี้อากาศก็ดีคนก็มีน้อยนิดสามารถวิ่งบนสะพานได้เลย(แต่ไม่แนะนำให้ทำ อันตรายมาก)
เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่าย สัมพันธมิตรได้แก่ ทหารอังกฤษอเมริกันออสเตรเลียฮอลันดาและนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คน และกรรมกรชาวจีนญวน ชวา มลายูไทยพม่าอินเดียอีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่าซึ่งเส้นทาง ช่วงหนึ่ง จะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง


อิ่มหน่ำสำราญกับการเดินเล่น กินลม ชมวิวแล้ว ก็ไปไขข้อสงสัยกันต่อที่หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามกัน
คนที่มาเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำแควแล้วต้องการรู้เรื่องราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับสะพานข้ามแม่น้ำแคว และสงครามโลกครั้งที่สอง
บริเวณใกล้ๆ สะพาน มีพิพิธภัณฑ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราว และจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง


พิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 โดยคุณอรัญ จันทร์ศิริ ที่เป็นผู้รวบรวมเรื่องราว และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ในสมัยสงคราม เพื่อจัดแสดงให้เห็นสิ่งที่หลงเหลือไว้ โดยจัดแสดงเป็นหอศิลป์ และพิพิธภัณฑ์สงคราม ด้านนอกอาคาร จะได้เห็นซากรถจักรไอน้ำ


ยานพาหนะของชาวญี่ปุ่นที่ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ เรือ


หุ่นจำลองสามมิติ แสดงภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งเชลยศึกถูกเกณฑ์ไปสร้างทางรถไฟ รวมถึงความเป็นอยู่ของเชลยศึก และจุดแรกของการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่ทำด้วยไม้ ก่อนที่จะย้ายไปยังที่ปัจจุบัน


อ้าวมีคนตายเยอะขนาดนี้ เขาเอาศพไปไว้ไหนกันเราจึงไปสอบถามพนักคนจำหน่ายตั๋ว เขาได้ให้คำตอบมาว่าศพทั้งหมดที่หาเจอจะถูกเอาไปฝังไว้ที่สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก บรรจุศพเชลยศึกที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะถึง 6,982 หลุม โดยเชลยศึก 300 คนเสียชีวิตด้วยอหิวาตกโรคและฝังไว้ที่ค่ายนิเกะส่วนที่เหลือได้จากหลุมฝังศพเชลยศึกตามค่ายต่างๆและยังมีสุสานช่องไก่  บรรยากาศในสุสานเงียบสงบและร่มรื่น พื้นที่ภายในได้รับการตกแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม เหนือหลุมฝังศพทุกหลุมมีแผ่นทองเหลืองจารึก ชื่อ อายุ และประเทศของผู้เสียชีวิต บรรทัดสุดท้ายเป็นคำไว้อาลัยที่โศกเศร้า ทุกปีจะมีวันที่รำลึกถึงผู้เสียชีวิตเฉพาะของคนชาติต่างๆได้แก่
วัน Anzac Day 25 เมษายน ของชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
วัน Armistice Day 5 พฤษภาคม ของชาวเนเธอร์แลนด์
วัน Remembrance Day 11 พฤศจิกายน ของชาวอังกฤษ


และตอนนี้พวกเราทั้ง 2คน ได้ทำภารกิจพิชิตข้อสงสัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว เย้ๆ!!
แต่ว่าเวลาเหลืออะทำไรดี  อ้อ!!เราขอไปตามรอยซีรีย์ที่พวกเราเคยดูหน่อยนะ ไปตามหาต้นจามจุรียักษ์กัน
ถ้าอยากรู้ว่าใหญ่จริงไหมก็ตามมาเลยย เดี๋ยว 2สาว จะพาไปเทัวร์เองง  ^^'


ก่อนจะกลับกทม. ขอแวะทำบุญไหว้พระเสริมสิริมงคลให้ตัวเองและขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย
วัดที่เราจะไปคือวัดถ้ำเสือ ภายในวัดจะเห็นวิวอำเภอท่าม่วงหมดเลย มีหลวงพ่อองค์ใหญ่มากๆ ลมเย็นสบาย ดูสงบมากๆ


ถึงเวลาต้องจากกันแล้ววดินแดนสวรรค์ตะวันตก เราเลือกกลับรถทัวร์โดยสารกรุงเทพ-กาญจนบุรี
เรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกไว้ไม่เพียงแค่ในภาพแต่มันยังอยู่ในความทรงจำของพวกเราที่จัดทริปนี้ขึ้นมา
อาจจะไม่ได้ตรงตามแผนสักเท่าไหร่ แต่ก็คุ้มค่ากับประสบการณที่ได้รับมากจริงๆ 'ระหว่างทางที่สวยงาม กับจุดหมายที่น่าจดจำ'
ค่าใช่จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง
ค่ารถทัวร์ไปกลับ 200/คน
ค่าที่พัก 325บาท/คน
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์+น้ำมันรถ 190บาท/คน
ค่าเข้าหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่2 40บาท/คน
ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า 100บาท/คน
ค่าอาหารการกินขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่