สิ่งที่ได้รับจากการบวช 1 เดือน

พอดีตัวผมเองได้มีโอกาสที่จะได้บวชช่วงระยะ 1 เดือน ตัวผมเองเป็นคนกรุงเทพ เกิดและเติบโตมาในเมืองใหญ่ เห็นความวุ่นวาย เห็นรถติด เห็นปัญหาต่างๆ เห็นคนทะเลาะกัน เยอะแยะเต็มไปหมด แล้วปกติเป็นคนที่เวลาเจออะไรวุ่นวาย จะชอบนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจมันสบาย มันโปร่ง .. เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆ จะบวชทั้งที ก็เลยตัดสินใจไปบวชที่จังหวัดอุทัยธานีให้ไกลจากกรุงเทพ การบวชครั้งนี้ผมอุทิศให้พ่อแม่ ตัวเองและคนรอบข้าง โดยผมตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมจริงๆครับ ไม่ใช่แค่ว่าบวชเพราะต้องบวช โดยที่ๆผมจำวัดอยู่ไม่ใช่วัดหรอกครับ พอดีพ่อผมเค้ามาทำบุญทอดกฐินที่นี่ทุกๆปี เค้าเรียกว่า สำนักสงฆ์น้ำตกอีซ่า เป็นสถานที่ปฏิบัติเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก ไม่มีเมรุ ไม่มีโบสถ์ แต่พระจำวัดได้ มีกุฏิอยู่ 4-5 หลังครับ ซึ่งหลวงพ่อที่นี่ก็จะเป็นสายปฏิบัติหรือธรรมยุตนั่นเองครับ

ที่วัดนี้จะมีหลวงพ่อสมทรงอยู่องค์เดียวครับ แล้วก็มีแม่ชีบวชอยู่อีก 2 ท่าน เท่ากับว่าตอนที่ผมบวช ก็มีพระอยู่แค่ 2 องค์ คือผมกับหลวงพ่อเท่านั้นครับ ไม่มีพระที่บวชตลอดชีวิตอยู่กับหลวงพ่อท่านเลย

ข้างล่างต่อไปนี้ จะเป็นสิ่งที่ผมได้สัมผัส ได้เจอจากการเป็นพระนะครับ โดยจะทำไว้เป็นหัวข้อๆ อาจจะไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมาย ถ้าใครขี้เกียดอ่านก็ลงไปอ่านตั้งแต่ตรงพวกความรู้ต่างๆ ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ

-ชีวิตประจำวันของพระ
เช้ามาก็ตื่นตี 5 ครึ่ง จัดที่นอนในกุฎิให้เรียบร้อยแล้วก็ออกมาเพื่อล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวไปบิณฑบาต บางทีออกมาถึงศาลา ถ้าหลวงพ่อยังไม่ออกมา ผมก็ จะไปกวาดศาลารอ จากนั้นก็เดินเท้าบิณฑบาตเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลทุกวัน ระหว่างทางก็จะมี พืชผักปลูกอยู่ทั่วไปหมด อากาศช่วงที่ผมบวชก็ถือว่าเย็นสบายไม่ได้ร้อนมาก ตอนเดินใส่รองเท้าเดินนะครับเพราะว่ามีหินโรยเป็นทางไว้ หินมันก็จะคม แต่พอใกล้ๆถนนใหญ่ก็จะถอดรองเท้าทิ้งไว้ที่บ้านของชาวบ้านคนนึง ระหว่างรับบิณฑบาตหลวงพ่อก็จะชวนชาวบ้านคุยเรื่องต่างๆไปเรื่อย ตอนขาเข้าไม่ต้องเดินครับ ดีหน่อยที่มีชาวบ้านแถวนั้นขับรถไปส่งที่วัดทุกวัน กับข้าวที่ได้มาอาจจะไม่เยอะมาก แม่ชีที่บวชอยู่ด้วยก็จะทำอาหารมาถวายเพิ่มครับ พอฉันเสร็จปกติก็จะนั่งคุยกับหลวงพ่อในเรื่องต่างๆ แล้วก็ไปล้างบาตร อาบน้ำ ซักผ้า หลังจากทำอะไรเสร็จก็จะประมาณ 11 โมง แล้วก็ว่างจนถึงเวลา 4 โมงเย็น ถึงตอนนี้ผมเข้าใจละครับว่าทำไมพระบางท่านที่ไม่ดี ไม่ปฏิบัติจึงมาบวชอยู่วัดเป็นพระ เพราะว่ามันว่างครับ เช้ามาก็มีกิน บ่ายๆก็นอนเล่นได้เลย แถมบางทียังได้ปัจจัยที่ชาวบ้านเอามาถวายอีกด้วย แต่ว่าช่วงที่ผมว่างผมก็จะสวดมนต์บ้าง ส่วนใหญ่จะทำสมาธิซะมากกว่าครับ เพราะว่าผมมีเวลาน้อยไม่อยากเสียเวลาไปกับการนั่งท่องบทสวดมนต์ แต่อยากที่จะใช้เวลาในการสัมผัสพระพุทธศาสนาจากการปฏิบัติของตัวผมเองครับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติตลอดทุกชั่วโมงทุกวันนะครับบางทีก็มีพักบ้าง เล่นเฟสบ้าง ตัดกิเลสเท่าที่ตัดได้ พอ 4 โมงเย็น ก็ออกไปกวาดลานวัดแล้วก็ศาลา แล้วก็นั่งพักทานน้ำหวาน ไปอาบน้ำ แล้วหนึ่งทุ่มครึ่งก็กลับมาทำวัตรเย็นครับ หลังจากทำวัตรเสร็จแล้วก็กลับกุฎิ นอนทำสมาธิจนหลับไปครับ แล้วก็วนลูปอย่างนี้ทุกวัน

-ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลของชาวบ้าน
ในช่วงระหว่างที่ผมมาบวชก็เป็นช่วงที่มีน้ำท่วมนะครับ แล้วทีนี้น้ำ มันก็กัดเซาะดินจนเป็นร่องใหญ่เป็นทางน้ำผ่าน ทำให้ชาวบ้านคนหนึ่งเดือดร้อน เพราะบ้านอยู่ใกล้กับทางน้ำผ่านมาก จนต้องย้ายออกมากางเต็นท์เพื่ออยู่ชั่วคราว พอถึงเวลาที่ต้องสร้างบ้านอยู่ถาวร ชาวบ้านแถวนี้เค้าก็จะมาช่วยกันสร้างนะครับ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นในกรุงเทพ การที่คนหลายๆบ้านทั้งบริเวณมาช่วยกันเป็นอะไรที่น่าปลื้มใจมากเลยครับ

และในวันงานทอดกฐิน หลวงพ่อก็ขอให้ชาวบ้านมาช่วยกันกางเต็นสำหรับงานกฐิน มีชาวบ้าน 20-30 คนมาช่วยกันครับ โดยที่ทุกคนไม่ได้หวังค่าตอบแทนอะไรเลย

-ความอดทนกับยุง
ในวันแรกที่ผมมา เป็นช่วงที่อากาศกำลังจะหนาวครับ คือยังมีอุ่นๆอยู่บ้าง เพราะฉะนั้น จะมียุงเยอะมากครับ สองสามวันแรก ผมโดนยุงกัดประมาณ 40-50 ตุ่มครับ และตบไม่ได้ ... ได้แต่ปัดครับ ยุงที่นี่ดุมากครับ ขนาดปัดแล้วมันยังไม่ไปเลยครับ ต้องโดนตัวมันถึงจะไป แต่หลังๆไม่ค่อยโดนนะครับ ผมคิดว่า ที่ผ่านมาผมคงทำกรรมกับยุงมาเยอะนะครับ พออยู่ไปสักพัก โดนกัดจนครบตามกรรมแล้วก็ไม่ค่อยมารังควาญเท่าไร
ในหัวตอนแรกก็มีแต่โทสะ โกรธยุง รำคาญยุง หลังๆก็ปัดๆเอา บอกเอา ว่าอย่ามายุ่งนะ มีอยู่ครั้งนึง ผมเห็นมันมาเกาะตัวนึง ผมให้มันดูดจนท้องแดงตึงเปรี๊ยะ แล้วบอกกับมันว่า ฝากไปบอกเพื่อนอโหสิกรรมให้ผมด้วย 555 ไปอ่านธรรมวินัยเค้าว่า พระยังงี้โง่ครับ คือไม่มีปัญญา เราต้องรักษาสังขารเราให้แข็งแรงเพื่อปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เมตตาสัตว์โดยการให้ยุงดูดเลือด แล้วเป็นไข้เลือดออกตาย ก็เลยใช้ปัดเอาครับ สรุปสั้นๆที่อยากจะบอกคือ คันมากครับ

-ความอดทนกับกิเลสเรื่องเงิน
ปกติผมเป็นคนที่ลงทุนให้หุ้นนะครับ ก็มักจะชอบดูมูลค่าของพอร์ทหุ้นที่มันเพิ่มๆลดๆอยู่เรื่อย ผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่กดเข้าไปดูตลอดการบวช เพื่อเป็นการตัดกิเลสตรงนี้ วันที่ผมมาบวช ได้ IPO ของ TOA มาครับ อยากรู้มากกก 5555 แต่ก็ไม่กดเข้าไปดูครับ คอยดูจากที่คนอื่นเค้าคุยไลน์กันก็พอ มาคิดดู จริงๆเงินมันก็เป็นอะไรที่เอาไปไม่ได้นะครับถ้าตาย แต่มันจำเป็นในชีวิต เราต้องรู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน คุ้มกับจะแลกชีวิตด้วยรึเปล่า คุ้มที่จะป่วยเพื่อที่จะได้มันมารึเปล่า คุ้มที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตสั้นๆของเรารึเปล่า ต้องอย่าไปหลงกับมันมากจนเกินไปนะครับ

-ความอดทนกับความหิว
อยู่ที่นี่ได้ฉันข้าวแค่มื้อเดียวครับ คือเสร็จประมาณ 9 โมงครึ่ง อีกทีก็ 8 โมงของอีกวัน เรื่องความหิวนี่ผมทนได้นะ แม้ว่าปกติผมจะเป็นคนทานเยอะก็ตาม ทานของดี ของอร่อยด้วย เรียกได้ว่ากิเลสด้านการกินของผมนี่ ยอมแลกเงินจำนวนหนึ่งกับการได้ทานของคุณภาพเยี่ยมเลยละครับ แฟนยังบอกว่าเอาไปซื้อกระเป๋าดีกว่า 5555
ตอนอยู่กรุงเทพ ถ้าหิวมากๆ บางทีก็มือสั่นขาสั่น ไม่มีแรงเลยทีเดียว แต่พอมานี่ผมไม่ค่อยได้คิดถึงอาหารเท่าไหร่ครับ ท้องร้องก็ชั่งมัน ไม่ได้ใส่ใจ เลยรู้สึกเฉยๆครับ

-ความอดทนกับความร้อน
ปกติผมเป็นคนขี้ร้อนมากครับ มักจะติดแอร์ ชอบเปิดแอร์เย็นๆ ขับรถก็เปิดแอร์เย็นๆ ในห้องนอนก็เปิดแอร์เย็นๆแล้วใส่เสื้อหนาว 55555 พอมานี่แรกๆร้อนครับ แต่ก็ทน ไปเรื่อยๆมันก็ปรับตัว หลังๆหนาวครับ ปีนี้เหมือนหนาวเร็ว หนาวมาก หนาวกว่าผมเปิดแอร์อีกครับ แล้วยิ่งไม่มีเครื่องทำน้ำร้อน รองน้ำอาบนะครับ ตักสาดทีนี่ขนลุกยิ่งกว่าเจอผีอีก แต่ก็ทนได้ครับ และการอาบน้ำเย็นเลยทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น จากปกติที่ผิวแห้งเพราะเป็นคนอาบน้ำร้อนครับ ศอกผมที่ด้านๆนี่นุ่มเลยอะ ไม่เป็นหนังศอกย่นๆเหมือนสุนัขข้างทางแล้วครับ 555 แนะนำนะครับ ใครที่อยากจะดูแลผิว แนะนำลองอาบน้ำเย็น

-ความอดทนกับเฟสบุคและโลกโซเชียล
ผมว่าอันนี้ยากสุดเลย ผมเคยนั่งมองมือถือแล้วถามว่า เวลาเราหยิบมือถือมาเปิดเฟส เราได้อะไร ... ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็หยิบมาเปิดดูครับ รู้ตัวอีกทีแบตจะหมด 55555 เล่นเพลิน
คือผมว่า โลกโซเชียลนี่เหมือนเป็นสิ่งเสพติดไปแล้วนะครับ ในชีวิตของเรานี่ ยากที่จะตัดขาดจากมันนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มาจากเมืองแบบผม (โดยเฉพาะผม) แต่ผมก็ยินดีสำหรับบางท่านที่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีมันนะครับ หรือคนที่ใช้มันอย่างมีประโยชน์ มีคุณค่า แต่สำหรับคนทั่วไป ผมว่าเราต้องห่างๆมันบ้าง มองคนรอบข้างบ้าง มองวิวรอบๆตอนขึ้นรถไฟฟ้า เทคโนโลยีนี่มีพลังมหาศาลเลยนะครับ มีอยู่วันนึงที่ผมฉันอาหารเช้าอยู่ นั่งมองญาติโยมที่เค้ามาถวายอาหาร เค้ามีลูกที่ไม่เป็นปกติครับ ถ้าเอาคำง่ายๆก็คือ เอ๋อครับ หรือปัญญาอ่อน (ไม่ได้ว่านะครับ) แต่ยังพอคุยรู้เรื่อง เค้าพูดไม่ได้ แต่ฟังได้บ้าง ผมนั่งมองชาวบ้านนั่งคุยกัน แต่ลูกคนนี้นั่งเล่นมือถืออยู่คนเดียวครับ ทำให้ผมคิดว่า เทคโนโลยีนี่มีพลังแม้กระทั่งกับคนที่สติไม่สมประกอบ แล้วก็มีแต่กิเลส ตัณหา เปิดเข้าไป เจอแต่สิ่งอยากได้ อยากกิน อยากไป บางทีเพื่อนก็แชร์รูปจากเพจ CupE มาบ้างอะไรบ้าง โอ้ยย เรานั่งมองพิจารณาดู เหมือนเป็นเครื่องสร้างกิเลสเคลื่อนที่ ต้องใช้ให้พอดี ใช้เพื่อให้รู้จักโลกภายนอก ใช้เพื่อหาข่าวสาร ถ้าใช้ในการผ่อนคลาย ก็อย่าไปจมกับมันมากนัก มองรอบๆบ้างจะดีกว่านะครับ เตือนกันไว้กับสังคมก้มหน้า

-ความอดทนเรื่องเพศ
เป็นธรรมชาติของผู้ชายนะครับที่จะมีอารมณ์ทางเพศเกิดขึ้นได้ ซึ่งพอเกิดขึ้นแล้ว บอกเลยว่ายากมากในการควบคุมตัวเอง คือควบคุมสติและร่างกายไม่ให้คล้อยตามไปกับอารมณ์ ถ้าเกิดพลาดทำขึ้นมาเนี่ยก็ผิดสังฆาทิเลส บาปกินหัว บอกตรงๆครับกลัวตกนรกมาก 555
วิธีแก้ที่ผมใช้นะครับ มีสามวิธี

วิธีที่หนึ่ง
พยายามทำความเข้าใจว่า อารมณ์ทางเพศที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นธรรมชาติ คือมันสะสมไว้อยู่ข้างใน ยิ่งเยอะมันก็จะยิ่งสร้างฮอร์โมนไปสั่งสมองให้เกิดอารมณ์เพื่อระบายออก ถ้าเราเข้าใจแล้วทนได้ก็ดีไป
ผมสังเกตตัวเองนะครับ ช่วงท้ายๆของการบวช จะมีอารมณ์ทางเพศบ่อยมาก และในทุกๆคืนร่างกายของผมมันจะดื้อครับ มันจะฝันเกี่ยวกับเรื่องเพศติดๆกันทุกวันครับ และเนื้อเรื่องการฝันมันจะเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆครับ
ผมจำได้เลยช่วงแรกที่เริ่มรู้สึก ฝันครั้งแรก ผมเห็นผญไม่ใส่เสื้อผ้าครับ ในฝันผมเมินหน้าหนี แล้วบอกกับตัวเองว่า เห้ย เป็นพระนะ ไม่ได้ๆ แล้วก็เดินหนีไปในฝันครับ มันก็แปลกดี ที่เรารู้ตัวว่าเราเป็นพระอยู่
แต่พอหลังๆครับ ดีกรีมันหนักถึงขั้น ผมฝันว่าเข้าวงการเอวีญี่ปุ่น ... คือในฝันนี่กับผู้หญิงระดับท็อปหลายคนเลยครับ แหม่ แล้วก็ไม่สามารถควบคุม ไม่สามารถระลึกได้ว่าเป็นพระครับ แต่ผมตื่นขึ้นมาก่อนครับ! ผมหยุดมันไว้ได้
คือมานั่งคิดดูว่า โห ร่างกายเรามันขนาดนี้เลยหรอวะ มันต้องพยายามมากที่จะขับออกมา ถึงขั้นฝันติดๆกันทุกวัน สรุปคือยังไงก็ต้องทนให้ได้ครับ มันเป็นแค่เคมีในสมอง แต่ถ้าเกิดดันฝันเปียกขึ้นมา อันนี้ไม่บาปนะครับ ไม่ผิดศีล เพราะเราไม่ได้ไปทำมัน มันคือธรรมชาติครับ

วิธีที่สอง
ด่ามันครับ! คือเมื่อไหร่ที่รู้สึก แล้วมันไม่สามารถเข้าใจได้ว่า "มันคือธรรมชาติ!" และยังคงกำหนัดอยู่
ผมก็ด่ามันแรงๆครับ ไอจิตเลว ไอจิตมาร ไอจิตชั่ว ไอจิตบาป ออกไปจากสมองนะ อย่ามาอยู่ในสมอง นี่พระนะ บาปนะ มาทำให้พระเกิดกิเลส เกิดตัณหา บางทีก็หายไปเลยครับ แปลกดีนะ แต่บางทีก็ไม่หาย เลยต้องจัดการด้วยวิธีเด็ดขาด คือวิธีที่สามครับ

วิธีที่สาม
สุดท้ายแล้วถ้าไม่ไหวจริงๆ ยังไม่หาย "นอนครับ!" ผมบอกเลย ตื่นมามันจะลืมครับ #monkhack
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่