[CR] ประสบการณ์ Solo Backpacker in Namibia, South Africa and Lesotho 45 วัน โคตรมหากาพย์กาฬทวีป รวดเดียวเหงาบ้าง ตื่นเต้นบ้าง

ขอย้ายกระทู้ไป https://ppantip.com/topic/37768867 อันนี้จะสมบูรณ์กว่า รอรูปแปปปป

เริ่มต้น
เจ้าของกระทู้มีโอกาสไปเที่ยว 3 ประเทศ ได้แก่ Namibia, South Africa, Lesotho เป็นเวลา 45 วัน คนเดียว สาเหตุที่เลือกที่นี้เพราะ เป็นประเทศที่แปลกตา น่าสนใจ ไม่ค่อยซ้ำใครเท่าไร ดูไปยาก แต่จริงๆไม่ยากเลย และเกิดคำถามมากมายเวลาคนรู้ว่าตูนจะไปคนเดียว นานถึง 45 วัน ว่า

อันตรายไหมนามิเบีย มีสงครามไหมนามิเบีย แอฟริกาใต้ได้ข่าวว่า อาชญากรรมสูงลิ่ว ปลอดภัยหรอที่โจฮันเนสเบิร์ก คิดไงถึงไปอะ เห้ยทำไมไม่ไปเกาหลีญี่ปุ่น ไปทำไมประเทศแห้งแล้ง เยอะไปหมด เอาเป็นว่า เที่ยวได้ ปลอดภัยถ้ารู้จักดูแลตัวเองดีดี ทำการบ้านดีดีรับรองว่าเที่ยวได้ปลอดภัย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมีประสบการณ์ดีดีแล้ว ก็ต้องมีเรื่องพีคๆ เหตุการณ์น่าสนุกมีเยอะ ติดตามสิ มี Facebook Fanpageนะ ชื่อว่า Dramatravel ฟอฟอกันหน่อยนะะะ ดองมานานมาก เราเน้นเที่ยวนาน เอาแบบฟินๆ เอาแบบเว่อๆ ไม่ชะโงกทัวร์ และจะเล่าเรื่องแบบประดิษฐ์ เรียลๆไปเลย เจออะไรดีก็ชม เจออะไรตลกก็ขำ เจออะไรบ้าก็บ้าไปกะมัน และเจออะไร ห. ก็ด่า


เจ้าของกระทู้ไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวแบบ ทำยังไง เดินยังไง อะไรยังไง แต่จะบอกวิธีการสั้นๆให้พอจะตามได้ เจ้าของกระทู้เน้นแชร์ประสบการณ์และอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่กลัวการเที่ยวคนเดียวได้กล้า และประเทศที่คิดว่าอันตราย เอาดีดี แค่กล้าและมีเงินก็เที่ยวได้

เจ้าของกระทู้ถ่ายรูปไม่เก่งนะ อยู่ในช่วงของการฝึกฝน แต่เจ้าของกระทู้วางแผนเก่ง หาข้อมูลปัง อันนี้ต้องยอมจริงๆ

แผนการณ์เที่ยวของเจ้าของกระทู้คือ



เริ่มต้น ตอนแรก
ก่อนอื่นต้องขอบคุณตั๋วโปรโมชั่นของ  Kenya Airways ที่ได้ปล่อยโปรไปโจฮันเนสเบิร์ก ในราคาที่รับได้แถมได้บินไปกวางโจว 1 ที่ ฟรี ฮ่าๆ รีบจอง แต่ความโง่ลืมเลือกวันไป ระบบเซตเองเลย แต่ฟรีไงยังไงก็ไป

พ่อกับแม่ใจลึกๆ พ่อกับแม่ก็เป็นห่วงและว่า ไปคนเดียวยังไงก็บอกแม่ด้วยละกัน ไปถึงไหนก็ส่งข่าวบอกแม่ด้วย แต่พ่อกับแม่จขกท.ชินแล้วเพราะต้นไปเราไปทรานไซบีเรีย 58 วัน พ่อแม่รู้ว่าเราเอาตัวรอดได้สบาย พอเดินเข้าเกตปุ๊ปรู้สึกตื่นเต้นมาก อู๊วววววว แอฟริกาครั้งแรกในชีวิต ไม่ชะโงกทัวร์ด้วย45วันเลยนะ อิอิ มีแผนจะขยายด้วยซ้ำ อยากเที่ยวนานๆ เอาให้สุดๆไปเลย

และแล้ว ระหว่างรอขึ้นเครื่อง เจอคุณป้าคนไทยเข้ามาทัก คุณป้าถามว่า หนูไปเที่ยวแอฟริกาหรอลูก เราก็ใช่ครับ แล้วไปที่ไหนละ อ่อ แอฟริกาใต้ กับนามิเบียครับ เราก็ไม่รีริ ถามป้าทันทีว่า อันตรายไหมป้า ได้ข่าวมาว่าอันตรายเบอร์แรงมาก ป้าก็บอกว่า โจฮันเนสเบิร์กอันตรายมาก ทาสีแดงเลย มากกก เราก็เออ จิตตก แต่ก็เหอ ยังไม่ถึงอย่างถึงพึ่งกลัวไปก่อนเลย เราถามถึงนามิเบีย ป้าเค้าบอกว่า สวย ประเทศสวย บอสวานา ก็สวย ซิมบับเวสวย สวยหมดเลยลูก ป้าเปิดร้านอาหารที่น้ำตกวิกตอเลีย หนูไปได้นะ ร้านป้าชื่อว่า น้ำตก เป็นร้านอาหารไทย เราเลยคิดจะเปลี่ยนแผนไปที่นี้ดีไหม น้ำตกขนาดใหญ่ แต่ก็เออ ค่าเปลี่ยนตั๋วก็แพง เดียวค่อยคิด และป้าก็ให้นามบัตรมา ป้าบอกว่าทำมาหากินที่ไทยลำบาก ไปที่นั้นง่ายกว่า และป้าก็เล่าชีวิตที่นั้นให้ฟัง ว่าลูกชายอยู่ที่ฮาราเร่ เมืองหลวงของซิมบับเว เล่าเรื่องที่น้ำตกให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้าง ป้าอยู่ที่นั้นมาแล้ว 30 ปี และเราก็ขึ้นเครื่องและแยกกัน

เครื่องไปเปลี่ยนที่ไนโรบี ประเทศเคนย่า เราก็นั่งรอ ห้า ชม.อากาศที่นี้หนาวนะ อยู่ได้แต่แอร์พอต และเราได้รู้จัก พี่คนไทยสองคน ทุกวันนี้ยังจำชื่อไม่ได้เลย ฮ่าๆ เออ แต่มีเฟซบุ๊คนะ พี่เค้าไปหาเพื่อนที่โจฮันเนสเบิร์ก เราเลยนั่งคุยกัน พี่เค้าเคยทำงานที่ยูเครน เราเองสนใจประเทศยูเครนมาก ตอนไปทรานไซบีเรีย คืออยากเข้ายูเครนมากๆๆๆๆๆ แต่ วีซ่าเรื่องมาก เลยเออ ไปที่อื่นก่อน พอได้คุยกะพี่เค้าเลยรู้อะไรดีดี่ยูเครนมาเยอะแยะเลย เลยดันยูเครนเข้า Top Bucket list ทันที แต่จริงๆแล้วซื้อ lonely planet มาแล้วนะ พี่เค้าให้เราช่วยตอนเขียนใบ ตม. พอถึงโจเบิร์ก เราก็รับปาก ได้เลยครับ แล้วเจอกันที่โจเบิร์กนะ

เราก็มาเจอพี่เค้าอีกครั้งที่โจเบิร์ก ปรากฎว่า ไม่ต้องเขียนใบตม. คนไทยอยู่ได้30วัน เย้ๆๆ รับกระเป๋าแล้วเราก็แยกกัน พร้อมแลกเฟซบุ๊คกันไว้


ตอนที่ 2 โจเบิร์กคืนแรก

ตูนใช้บริการรถรับส่งของโรงแรม เพราะอีกวันก็จะต้องไปนามิเบียแล้ว ก็ไม่อยากจะเดินทางไกลๆ เลยเอาโรงแรมที่ใกล้ๆแอร์พอต โรงแรมก็มารับ พร้อมป้ายชื่อ เราก็ไม่รอช้าถามทันที ชื่ออะไรหรอ เค้าแนะนำตัวว่า เค้าชื่อ โรเบิร์ต เป็นคนผิวสีแอฟริกาใต้ รูปร่างเล็กๆ ช่วยเราแบกกระเป๋า และบอกเราเลยว่า ที่โจเบิร์กก็เหมือนเมืองใหญ่ๆทั่วโลก อันตรายบ้าง ไม่อันตรายบ้าง ที่ไหนคนเยอะที่นั้นก็จะอันตราย ดูแลตัวเองดีดี กลางคืนอย่าออกไปข้างนอกพอ แค่นี้เอง เราก็อุ่นใจมาหน่อย

โรงแรมอ็อฟเฟอร์ให้เราทานอาหารเย็นที่โรงแรมเลย ราคาไม่แพงมาก เราตอบตกลงไป และมีสองสามีภรรยาชาวสก๊อตมาขอแชร์โต๊ะด้วย เค้าถามเรามาเที่ยวคนเดียวหรอ เราก็ตอบ ใช่แล้ว เราก็ถามเค้าย้อนทั้งๆที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าเค้ามากันสองคน ก็ถามไปงั้นไม่รู้จะเริ่มคุยยังไง เค้าก็บอกว่าเรามากันสองคนหลังเกษียณ โอววววว เด็ดมาก รุ่นยาย รุ่นตา ก็ยังมาดูโลกกัน เท่จริงๆ เที่ยวนาน4เดือนซะด้วย อิจฉามาก แล้วพวกเราก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเที่ยว ซึ่งตัวเราเองก็ไปมาเยอะอยู่ ก็เยอะจริงๆนะ ไม่ได้อยากจะอวด แต่ขอหน่อย ฮ่าๆ ทั้งสองคนไปมาค่อนข้างเยอะอยู่ น่าจะ 40 ประเทศได้ ตกดึกเราก็แยกกันโดยที่ไม่ได้แลกเฟซบุ๊คติดต่ออะไรกันเลย แต่หน้าตาทั้งสองเรายังจำได้เสมอนะ

ตอนที่ 3 Windhoek, Namibia

*ที่แอร์พอตโจฮันเนสเบิร์ก น่ากลัวนะ จะมีคนจับจ้องเราตลอดเวลา ต้องระวังตัวมากๆ หรือว่าเราเป็นเอเชีย ยังไงเราก็ต้องระวังตัวให้มากๆ เพราะสนามบินที่นี้ขึ้นชื่อเรื่องอันตรายอยู่

เราเดินทางถึงนามิเบีย ด้วยสายการบิน British Airways เอาแล้ว เอาแล้ว มาถึงที่นี้ ผู้โดยสารเดินปนกันเว่อ ปนที่ปนอะ ภายในประเทศระหว่างประเทศเดินแบบสวนทางกัน แอร์พอตเล็กๆ ตามจำนวนประชากรมั่ง เราได้ขอวีซ่านามิเบียที่ประเทศมาเลเซียโดยการส่งเอกสารไป เราก็เปิดหน้าวีซ่าให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ดูหน้าแรก แล้วปั้มเลย คือ ไม่สนใจวีซ่า แล้วให้เาอยู่ 30 วัน จริงๆเราอยู่ได้90วัน แต่ก็เอาเหอ ไม่เป็นไรยังไงอยู่แค่14วันอยู่แล้ว ตอนนั้นเออ ขอมาไมวะ ไม่สนใจ ปั้มหมด แต่ก็ควรจะทำมาเผื่อเค้าตรวจ

ครั้งแรกก็จะต้องให้เจ้าหน้าที่มารับ เจ้าหน้าที่โรงแรมมารับ รับฟรี เพราะoverland tourที่เราซื้อไว้เค้ามีบริการรับฟรี ไปยังแคมป์ในเมือง วิวสองข้างทางคือสวยมาก สีส้มๆ มีหญ้าแซมๆ ขนลุก สวยขนลุก ถ้าไม่ชอบอะไรดูเวิ้งว้างอาจจะไม่ชอบ คนขับชวนคุยตลอดทางเลย รู้ว่ามาจากไทยก็ถามนู้นนี้ ถามถึงผัดไท พัทยา กะเทย สารพัด คนนามิเบียอัธยาศัยดีนะ

วันแรกมาถึงก็เมื่อยก็เหนื่อยจะทำไรก็คิดไม่ออก เลยเดินเล่นในที่พักซึ่งเป็น เต็นท์ และจะมีแคมป์ให้กางเต็นท์กันเองด้วย

วันต่อมา เราออกเดินสำรวจเมืองคนเดียวไปดูโบสถ์ที่เปิดกูเกิ้ลมาก่อนว่าอยากไป แต่วันอาทิตย์ ปิด เมืองสงบเรียบร้อยดี คนน้อยมากไม่รู้ไปอยู่ไหนหมด เราสังเกตว่า มีผิวขาวเยอะอยู่นะ จากคนที่เจอมาทั้งหมด คนยุโรปมาทำธุรกิจ มาอาศัย เพียบ ระหว่างเดินก็ระวังตัวเป็นพิเศษถึงแม้ว่าโรงแรมบอกว่าเดินได้ค่ะ สบายมากค่ะ แต่ด้วยลุ๊คเอเชียไง เดินไปทางไหนคนผิวดำก็จ้อง บางทีก็ทัก หนีฮ่าว คอนนิจิวะ โอ๊ย คนไทย

พีคสุดๆคือ มีคนถามเราตอบว่าเป็นคนไทย เค้าไม่เคยเห็นคนไทย ขอจับมือจับแขน ตอนนั้นก็กลัวล้วงกระเป๋ายิ้ม เหมือนเป็นตัวประหลาดอะ  5555

แล้วเราก็เดินสำรวจเมืองคนเดียวดูซุปเปอร์มาเก็ตไปเรื่อยเปื่อยแล้วเข้าที่พัก

ตกดึก เมเนเจอร์ที่พักมาหา บอกว่าฉันเองแหละที่ตอบอีเมลเธอ เธอเจอหัวหน้าทัวร์ยัง เราก็บอกว่ายัง เมเนเจอร์ชาวเยอรมันก็พาไปเจอหัวหน้าทัวร์ ซึ่งเค้าแนะนำตัว เราแนะนำตัวแต่ไม่เคยเรียกชื่อกันเลย เลยจำชื่อกันไม่ได้ เค้าเป็นคนซิมบับเว เค้าก็บอกเราแค่ว่าพรุ่งนี้เจอกัน 6 โมงตรงนะ ที่รถบรรทุกสีเขียวฉันจะรอตรงนั้น เราก็ OK เจอกันพรุ่งนี้นะ

*เราไม่แนะนำให้ ไม่ทำวีซ่าแล้วไปเสี่ยงที่นามิเบียนะ ต้องทำวีซ่า ยังไงก็ต้องทำวีซ่า

ตอนที่ 4 ชีวิตบนรถบรรทุกเริ่มขึ้น
*เราใช้ Overland Tour คือ การเที่ยวบนรถบรรทุกที่นักท่องเที่ยวจะต้องช่วยกันทำอาหาร ล้างรถบรรทุก กางเต้นท์เอง อะไรทำนองนี้ เป็นวิธีเที่ยวในทวีปแอฟริกาที่ถูกสำหรับคนไปคนเดียว ราคาไม่แพงมาก ติดต่อที่ https://www.africanbudgetsafaris.com/ ราคาประมาณ30000บาท ทั้งค่าทัวร์และ local payment

ในตอนนี้ บนรถบรรทุกจะมี เจ้าหน้าที่สามคน คือ คนขับรถชื่อ Jacob พ่อครัวชื่อ Ben หัวหน้าทัวร์ เราลืมชื่อ (ลืมจริงๆ ไม่เคยเรียกชื่อเลย) หัวหน้าทัวร์แนะนำตัวเราให้เพื่อนๆคนอื่นรู้จัก เนื่องจาก คนอื่นเค้าเริ่มจากเคนย่าบ้าง ซิมบับเวบ้าง แทนซาเนียบ้าง เราเองมาเริ่มที่นี้คนเดียว บางคนอาจจะลงไปก่อน อาจจะมาไม่กี่วัน แต่ทั้งทริปแล้วคือ 62 วันเริ่มจากเคนย่า ส่วนของเรา13วัน บนรถส่วนมากมีแต่คนออสเตรเลียเยอะ มีไอร์แลนด์คนนึง มีบราซิลคนนึง และ แคนาดาสองคน ทั้งหมด24คน แต่ไม่เกิน 30คน ไกด์บอกว่าเราจะเลื่อนที่นั่งไปทุกๆวันนะจะได้ยุติธรรมทุกคนได้นั่งทุกที่นั่งทั่วกัน

และวันนี้กำลังมุ่งหน้าไป Etosha National Park  เราจะอยู่ที่นี้ สามคืน คืนแรก นอนภายในอุทยาน อีกสองคืนนอนแคมป์นอกอุทยานแต่ก็กลับเข้าไปดูสัตว์ได้ ภาพก็อย่างที่เห็น บอกเลยว่า สองวัน ภาพไม่ต่างกัน ขับดูเหมือนกัน เลยขอกองภาพรวมกันไปเลย










บริเวณไหนที่มีสัตว์บุกชุมแปลว่า จะต้องมีน้ำ นั้นก็คือจะต้องไปตามบ่อน้ำ คนขับรถบรรทุกจะพาเราไปบ่อน้ำ บ่อน้ำที่บางบ่อมีน้ำ บางบ่อแห้งงงงงงเหือดด แห้งแล้งมาก ร้อนมากด้วย แต่เอาสิกลางคืนหนาวนะ คืนแรกกางเต้นท์ใช่ไหม มาวันแรกด้วย งงๆ กางไง ไกด์บอกให้เราไปอยู่กะทิม นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย เออ ก็ดี วันนี้ no Wifi จ่ะ เออ ก็ไม่ทรมานหรอก ทรมานกว่านี้ก็อยูมาแล้ว ไกด์ถามทุกคนว่า จะไป  Night Game Drive ไหม เราก็คิด R900 โอย แพง เผลอๆมองไม่เห็นด้วย ไม่ไปจ้า อันนี้คือต้องจ่ายเพิ่ม แล้วแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง พักก่อนเนอะนอนดูดาวไปดีกว่าไหม เราเลยชวนผู้หญิงออสซี่สองคนไเดินดูรอบๆ คือมีบ่อน้ำ ใกล้ๆแคมป์และมีกวาง วิ่งๆอยู่ แต่อยู่ไกลมองพอเห็นแต่กล้องอะซูมเอา เออ ชั่งยิ้มจ้า ดูพระอาทิตย์แทนก็ได้ วันแรกเนอะอะไรก็ไม่เข้าที่ งงๆ ต้องทำไร หน้าที่ทำอะไร ทุกคนมีหน้าที่หมด เราเลยอะอะ ช่วยทำอาหารก็ได้ว่ะ ฉีกผัก หุงข้าว วันนี้อาหารน่ากินดีเป็นไก่ซอสมะเขือเทศ เบนเป็นคนทำอาหารน่ากิน ตอนแรกคิดวาจะกินไม่ได้หรือต้องไม่อร่อยแน่ๆ ก็หาข้อสรุปเอง เพราะฝรั่งมาเยอะต้องปรุงอาหารตามปากฝรั่งไงภาพอาหารม้อนี้ไม่มีหรอก มีบางมื้อเพราะบางทีมืดถ่ายไม่สวย บางทีก็ขี้เกียจ


วันรุ่นขึ้นก็เก็บของเก็บเต้นท์เตรียมย้ายที่พัก เอาของขึ้นรถบรรทุกให้หมด แล้วก็เที่ยวในอุทยาน โดยที่จาคอปจะขับรถพาไปดูเรื่อยๆ ตรงไหนมีสัตว์ก็จอดนานถ่ายรูป

กฎคือ ห้ามลง ไม่ว่าจะเกิดอะไร ห้ามลงเด็ดขาด ขอนิดหน่อยก็ไม่ได้ ลงได้เฉพาะที่เจ้าหน้าที่จัดไว้เท่านั้น เพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าตัวอะไรจะมาข้างหลัง และถ้างไกด์จะมีความผิด ไม่ว่าใครลงก็จะมีความผิด

เราจะเห็นทัวร์เยอะแยะมาเป็นรถบรรทุก หรือเช่ารถกันมาขับดูสัตว์พอเจอก็จะทักทายกัน เห้ยๆตรงนั้นมีช้าง ตรงนั้นมีสิงโตนะไรงี้ ไกด์ทุกคนเหมือนรู้จักกันมาก่อน แต่เราถาม คือเค้าไม่รู้จักกันนะ
ชื่อสินค้า:   namibia, south africa, lesotho
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่