สวัสดีครับเพื่อนๆชาว PANTIP ทุกท่านด้วยนะครับกลับมาพบกันอีกครั้งกับผม @Maxmoreji โดยกระทู้นี้ผมจะมารีวิวสมาร์ทโฟนจากประเทศจีน ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งค่ายที่กำลังมาแรงในบ้านเรา อีกทั้งสมาร์ทค่ายนี้ยังมาพร้อมกับคอนเซ็ปที่ว่า ” สเปคราชา เเต่ราคาติดดิน ” สมาร์ทโฟนค่ายที่ว่าก็คือเเบรนด์ Xiaomi นั่นเอง สำหรับกระทู้นี้ผมก็จะมาทำการรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่จัดอยู่ในตะกูล Note ของทางเสี่ยวหมี่อย่าง Xiaomi Note 3 และสำหรับรุ่นนี้นั้นจะมีอะไรเด็ดๆที่เเตกต่างจากตะกูลอื่นบ้างเรามาชมรีวิวของผมไปพร้อมๆกันเลย . .
UNBOX !!
สำหรับเเพ็คเกจของ Xiaomi Mi Note 3 ก็จะมาพร้อมกับกล่องสีดำมีดีไซน์ที่เรียบหรู ด้านหน้ามีคำว่า Note 3 สลักไว้เป็นตัวหนังสือสีรุ้ง
อุปกรณ์ภายในกล่อง
ตัวเครื่อง
คู่มือ / เข็มจิ่มซิม
สายชาร์จ USB Type-C
หัวชาร์จไฟ Quick Charge 3.0
ตัวแปลงหูฟัง 3.5 มม
เคสใสเเบบนิ่มสีดำ
DESIGN จะมาพร้อมกับดีไซน์เหมือนกับตัว Xiaomi Mi 6 แต่จะมีหน้าจอที่ขนาดใหญ่กว่า มาพร้อมกับบอดี้กระจกกันรอยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ส่วนตัวเฟรมของเครื่องเป็นโลหะเรื่องของงานประกอบถือว่าทำออกมาได้ดี น้ำหนักเเละความบางของตัวเครื่องก็ลงตัวเเละจับได้ถนัดพอดีมือ แต่อาจจะลื่นๆหน่อยถ้าไม่ใส่เคส
ตัวเครื่องด้านหน้า : มาพร้อมหน้าจอแสดงผลชนิด IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้วความละเอียด FullHD มาพร้อมกับกระจกกันรอย Corning Gorilla 4 และครอบทับด้วยกระจกแบบ 2.5D
เหนือหน้าจอแสดงผลมาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลขนาด 2.0 μm pixel ถัดมาเป็นลำโพงฟังเสียงสนทนาและลำโพงตัวสเตอริโอตัวที่สอง และ ทางมุมขวาของลำโพงจะมีไฟแจ้งเตือน
ด้านล่างจอแสดงผลจะมี Recent Apps , ปุ่มโฮม และ ปุ่มย้อนกลับ โดยเป็นปุ่มแบบสัมผัสทั้งหมด เวลาใช้งานจะมีไฟสีขาวๆดวงเล็กสว่างๆขึ้นมา อีกทั้งต้นปุ่มโฮมก็จะเป็นเชนเซอร์ลายนิ้วมือ
สำหรับตัวเครื่องด้านขวา : มีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และ ปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง
สำหรับตัวเครื่องด้านช้าย : มีช่องใส่ซิมการ์ดสองช่องขนาดนาโนซิม และรุ่นนี้จะไม่มีช่องใส่ Micro-SD Card
สำหรับตัวเครื่องด้านบน : มีรูไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนและ รีโมท IR ( อินฟราเรด )
สำหรับตัวเครื่องด้านล่าง : มีพอร์ทเชื่อมต่อแบบ USB Type-C ตรงกลาง มีลำโพงฟังเสียงดูหนังฟังเพลงด้านขวา และ ไมโครโฟนสำหรับสนทนาด้านซ้าย
สำหรับตัวเครื่องด้านหลัง : พลิกมาดูด้านหลังตัวเครื่องก็จะเห็นบอดี้ที่เป็นกระจกมีงานออกแบบที่ทั้งสวยเเละเงางาม
ถัดลงมาก็จะเห็นคำว่า MI สลักไว้พร้อมกับตัวหนังสือภาษาจีนสีขาว
สเปค XIAOMI MI NOTE3
หน้าจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1080×1920 พิกเซล)
ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 660 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz
หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 512
หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 128GB EMMC 5.1
กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Wide และ Telephoto, ไฟแฟลชแบบคู่ (Dual-Tone LED), รองรับเทคโนโลยีซูมภาพด้วยเลนส์แบบ Optical Zoom, การซูมแบบดิจิทัล 10 เท่า (X10 Digital Zoom), ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS ทั้งหมด 4 แกน (4-axis OIS), ระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) และรองรับการถ่ายภาพในฟังก์ชัน Bokeh
กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ Adaptable AI Beautify
แบตเตอรี่ความจุ 3500 mAh รองรับระบบ Quick Charge 3.0
ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ MIUI 9 ที่อยู่บนพื้นฐานของ Android OS 7.1.1
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) และระบบการจดจำใบหน้า
รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11ac และ
NFC
รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
คุณภาพของเสียง และ หน้าจอแสดงผล
เรื่องของหน้าจอแสดงผลของรุ่นนี้ก็ถือว่าทำออกมาสวยครับ ความละเอียดจอถือว่าใช้ได้ หน้าจอก็สามารถปรับอุณภูมิสีที่เราต้องการได้ ว่าจะเอาสีโทนไหน ส่วนในเรื่องของลำโพงรุ่นนี้จะมาพร้อมกับลำโพงคู่สเตอริโอมีเสียงที่ดัง มีมิติเสียงที่มาเต็มเเละฟังได้ชัดเจนกว่าตัว Mi Mix 2 หรือ Mi Max 2 ส่วนเรื่องเสียงผ่านหูฟังก็ยังธรรมดาอยู่ครับ
ทดสอบใช้งานในการเล่นเกมส์
สำหรับเรื่องของการเล่นเกมส์รุ่นนี้ถือว่าเล่นเกมส์กราฟฟิกสูงๆได้สบายๆ หลังจากที่ลองเกมส์หลายๆเกมส์ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไหลลื่นไม่กระตุก ส่วนเกมส์ ROV รุ่นนี้แน่นอนว่ายังเปิด FPS 60 ไม่ได้ และ ตอนที่เล่นเกมส์นี้ก็จะได้ FPS อยู่ 28 – 30 FPS ครับ ( โดยรวมถือว่าลื่น )
ชมคลิปทดสอบเกมส์
BATTERY
รุ่นนี้จะมาพร้อมแบตความจุ 3,500 mAh ถือว่าเป็นหนึ่งสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอร์รี่อึดเอาการเลยความรู้สึกผมว่าอึดกว่า Mi6 ( แน่นอนเเบตเยอะกว่า ) ถ้าเราเน้นเเค่เเชทใช้งานทั่วไปอยู่ได้ทั้งวันอยู่ครับ เเต่ถ้าเล่นเกมส์ต่อเนื่องก็ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง โดยประมาณส่วนเรื่องชาร์จเเบตเตอร์รี่รุ่นนี้รองรับ QC 3.0 ใช้เวลาชาร์จประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆครับส่วนตัวผมว่าเร็วอยู่ครับ และ ยังสามารถตั้งเวลาเปิด / ปิดเครื่องได้ด้วย
ประสิทธิภาพในการทำงาน
ผลคะแนน AnTuTu Benchmark ก็ออกมาอยู่ที่ประมาณ 109,088 คะแนน อันนี้ต้องเเจ้งก่อนนะว่ากดทดสอบเเค่ 1 รอบเท่านั้น
รุ่นนี้หลังจากการทดสอบก็สามารถรองรับการใช้งาน Multi Touch ได้สูงสุด 10 จุด หน่วยความจำชนิด EMMC 5.1 และ มีเชนเซอร์ต่างๆดังต่อไปนี้
Accelerometer Sensor ตรวจวัดความเร่งจากการโน้มเอียง
Light Sensor ตรวจจับแสงสว่าง
Orientation Sensor เซ็นเซอร์ปรับมุมมองหน้าจอ (คล้ายตัววัดระดับน้ำ)
Proximity Sensor ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนาแนบหู
Gyroscope Sensor เซนเซอร์ตรวจจับลักษณะการหมุนของสมาร์ทโฟน
Sound Sensor ตรวจวัดระดับเสียง
Magnetic Sensors เซ็นเซอร์ตรวจจับแม่เหล็ก
barometer เซ็นเซอร์ตรวจวัดความกดอากาศ
หน้าตาระบบ และ ฟังก์ชัน
Xiaomi mi Note 3 รันบน Android 7.1 เครื่องที่ได้มาจะครอบทับ MIUI Global 9.1 จะมาพร้อมกับหน้าตา UI ที่เรียบง่ายเเละไหลลื่นเเละสวยงาม และ ไม่มีในส่วนของ App drawer และ มีฟังก์ชั่นที่มีความน่าสนใจดังต่อไปนี้
ลากจอลงมาจากด้านบนจะเห็นตัว Notification นั้น มี quick setting ให้ใช้งาน สามารถเลือกและ ปรับ แสงสว่างจอได้มีตัวปิดเปิด Wifi , ข้อมูลมือถือ , ไฟฉาย , โหมดเครื่องบิน เป็นต้น เเต่ความพิเศษคือเราสามารถเเชร์สัญญาณ Wifi ผ่าน Hotspot ได้ด้วย
มีการใช้งานแอปโคลนที่สามารถ แยกแอปมาเป็นสองอันได้ หรือ สามารถเล่น Line 2 เบอร์พร้อมกัน Facebook สอง ID พร้อมกันได้ | มีแอป รีโมท MI ที่สามารถเปลี่ยนมือถือให้เป็นรีโมทใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านได้ผ่าน
สามารถตั้งค่าความปลอดภัยด้วยการเพิ่มลายนิ้วมือ หรือ ใช้การจดจำใบหน้าเพื่อปลดล็อคตัวเครื่องได้ด้วย
อีกหนึ่งลูกเล่นของ MIUI 9 ก็คือเราสามารถเรียกใช้งาน Multi window หรือให้เข้าใจง่ายๆก็คือ มันเป็นฟังก์ชันการใช้งานสองแอปพลิเคชันได้ในเวลาเดียวกันครับ
มีคลังธีมสวยๆให้เลือกปรับเเต่งได้ตามต้องการ โดยเราสามารถเข้าไปเลือกโหลดใช้งานฟรีได้เลยครับ เอาเป็นว่าเอาไว้ประมาณนี้เเล้วกันนะ
คุณภาพกล้องหลัง
Xiaomi Mi Note 3 จะมาพร้อมกล้องหลังคู่ Dual Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากัน โดยกล้องตัวหลักจะเป็นเลนส์แบบ wide พร้อมค่า f/1.8 มาพร้อมระบบกันสั่น OIS แบบ 4 แกน ส่วนกล้องตัวที่สองจะเป็นเลนส์แบบ Tele สามารถซูมได้ 2X เน้นการถ่ายรูปแบบ Portrait เลยมีค่า f/2.6 มาพร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF และมีไฟแฟลชทูโทนติดมาด้านหลัง
เรื่องของหน้าตา UI กล้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจาก Xiaomi Mi Mix 2 หรือ Mi6 ที่เคยทำรีวิวไปก่อนหน้านี้
มีโหมดต่างๆให้ได้เลือกใช้งาน มีการใส่ลายน้ำกล้องคู่โหมดการถ่ายภาพแบบ Portrait โหมดโปรที่สามารถเลือกปรับ ISO , EV , WB และ Shutter Speed สูงสุด 32 วิ
มีโหมดลูกเล่น Filter ให้เลือกปรับสามารถถ่ายวีดีโอในโหมดต่างๆได้ เเละ ปรับความละเอียดของ วีดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 4K และ หลังจากที่ผมได้ลองใช้เเละทำรีวิวยังมีข้อติดังต่อไปนี้ครับผม
เรื่องการถ่ายภาพในที่แสงน้อย : รุ่นนี้หลังจากที่ลองได้ใช้เเละลองถ่ายในที่เเสงน้อยถ้าเราจะถ่ายภาพแบบ AUTO สิ่งที่เห็นคือ กล้องหลังมันจะดันภาพให้สว่าง พอดันภาพสว่างภาพที่ได้ก็จะติด Noise มาค่อนข้างเยอะ เเต่ก็มีวิธีเเก้คือการปรับเเสงสว่างลงมา
เรื่องของการถ่ายวีดีโอ : คุณภาพที่ได้ค่อนข้างออกมาดีแต่มีข้อเสียคือคุณภาพเสียงที่ได้ของวีดีโอยังทำออกมาไม่ดีมากเท่าที่ควร
เรื่องคุณภาพของกล้อง : เรื่องของ WB ถือว่าทำออกมาได้ตรง เเต่คุณภาพที่ได้ดูไม่แตกต่างจาก MI6 มากนัก แต่ถ้าเทียบกับค่ายอื่นที่อยู่ในราคาที่เท่าๆกัน อาจจะมีแค่เรื่องความคมของภาพอาจจะดูด้อยกว่านิดหน่อยเท่านั้น
[CR] รีวิว XIAOMI MI NOTE 3 ชูจุดเด่นด้วยกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซลและระบบ AI BEAUTY
UNBOX !!
สำหรับเเพ็คเกจของ Xiaomi Mi Note 3 ก็จะมาพร้อมกับกล่องสีดำมีดีไซน์ที่เรียบหรู ด้านหน้ามีคำว่า Note 3 สลักไว้เป็นตัวหนังสือสีรุ้ง
อุปกรณ์ภายในกล่อง
ตัวเครื่อง
คู่มือ / เข็มจิ่มซิม
สายชาร์จ USB Type-C
หัวชาร์จไฟ Quick Charge 3.0
ตัวแปลงหูฟัง 3.5 มม
เคสใสเเบบนิ่มสีดำ
DESIGN จะมาพร้อมกับดีไซน์เหมือนกับตัว Xiaomi Mi 6 แต่จะมีหน้าจอที่ขนาดใหญ่กว่า มาพร้อมกับบอดี้กระจกกันรอยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ส่วนตัวเฟรมของเครื่องเป็นโลหะเรื่องของงานประกอบถือว่าทำออกมาได้ดี น้ำหนักเเละความบางของตัวเครื่องก็ลงตัวเเละจับได้ถนัดพอดีมือ แต่อาจจะลื่นๆหน่อยถ้าไม่ใส่เคส
ตัวเครื่องด้านหน้า : มาพร้อมหน้าจอแสดงผลชนิด IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้วความละเอียด FullHD มาพร้อมกับกระจกกันรอย Corning Gorilla 4 และครอบทับด้วยกระจกแบบ 2.5D
เหนือหน้าจอแสดงผลมาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลขนาด 2.0 μm pixel ถัดมาเป็นลำโพงฟังเสียงสนทนาและลำโพงตัวสเตอริโอตัวที่สอง และ ทางมุมขวาของลำโพงจะมีไฟแจ้งเตือน
ด้านล่างจอแสดงผลจะมี Recent Apps , ปุ่มโฮม และ ปุ่มย้อนกลับ โดยเป็นปุ่มแบบสัมผัสทั้งหมด เวลาใช้งานจะมีไฟสีขาวๆดวงเล็กสว่างๆขึ้นมา อีกทั้งต้นปุ่มโฮมก็จะเป็นเชนเซอร์ลายนิ้วมือ
สำหรับตัวเครื่องด้านขวา : มีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และ ปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง
สำหรับตัวเครื่องด้านช้าย : มีช่องใส่ซิมการ์ดสองช่องขนาดนาโนซิม และรุ่นนี้จะไม่มีช่องใส่ Micro-SD Card
สำหรับตัวเครื่องด้านบน : มีรูไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนและ รีโมท IR ( อินฟราเรด )
สำหรับตัวเครื่องด้านล่าง : มีพอร์ทเชื่อมต่อแบบ USB Type-C ตรงกลาง มีลำโพงฟังเสียงดูหนังฟังเพลงด้านขวา และ ไมโครโฟนสำหรับสนทนาด้านซ้าย
สำหรับตัวเครื่องด้านหลัง : พลิกมาดูด้านหลังตัวเครื่องก็จะเห็นบอดี้ที่เป็นกระจกมีงานออกแบบที่ทั้งสวยเเละเงางาม
ถัดลงมาก็จะเห็นคำว่า MI สลักไว้พร้อมกับตัวหนังสือภาษาจีนสีขาว
สเปค XIAOMI MI NOTE3
หน้าจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1080×1920 พิกเซล)
ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 660 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz
หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 512
หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 128GB EMMC 5.1
กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Wide และ Telephoto, ไฟแฟลชแบบคู่ (Dual-Tone LED), รองรับเทคโนโลยีซูมภาพด้วยเลนส์แบบ Optical Zoom, การซูมแบบดิจิทัล 10 เท่า (X10 Digital Zoom), ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS ทั้งหมด 4 แกน (4-axis OIS), ระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) และรองรับการถ่ายภาพในฟังก์ชัน Bokeh
กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ Adaptable AI Beautify
แบตเตอรี่ความจุ 3500 mAh รองรับระบบ Quick Charge 3.0
ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ MIUI 9 ที่อยู่บนพื้นฐานของ Android OS 7.1.1
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) และระบบการจดจำใบหน้า
รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11ac และ
NFC
รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
คุณภาพของเสียง และ หน้าจอแสดงผล
เรื่องของหน้าจอแสดงผลของรุ่นนี้ก็ถือว่าทำออกมาสวยครับ ความละเอียดจอถือว่าใช้ได้ หน้าจอก็สามารถปรับอุณภูมิสีที่เราต้องการได้ ว่าจะเอาสีโทนไหน ส่วนในเรื่องของลำโพงรุ่นนี้จะมาพร้อมกับลำโพงคู่สเตอริโอมีเสียงที่ดัง มีมิติเสียงที่มาเต็มเเละฟังได้ชัดเจนกว่าตัว Mi Mix 2 หรือ Mi Max 2 ส่วนเรื่องเสียงผ่านหูฟังก็ยังธรรมดาอยู่ครับ
ทดสอบใช้งานในการเล่นเกมส์
สำหรับเรื่องของการเล่นเกมส์รุ่นนี้ถือว่าเล่นเกมส์กราฟฟิกสูงๆได้สบายๆ หลังจากที่ลองเกมส์หลายๆเกมส์ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไหลลื่นไม่กระตุก ส่วนเกมส์ ROV รุ่นนี้แน่นอนว่ายังเปิด FPS 60 ไม่ได้ และ ตอนที่เล่นเกมส์นี้ก็จะได้ FPS อยู่ 28 – 30 FPS ครับ ( โดยรวมถือว่าลื่น )
ชมคลิปทดสอบเกมส์
BATTERY
รุ่นนี้จะมาพร้อมแบตความจุ 3,500 mAh ถือว่าเป็นหนึ่งสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอร์รี่อึดเอาการเลยความรู้สึกผมว่าอึดกว่า Mi6 ( แน่นอนเเบตเยอะกว่า ) ถ้าเราเน้นเเค่เเชทใช้งานทั่วไปอยู่ได้ทั้งวันอยู่ครับ เเต่ถ้าเล่นเกมส์ต่อเนื่องก็ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง โดยประมาณส่วนเรื่องชาร์จเเบตเตอร์รี่รุ่นนี้รองรับ QC 3.0 ใช้เวลาชาร์จประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆครับส่วนตัวผมว่าเร็วอยู่ครับ และ ยังสามารถตั้งเวลาเปิด / ปิดเครื่องได้ด้วย
ประสิทธิภาพในการทำงาน
ผลคะแนน AnTuTu Benchmark ก็ออกมาอยู่ที่ประมาณ 109,088 คะแนน อันนี้ต้องเเจ้งก่อนนะว่ากดทดสอบเเค่ 1 รอบเท่านั้น
รุ่นนี้หลังจากการทดสอบก็สามารถรองรับการใช้งาน Multi Touch ได้สูงสุด 10 จุด หน่วยความจำชนิด EMMC 5.1 และ มีเชนเซอร์ต่างๆดังต่อไปนี้
Accelerometer Sensor ตรวจวัดความเร่งจากการโน้มเอียง
Light Sensor ตรวจจับแสงสว่าง
Orientation Sensor เซ็นเซอร์ปรับมุมมองหน้าจอ (คล้ายตัววัดระดับน้ำ)
Proximity Sensor ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนาแนบหู
Gyroscope Sensor เซนเซอร์ตรวจจับลักษณะการหมุนของสมาร์ทโฟน
Sound Sensor ตรวจวัดระดับเสียง
Magnetic Sensors เซ็นเซอร์ตรวจจับแม่เหล็ก
barometer เซ็นเซอร์ตรวจวัดความกดอากาศ
หน้าตาระบบ และ ฟังก์ชัน
Xiaomi mi Note 3 รันบน Android 7.1 เครื่องที่ได้มาจะครอบทับ MIUI Global 9.1 จะมาพร้อมกับหน้าตา UI ที่เรียบง่ายเเละไหลลื่นเเละสวยงาม และ ไม่มีในส่วนของ App drawer และ มีฟังก์ชั่นที่มีความน่าสนใจดังต่อไปนี้
ลากจอลงมาจากด้านบนจะเห็นตัว Notification นั้น มี quick setting ให้ใช้งาน สามารถเลือกและ ปรับ แสงสว่างจอได้มีตัวปิดเปิด Wifi , ข้อมูลมือถือ , ไฟฉาย , โหมดเครื่องบิน เป็นต้น เเต่ความพิเศษคือเราสามารถเเชร์สัญญาณ Wifi ผ่าน Hotspot ได้ด้วย
มีการใช้งานแอปโคลนที่สามารถ แยกแอปมาเป็นสองอันได้ หรือ สามารถเล่น Line 2 เบอร์พร้อมกัน Facebook สอง ID พร้อมกันได้ | มีแอป รีโมท MI ที่สามารถเปลี่ยนมือถือให้เป็นรีโมทใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านได้ผ่าน
สามารถตั้งค่าความปลอดภัยด้วยการเพิ่มลายนิ้วมือ หรือ ใช้การจดจำใบหน้าเพื่อปลดล็อคตัวเครื่องได้ด้วย
อีกหนึ่งลูกเล่นของ MIUI 9 ก็คือเราสามารถเรียกใช้งาน Multi window หรือให้เข้าใจง่ายๆก็คือ มันเป็นฟังก์ชันการใช้งานสองแอปพลิเคชันได้ในเวลาเดียวกันครับ
มีคลังธีมสวยๆให้เลือกปรับเเต่งได้ตามต้องการ โดยเราสามารถเข้าไปเลือกโหลดใช้งานฟรีได้เลยครับ เอาเป็นว่าเอาไว้ประมาณนี้เเล้วกันนะ
คุณภาพกล้องหลัง
Xiaomi Mi Note 3 จะมาพร้อมกล้องหลังคู่ Dual Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากัน โดยกล้องตัวหลักจะเป็นเลนส์แบบ wide พร้อมค่า f/1.8 มาพร้อมระบบกันสั่น OIS แบบ 4 แกน ส่วนกล้องตัวที่สองจะเป็นเลนส์แบบ Tele สามารถซูมได้ 2X เน้นการถ่ายรูปแบบ Portrait เลยมีค่า f/2.6 มาพร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF และมีไฟแฟลชทูโทนติดมาด้านหลัง
เรื่องของหน้าตา UI กล้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจาก Xiaomi Mi Mix 2 หรือ Mi6 ที่เคยทำรีวิวไปก่อนหน้านี้
มีโหมดต่างๆให้ได้เลือกใช้งาน มีการใส่ลายน้ำกล้องคู่โหมดการถ่ายภาพแบบ Portrait โหมดโปรที่สามารถเลือกปรับ ISO , EV , WB และ Shutter Speed สูงสุด 32 วิ
มีโหมดลูกเล่น Filter ให้เลือกปรับสามารถถ่ายวีดีโอในโหมดต่างๆได้ เเละ ปรับความละเอียดของ วีดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 4K และ หลังจากที่ผมได้ลองใช้เเละทำรีวิวยังมีข้อติดังต่อไปนี้ครับผม
เรื่องการถ่ายภาพในที่แสงน้อย : รุ่นนี้หลังจากที่ลองได้ใช้เเละลองถ่ายในที่เเสงน้อยถ้าเราจะถ่ายภาพแบบ AUTO สิ่งที่เห็นคือ กล้องหลังมันจะดันภาพให้สว่าง พอดันภาพสว่างภาพที่ได้ก็จะติด Noise มาค่อนข้างเยอะ เเต่ก็มีวิธีเเก้คือการปรับเเสงสว่างลงมา
เรื่องของการถ่ายวีดีโอ : คุณภาพที่ได้ค่อนข้างออกมาดีแต่มีข้อเสียคือคุณภาพเสียงที่ได้ของวีดีโอยังทำออกมาไม่ดีมากเท่าที่ควร
เรื่องคุณภาพของกล้อง : เรื่องของ WB ถือว่าทำออกมาได้ตรง เเต่คุณภาพที่ได้ดูไม่แตกต่างจาก MI6 มากนัก แต่ถ้าเทียบกับค่ายอื่นที่อยู่ในราคาที่เท่าๆกัน อาจจะมีแค่เรื่องความคมของภาพอาจจะดูด้อยกว่านิดหน่อยเท่านั้น