- กระทู้แรกในชีวิต ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะคะ -
Edit : ขออนุญาติเพิ่มลิงค์ไปยัง blog เรานะคะ จะมีพวก contact information อย่างละเอียดอยู่ ช่วงนี้บางทีตอบเฟสบุ๊คช้าค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.eatchillwander.com/travel/america/havana-cuba1/
https://www.eatchillwander.com/travel/america/havana-cuba2/
https://www.eatchillwander.com/travel/america/havana-cuba-travel-3/
รถคลาสสิคอเมริกัน ตึกสีหวาน เหล้ารัม สโลว์ไลฟ์ และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ “ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ เดี๋ยวมันจะไม่เป็นแบบนี้แล้วนะ”
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเลือก คิวบา เป็นประเทศแรกในทวีปอเมริกากลางและใต้ และเป็นประเทศที่ 46 ของเรา...
ตอนแรกก็คิดว่าจะไปถ่ายรูปสวยๆ นั่งรถวินเทจเปิดประทุนชิคๆนั่นแหล่ะ แต่ก็ได้พบว่า ที่นี่อิมแพคและสอนอะไรเกี่ยวกับชีวิตให้เราอย่างที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน การอยู่ในโลกที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ที่ที่แบรนด์เนมไม่มีค่า ทั้งมุมมองทางการใช้ชีวิต ความเชื่อ เป็นประเทศสังคมนิยมเปิดวิธีคิดของเราให้เป็นแบบ post modernism เข้าไปกว่าเดิม
และหลังจากทริปนี้ เวลามีคนถามว่า “จาก49ประเทศที่ไปมา ชอบที่ไหนมากที่สุด?” เราตอบได้ทันทีไม่ต้องคิด “ฮาวาน่า คิวบา"
เริ่มการเดินทาง...
เราก็เหมือนทุกคนแหล่ะ กล้าๆกลัวๆ จะไปคนเดียว หารีวิว ไม่มีใครไปจากเมืองไทยเลยว่ะ ทุกคนที่รีวิวภาษาไทยคือใช้ชีวิตอยู่เมกาบ้าง ยุโรปบ้าง เอาไงดี ถ้าไปแล้วเค้าไม่ให้เข้าประเทศ.. หนักกว่าคือ ถ้าเข้าคิวบาแล้ว เมกาไม่ให้กลับเข้าประเทศแล้วจะบินกลับไทยยังไงอ่ะ พีคสุดคือ จองตั๋วไปอาทิตย์เดียว โดนัล ทรัมป์ ประกาศคุมเข้มการเดินทางของชาวอเมริกัน อารมณ์แบบฉีกข้อตกลงสัมพันธ์อันดีที่โอบาม่าทำไว้
ตามเว็ปฝรั่ง อิพวกผู้หญิงเดินทางคนเดียวมันก็พูดภาษาสเปนได้กันหมดไง แต่ก็ช่างเหอะ ป่วงแบบบ้านคาร์ดาเชี่ยนมันยังรอดเลย เราก็รอดแหล่ะ
สรุปคือดีใจมากที่ตัดสินใจไป แม้ทริปจะเกือบล่ม เพราะ Hurricane Irma เฮอริเคนที่แรงที่สุดในรอบกี่ปีไม่รู้ ที่เข้าหนึ่งอาทิตย์ก่อนเราไปถึง ทำให้เราเปลี่ยนทริปกระทันหันจาก 7 วัน เหลือ 3 วัน เท่านั้นเลยไปได้แค่ Havana ที่เดียว ไม่ได้ไปดำน้ำที่อื่นๆแบบที่ตั้งใจไว้
——
วิธีการเดินทาง
เนื่องจากหลังๆมานี่คิวบาฮิตในหมู่คนเยอรมันและชาวสเปนมาก เลยทำให้หาไฟลท์มาจากยุโรปได้ไม่ยาก แต่ส่วนตัวเราตั้งใจไปเที่ยวแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ Universal Florida เลยเลือกบินไปเที่ยวอเมริกา และบินไป Havana จาก Miami ใช้เวลาบินไม่ถึงชั่วโมง
*สาระ* จริงๆ คิวบากับไมอามี่นี่ใกล้กันมากๆเลยนะ แต่เนื่องจากต้องป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกม. เลยไม่มีเรือวิ่ง จะมีก็มีแต่เรือสำราญลำใหญ่ๆที่มาจอดเทียบท่าที่ Havana ทุกวัน ส่วนการประมงก็ใช้วิธีตกปลาเป็นหลัก มีกม.ชัดเจนว่าห้ามชาวคิวบาขึ้นเรือเด็ดขาด
สายการบินที่บินก็จะมี HavanaAir, United, Delta, Jet blues ราคาก็แล้วแต่แต้มบุญที่สะสมกันมา เราได้ราคา 200$นิดๆ ไปจากไมอามี่ กลับเข้า JFK นิวยอร์ค
------
VISA
ที่นี่ไม่ต้องขอวีซ่า แต่ต้องซื้อ Tourist Card ซึ่งขายให้ทุกคนตอนเช็คอิน คนไทย พาสพอร์ทไทย ซื้อได้เลย 50$ อิ tourist card มันก็ทำหน้าที่เหมือนวีซ่าแหล่ะ แต่เป็นวีซ่าที่ต้องเขียนเอง 555 ตอนออกจากคิวบา เค้าก็เก็บไป -- ถ้าเข้าออกคิวบาผ่านเมกา เค้าจะให้เรากรอกเอกสาร ว่า เราเข้าคิวบาไปทำอะไร ซึ่งมันเรียกอย่างเป็นทางการว่า General License อันนี้เป็นเรื่องที่เมกาทำขึ้นมาเพื่อพยายามห้ามชาวอเมริกันไปซัพพอร์ทคิวบา ให้เรากากบาทข้อที่เขียนว่า Travel to support Cuban people ได้เลย ตามจริงๆไม่มีใครเช็คเลยจ้า
แล้วกลับเข้าเมกามีปัญหามั้ย? : ตอบเลยว่า ไม่มี ตม.ถามเราว่า หนูสูบซิการ์ไปเยอะมั้ยลูก ดื่มรัมไปเยอะรึป่าว จบ 5555
— —
มาถึงสนามบิน โฮสท์จาก Airbnb ก็มารอรับเรา ผ่านตม.ไม่ยากหรอก แต่ทำงานกันช้าาาาาเหลือเกิน ความสโลว์ไลฟ์ที่แท้จริง
วันแรกที่มาถึง เราก็ไปเดินเที่ยวในเมืองที่เรียกว่า Old Havana กันเลย
ตึก El Capitolio ซึ่งอยู่ตรงจตุรัสใจกลางเมืองเลย ไม่ว่าจะมาเที่ยวคนเดียว หรือ join walking tour เราก็จะได้เริ่มจากบริเวณแถวๆนี้
แต่การเดินเที่ยวที่นี่มันไม่เหมือนการเดินเที่ยวไอ่ประเทศอื่นๆที่ผ่านมาน่ะสิ
ความพีคมันอยู่ตรงที่ ที่นี่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโรมมิ่ง เน็ตบ้านยังเป็นแบบต่อสายโทรศัพท์ ไวไฟต้องซื้อเอาเป็นชั่วโมง ประมาณ 4-8$ ต่อชั่วโมงแล้วแต่โรงแรม และต้องไปใช้ในโรงแรมหรือร้านอาหารของรัฐเท่านั้น
นั่นหมายความว่า ไม่มี กูเกิ้ลแมพ และ กูเกิ้ลทรานสเลท นะคะ
แต่ด้วยความที่ Havana เนี่ย ปลอดภัยมากกกกกกกก เดินไปเลย เดินหลงๆไป จำทางกลับให้ได้ก็พอ เราก็จัดไปค่ะ
วันนี้ แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ แต่อากาศร้อนเหมือนเมืองไทยเลยค่ะ เราเพิ่งไปมาตอนปลาย กย. ที่ผ่านมานี่เอง
ที่นี่จะใช้สกุลเงิน 2 สกุลนะคะ นักท่องเที่ยวถือ CUC คนคิวบาทั่วไปถือ CUP หากคนคิวบาได้รับ CUC ไป เค้าก็จะต้องเอาไปแลกตามธนาคารให้เป็น CUP นั่นหมายความว่า รัฐบาล track ทุกรายได้ของประชาชนทุกคนค่ะ CUC ที่เราถือก็จะมีค่าเท่ากับ 1 USD เสมอค่ะ
ข้าวของในคิวบาถูกมาก นี่ขนาดเป็นราคาทัวริสท์ก็ถูกแล้ว แต่เท่าที่ทราบมาคือ ค่าครองชีพที่นี่ต่ำมากพอๆกับรายได้
นี่คือตัวอย่างของล๊อบบี้โรงแรมที่ไปนั่งเล่นเน็ตมาค่ะ และก็สั่งเครื่องดื่มด้วย ไม่แพงเลย คือปกติโรงแรมหรูๆ กาแฟแก้วนึงก็ต้องหลายร้อย ที่นี่ 2 เหรียญเอง โค้ก อีก 1 เหรียญ --- สิ่งที่แพงที่สุดที่นี่คืออินเตอร์เน็ตจริงๆ
ลืมบอกไปว่า ที่นี่ไม่มีแบรนด์อเมริกาเลยนะคะ ด้วยนโยบาย embargo ของสหรัฐ ที่จะไม่สนับสนุนคอมมิวนิสท์ แปลว่าไม่มี โค้ก ไม่มีเลย์ ไม่มีสบู่ของใช้แบรนด์ที่เรารู้จัก ไม่มีไอโฟน ทุกอย่างเป็นของที่นี่ เช่น โค้กยี่ห้อคิวบา นี้ค่ะ
ก็เดินไปเรื่อยๆ จะเจอทะเล เจอตลาด ผู้คนยิ้มแย้ม อัธยาศัยดี
ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิด Rum อย่าง Rum ยี่ห้อ Barcadi ก็เริ่มที่นี่ แต่ตอนที่ปฏิวัติรอบที่ขับไล่คนสเปนออกไป ครอบครัว Barcadi ก็ต้องลี้ภัยออกไปด้วย เค้าว่ากันว่าหากอยากลองกิน Barcadi จริงๆ ต้องกิน Rum ท้องถิ่นยี่ห้อ Santiago De Cuba ค่ะ เพราะเป็นไร่ที่ Barcadi เคยปลูกและใช้สูตรเดียวกัน จึงออริจินอลมากที่สุด
คนที่นี่เค้าถือรัมเดินเล่นกับเพื่อนกันเป็นขวดๆเลยค่ะ นี่เราก็เดินเล่นอยู่ เค้าก็จะพยายามทักทายเรากัน เพราะเราอาจจะหน้าแปลก (ถามว่าน่ากลัวมั้ย เราเที่ยวมาค่อนข้างเยอะในระดับนึง เราจะมีคอมมอนเซ้นส์อยู่นะคะ แต่ก็ต้องระวังตัว) ที่นี่เค้าเฟรนด์ลี่จริงๆ เพราะคนที่ทัก มันเป็นระแวกบ้านคน เค้าเห็นเราเดินลงจากบ้าน เค้าก็ทักทาย เดินออกมา ก็เรียกเพื่อนบ้านมาดู มาทัก มาคุยด้วย เสียดายมากๆที่พูดภาษาสเปนไม่ได้ อย่างรูปนี้ ก็คือเค้าเข้ามาพยายามถามว่ามาจากไหน เราก็เลยถามเค้าว่า ยืมขวดมาถ่ายรูปหน่อย เค้าก็ถ่ายให้เรา เฮฮา ตื่นเต้นกันไป
บรรยากาศตามท้องถนน ชอบที่คนออกมาคุยกันมาก ไม่มีสังคมก้มหน้าหรือติดคอมติดมือถือเลย เด็กๆออกมาวิ่งเล่นกัน ทุกบ้านเปิดประตูมานั่งคุยกัน เล่นโดมิโน หมากรุก เตะบอลกันตามถนน สดชื่นมากๆค่ะ
ตลาดขายของฝาก มีกฏว่าต้องเป็นของที่ผลิตในคิวบาเท่านั้น งานส่วนใหญ่เลยเป็นงานทำมือ เป็นงานศิลปะหรืองานฝีมือเท่านั้น ดีมากเลย เพราะปกติไปที่ไหน พวกของฝากแบบพวงกุญแจหรือโมเดล เรารู้เลยว่าผลิตในจีน ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นงานไม้ ดูไม่โรงงานแบบที่อื่น
สำหรับอาหารเย็นวันนี้ได้ไปบาร์โปรดของนักเขียนชื่อดังอย่าง Ernest Hemingway ที่มาใช้ชีวิตที่ฮาวาน่าพักใหญ่ บาร์นี้ชัดเจนว่า ค่อนข้าง ทัวริสท์ และเป็นของรัฐ
ที่นี่ธุรกิจเกือบทั้งหมดจะเป็นของรัฐ มี president คนล่าสุดที่ยอมให้ ประชาชนขอใบประกอบธุรกิจได้ ซึ่งตอนนี้ก็หยุดให้ไปแล้ว ดังนั้น คนคิวบาเองจะพยายามบอกให้เรา อุดหนุนธุรกิจที่เป็นของประชาชนมากกว่าของรัฐ
สำหรับบาร์นี้นั้น เป็นต้นกำเนิดของค๊อกเทลที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Daiquiri ค่ะ
อาหารเป็นล๊อบสเตอร์ กุ้ง กับ ปลาดาบ อร่อยมากๆเลยนะคะ ราคา 22$ ซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับที่นี่ แต่ล๊อบสเตอร์แน่นมากกก เราโอเคเลยยยย
เดี๋ยวมาต่อของวันที่ 2 นะคะ ที่มีโอกาสได้นั่งรถคลาสสิคอเมริกันเปิดประทุนไปตามสถานที่สำคัญๆในฮาวาน่าค่ะ
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆค่ะ
ฝากเพจจะโดนว่ามั้ยเนี่ยยยยย ถ้าใครสงสัยอะไรก็เมสเสจมาได้เลยนะคะ
https://www.facebook.com/eatchillwander/
ไป Havana, Cuba กันเถอะ เราไปคนเดียวมาแล้ว!!
Edit : ขออนุญาติเพิ่มลิงค์ไปยัง blog เรานะคะ จะมีพวก contact information อย่างละเอียดอยู่ ช่วงนี้บางทีตอบเฟสบุ๊คช้าค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รถคลาสสิคอเมริกัน ตึกสีหวาน เหล้ารัม สโลว์ไลฟ์ และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ “ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ เดี๋ยวมันจะไม่เป็นแบบนี้แล้วนะ”
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเลือก คิวบา เป็นประเทศแรกในทวีปอเมริกากลางและใต้ และเป็นประเทศที่ 46 ของเรา...
ตอนแรกก็คิดว่าจะไปถ่ายรูปสวยๆ นั่งรถวินเทจเปิดประทุนชิคๆนั่นแหล่ะ แต่ก็ได้พบว่า ที่นี่อิมแพคและสอนอะไรเกี่ยวกับชีวิตให้เราอย่างที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน การอยู่ในโลกที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ที่ที่แบรนด์เนมไม่มีค่า ทั้งมุมมองทางการใช้ชีวิต ความเชื่อ เป็นประเทศสังคมนิยมเปิดวิธีคิดของเราให้เป็นแบบ post modernism เข้าไปกว่าเดิม
และหลังจากทริปนี้ เวลามีคนถามว่า “จาก49ประเทศที่ไปมา ชอบที่ไหนมากที่สุด?” เราตอบได้ทันทีไม่ต้องคิด “ฮาวาน่า คิวบา"
เริ่มการเดินทาง...
เราก็เหมือนทุกคนแหล่ะ กล้าๆกลัวๆ จะไปคนเดียว หารีวิว ไม่มีใครไปจากเมืองไทยเลยว่ะ ทุกคนที่รีวิวภาษาไทยคือใช้ชีวิตอยู่เมกาบ้าง ยุโรปบ้าง เอาไงดี ถ้าไปแล้วเค้าไม่ให้เข้าประเทศ.. หนักกว่าคือ ถ้าเข้าคิวบาแล้ว เมกาไม่ให้กลับเข้าประเทศแล้วจะบินกลับไทยยังไงอ่ะ พีคสุดคือ จองตั๋วไปอาทิตย์เดียว โดนัล ทรัมป์ ประกาศคุมเข้มการเดินทางของชาวอเมริกัน อารมณ์แบบฉีกข้อตกลงสัมพันธ์อันดีที่โอบาม่าทำไว้
ตามเว็ปฝรั่ง อิพวกผู้หญิงเดินทางคนเดียวมันก็พูดภาษาสเปนได้กันหมดไง แต่ก็ช่างเหอะ ป่วงแบบบ้านคาร์ดาเชี่ยนมันยังรอดเลย เราก็รอดแหล่ะ
สรุปคือดีใจมากที่ตัดสินใจไป แม้ทริปจะเกือบล่ม เพราะ Hurricane Irma เฮอริเคนที่แรงที่สุดในรอบกี่ปีไม่รู้ ที่เข้าหนึ่งอาทิตย์ก่อนเราไปถึง ทำให้เราเปลี่ยนทริปกระทันหันจาก 7 วัน เหลือ 3 วัน เท่านั้นเลยไปได้แค่ Havana ที่เดียว ไม่ได้ไปดำน้ำที่อื่นๆแบบที่ตั้งใจไว้
——
วิธีการเดินทาง
เนื่องจากหลังๆมานี่คิวบาฮิตในหมู่คนเยอรมันและชาวสเปนมาก เลยทำให้หาไฟลท์มาจากยุโรปได้ไม่ยาก แต่ส่วนตัวเราตั้งใจไปเที่ยวแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ Universal Florida เลยเลือกบินไปเที่ยวอเมริกา และบินไป Havana จาก Miami ใช้เวลาบินไม่ถึงชั่วโมง
*สาระ* จริงๆ คิวบากับไมอามี่นี่ใกล้กันมากๆเลยนะ แต่เนื่องจากต้องป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกม. เลยไม่มีเรือวิ่ง จะมีก็มีแต่เรือสำราญลำใหญ่ๆที่มาจอดเทียบท่าที่ Havana ทุกวัน ส่วนการประมงก็ใช้วิธีตกปลาเป็นหลัก มีกม.ชัดเจนว่าห้ามชาวคิวบาขึ้นเรือเด็ดขาด
สายการบินที่บินก็จะมี HavanaAir, United, Delta, Jet blues ราคาก็แล้วแต่แต้มบุญที่สะสมกันมา เราได้ราคา 200$นิดๆ ไปจากไมอามี่ กลับเข้า JFK นิวยอร์ค
------
VISA
ที่นี่ไม่ต้องขอวีซ่า แต่ต้องซื้อ Tourist Card ซึ่งขายให้ทุกคนตอนเช็คอิน คนไทย พาสพอร์ทไทย ซื้อได้เลย 50$ อิ tourist card มันก็ทำหน้าที่เหมือนวีซ่าแหล่ะ แต่เป็นวีซ่าที่ต้องเขียนเอง 555 ตอนออกจากคิวบา เค้าก็เก็บไป -- ถ้าเข้าออกคิวบาผ่านเมกา เค้าจะให้เรากรอกเอกสาร ว่า เราเข้าคิวบาไปทำอะไร ซึ่งมันเรียกอย่างเป็นทางการว่า General License อันนี้เป็นเรื่องที่เมกาทำขึ้นมาเพื่อพยายามห้ามชาวอเมริกันไปซัพพอร์ทคิวบา ให้เรากากบาทข้อที่เขียนว่า Travel to support Cuban people ได้เลย ตามจริงๆไม่มีใครเช็คเลยจ้า
แล้วกลับเข้าเมกามีปัญหามั้ย? : ตอบเลยว่า ไม่มี ตม.ถามเราว่า หนูสูบซิการ์ไปเยอะมั้ยลูก ดื่มรัมไปเยอะรึป่าว จบ 5555
— —
มาถึงสนามบิน โฮสท์จาก Airbnb ก็มารอรับเรา ผ่านตม.ไม่ยากหรอก แต่ทำงานกันช้าาาาาเหลือเกิน ความสโลว์ไลฟ์ที่แท้จริง
วันแรกที่มาถึง เราก็ไปเดินเที่ยวในเมืองที่เรียกว่า Old Havana กันเลย
ตึก El Capitolio ซึ่งอยู่ตรงจตุรัสใจกลางเมืองเลย ไม่ว่าจะมาเที่ยวคนเดียว หรือ join walking tour เราก็จะได้เริ่มจากบริเวณแถวๆนี้
แต่การเดินเที่ยวที่นี่มันไม่เหมือนการเดินเที่ยวไอ่ประเทศอื่นๆที่ผ่านมาน่ะสิ
ความพีคมันอยู่ตรงที่ ที่นี่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโรมมิ่ง เน็ตบ้านยังเป็นแบบต่อสายโทรศัพท์ ไวไฟต้องซื้อเอาเป็นชั่วโมง ประมาณ 4-8$ ต่อชั่วโมงแล้วแต่โรงแรม และต้องไปใช้ในโรงแรมหรือร้านอาหารของรัฐเท่านั้น
นั่นหมายความว่า ไม่มี กูเกิ้ลแมพ และ กูเกิ้ลทรานสเลท นะคะ
แต่ด้วยความที่ Havana เนี่ย ปลอดภัยมากกกกกกกก เดินไปเลย เดินหลงๆไป จำทางกลับให้ได้ก็พอ เราก็จัดไปค่ะ
วันนี้ แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ แต่อากาศร้อนเหมือนเมืองไทยเลยค่ะ เราเพิ่งไปมาตอนปลาย กย. ที่ผ่านมานี่เอง
ที่นี่จะใช้สกุลเงิน 2 สกุลนะคะ นักท่องเที่ยวถือ CUC คนคิวบาทั่วไปถือ CUP หากคนคิวบาได้รับ CUC ไป เค้าก็จะต้องเอาไปแลกตามธนาคารให้เป็น CUP นั่นหมายความว่า รัฐบาล track ทุกรายได้ของประชาชนทุกคนค่ะ CUC ที่เราถือก็จะมีค่าเท่ากับ 1 USD เสมอค่ะ
ข้าวของในคิวบาถูกมาก นี่ขนาดเป็นราคาทัวริสท์ก็ถูกแล้ว แต่เท่าที่ทราบมาคือ ค่าครองชีพที่นี่ต่ำมากพอๆกับรายได้
นี่คือตัวอย่างของล๊อบบี้โรงแรมที่ไปนั่งเล่นเน็ตมาค่ะ และก็สั่งเครื่องดื่มด้วย ไม่แพงเลย คือปกติโรงแรมหรูๆ กาแฟแก้วนึงก็ต้องหลายร้อย ที่นี่ 2 เหรียญเอง โค้ก อีก 1 เหรียญ --- สิ่งที่แพงที่สุดที่นี่คืออินเตอร์เน็ตจริงๆ
ลืมบอกไปว่า ที่นี่ไม่มีแบรนด์อเมริกาเลยนะคะ ด้วยนโยบาย embargo ของสหรัฐ ที่จะไม่สนับสนุนคอมมิวนิสท์ แปลว่าไม่มี โค้ก ไม่มีเลย์ ไม่มีสบู่ของใช้แบรนด์ที่เรารู้จัก ไม่มีไอโฟน ทุกอย่างเป็นของที่นี่ เช่น โค้กยี่ห้อคิวบา นี้ค่ะ
ก็เดินไปเรื่อยๆ จะเจอทะเล เจอตลาด ผู้คนยิ้มแย้ม อัธยาศัยดี
ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิด Rum อย่าง Rum ยี่ห้อ Barcadi ก็เริ่มที่นี่ แต่ตอนที่ปฏิวัติรอบที่ขับไล่คนสเปนออกไป ครอบครัว Barcadi ก็ต้องลี้ภัยออกไปด้วย เค้าว่ากันว่าหากอยากลองกิน Barcadi จริงๆ ต้องกิน Rum ท้องถิ่นยี่ห้อ Santiago De Cuba ค่ะ เพราะเป็นไร่ที่ Barcadi เคยปลูกและใช้สูตรเดียวกัน จึงออริจินอลมากที่สุด
คนที่นี่เค้าถือรัมเดินเล่นกับเพื่อนกันเป็นขวดๆเลยค่ะ นี่เราก็เดินเล่นอยู่ เค้าก็จะพยายามทักทายเรากัน เพราะเราอาจจะหน้าแปลก (ถามว่าน่ากลัวมั้ย เราเที่ยวมาค่อนข้างเยอะในระดับนึง เราจะมีคอมมอนเซ้นส์อยู่นะคะ แต่ก็ต้องระวังตัว) ที่นี่เค้าเฟรนด์ลี่จริงๆ เพราะคนที่ทัก มันเป็นระแวกบ้านคน เค้าเห็นเราเดินลงจากบ้าน เค้าก็ทักทาย เดินออกมา ก็เรียกเพื่อนบ้านมาดู มาทัก มาคุยด้วย เสียดายมากๆที่พูดภาษาสเปนไม่ได้ อย่างรูปนี้ ก็คือเค้าเข้ามาพยายามถามว่ามาจากไหน เราก็เลยถามเค้าว่า ยืมขวดมาถ่ายรูปหน่อย เค้าก็ถ่ายให้เรา เฮฮา ตื่นเต้นกันไป
บรรยากาศตามท้องถนน ชอบที่คนออกมาคุยกันมาก ไม่มีสังคมก้มหน้าหรือติดคอมติดมือถือเลย เด็กๆออกมาวิ่งเล่นกัน ทุกบ้านเปิดประตูมานั่งคุยกัน เล่นโดมิโน หมากรุก เตะบอลกันตามถนน สดชื่นมากๆค่ะ
ตลาดขายของฝาก มีกฏว่าต้องเป็นของที่ผลิตในคิวบาเท่านั้น งานส่วนใหญ่เลยเป็นงานทำมือ เป็นงานศิลปะหรืองานฝีมือเท่านั้น ดีมากเลย เพราะปกติไปที่ไหน พวกของฝากแบบพวงกุญแจหรือโมเดล เรารู้เลยว่าผลิตในจีน ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นงานไม้ ดูไม่โรงงานแบบที่อื่น
สำหรับอาหารเย็นวันนี้ได้ไปบาร์โปรดของนักเขียนชื่อดังอย่าง Ernest Hemingway ที่มาใช้ชีวิตที่ฮาวาน่าพักใหญ่ บาร์นี้ชัดเจนว่า ค่อนข้าง ทัวริสท์ และเป็นของรัฐ
ที่นี่ธุรกิจเกือบทั้งหมดจะเป็นของรัฐ มี president คนล่าสุดที่ยอมให้ ประชาชนขอใบประกอบธุรกิจได้ ซึ่งตอนนี้ก็หยุดให้ไปแล้ว ดังนั้น คนคิวบาเองจะพยายามบอกให้เรา อุดหนุนธุรกิจที่เป็นของประชาชนมากกว่าของรัฐ
สำหรับบาร์นี้นั้น เป็นต้นกำเนิดของค๊อกเทลที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Daiquiri ค่ะ
อาหารเป็นล๊อบสเตอร์ กุ้ง กับ ปลาดาบ อร่อยมากๆเลยนะคะ ราคา 22$ ซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับที่นี่ แต่ล๊อบสเตอร์แน่นมากกก เราโอเคเลยยยย
เดี๋ยวมาต่อของวันที่ 2 นะคะ ที่มีโอกาสได้นั่งรถคลาสสิคอเมริกันเปิดประทุนไปตามสถานที่สำคัญๆในฮาวาน่าค่ะ
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆค่ะ
ฝากเพจจะโดนว่ามั้ยเนี่ยยยยย ถ้าใครสงสัยอะไรก็เมสเสจมาได้เลยนะคะ
https://www.facebook.com/eatchillwander/