ชีวิตในมหาลัย ไม่ใช่ชีวิตที่ใครหลายๆคนเคยคิดไว้หรอก มีเรื่องให้คิดให้คอยกังวลใจอยู่มากมาย
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องรัก เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว เเละเรื่องอื่นๆที่จะคอยแวะเวียนเข้ามาอยู่เสมอ
แต่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ไม่ค่อยมีเวลาให้มานั่งจมทุกข์กุมขมับนักหรอก เพราะแค่เรียน แค่ทำงานทำโปรเจค ก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว อย่าว่าแต่จะไปเที่ยวไหนไกลๆเลยแค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังคิดเเล้วคิดอีก ว่าจะเอาเวลาที่รอให้เส้นสุกไปทำงานอื่นก่อนดีไหมนะ
ยิ่งด้วยความที่เป็นเด็กวิศวะด้วยแล้ว ที่วันๆได้แต่เอามือจับเมาส์ เอาหน้าเข้าจอ ทั้งเขียนโปรเเกรม ทั้งเขียนแบบ ทั้งเจาะ ทั้งตัด ทั้งตะไบ
นู้นก็จะเอา นี่ก็จะต้องส่ง อะ งานนี้เพิ่งเสร็จ อะงานใหม่มาอีกแล้ว มีงานมากพอจนถ้าเอามากองรวมๆกันแล้วไปเผาให้เป็นพลังงานไฟฟ้า
ประเทศไทยคงจะไม่ประสบกับปัญหาขาดแคลนพลังงานอีกเลย นี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเอางานที่มีตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ก็ปีสามแล้ว
เอามากองรวมกัน เอเวอเรสต์ก็เอเวอเรสต์เถอะ...
เป็นวิชาที่ดูสบายๆงานก็ไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรมากนักถ้าเทียบกับวิชาอื่นๆ แต่งานวิชานี้หัวใจหลักก็อยู่ในชื่อวิชาอยู่แล้วคือเราจะต้องเที่ยว.. แล้วก็เที่ยว เที่ยวแบบมีความรู้ เที่ยวแบบมีสไตล์จนไม่มีสตัง แล้วการที่เราจะต้องไปเที่ยวนั้น ก็หมายความว่าเราต้องมีเวลา
จนเมื่อได้มาเรียนคาบแรก พวกเราก็ได้รู้ถึงงานที่รออยู่ ยืนหยัดสูงตระหง่านระฟ้าพุ่งไปถึงดวงจันทร์
แล้วผมก็ได้ยินเสียงเเว๊วๆ ที่ลอดผ่านจากหลังมาถึงหูผม " ดรอปกันไหม" ผมอยากจะหันไปตอบคนๆนั้นในทันทีว่า "ไปด้วยย!!"
แต่ก็เหลือบไปเห็นงานชิ้นนึงที่ต้องทำโชว์อยู่ที่จอโปรเจคเตอร์ ...
เป็นคำง่ายๆที่ดูไม่มีอะไรแต่ทรงพลังเหลือเกิน เพราะงานนี้หากเราเลือกที่จะไปต่างประเทศ
ย้ำว่าทุนให้เปล่า!!! นั้นก็หมายความว่าเราจะได้เงินมา 3,500 มาฟรีๆโดยที่ไม่ต้องออกงบออกบิลอะไรกันทั้งนั้น
หัวสมองยังประมวลผลไม่เสร็จ รู้ตัวอีกทีผมกับเพื่อนๆก็จับปากกาเตรียมกรอกใบสมัครกันแล้วจะไปไหนน่ะหรอ
เราได้เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมือง เวลาประมาณ 6.00 น. เราจะเดินทางกันไปเวียดนาม(โฮจิมินห์)ด้วยสายการบิน Airasia ซึ่งตั๋วไปกลับนั้นเราได้มาด้วยราคา 2,607 บาทเท่านั้นน และเราก็ได้ขึ้นเครื่อง เดินทางมุ่งหน้าสู่
นครโฮจิมิน หรือ ชื่อเดิมว่า "ไซ่ง่อน"
ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางไปเวียดนาม(โฮจิมินห์) ประมาณ 2ชั่วโมง เมื่อมาถึงเราก็ได้ไปแลกเงินกันเล็กน้อย
(อัตราการแลกเปลี่ยนได้ดีกว่าที่ไทยแต่ได้น้อยกว่าข้างนอกสนามบินแต่ก็ต้องแลกเพราะแต่ละคนไม่มีเงินเวียดนามติดตัวกันซักคน )
ซึ่งได้มาเป็นล้านนนนนน เยอะมาก ซึ่งเรทที่เราได้มาก็ประมาณ 1 ดอง จะได้ 0.0015 บาท
***
หลังจากนี้ราคาเงินดองที่เราบอกไปตีเป็นเงินไทยจะเอาไปคูณกับ0.0015นะจ๊ะ***
หลังจากที่เรามีเงินแล้วเราก็ได้ไปซื้อซิมการ์ดเพื่อที่จะได้เปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาทางเข้าเมือง (เรียกได้ว่าไม่ได้เตรียมตัวมาเลย 555)
เราก็ได้ซื้อโปรเน็ต14วัน 8 GB ราคา 200,000 ดอง ซึ่งคิดว่าแพงไปจึงซื้อแค่คนเดียว ซึ่งแอบเห็นแม่ค้าก็แอบนินทาเป็นภาษาเวียดนาม
และทำสีหน้าแปลกๆใส่ (สงสัยเห็นเข้าไปตั้ง6คนแต่ซื้อแค่คนเดียว 555)
หลังจากนั้นเราก็ได้หาทางเข้าไปฟามงูเหลาเพื่อจองรถนอนไปดาลัดซึ่งเราได้เดินทางกันโดยรถบัส
ซึ่งราคาประมาน 20,000 ดอง
หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งรถชมเมืองไปเรื่อยๆ ได้เห็นการจราจรของเวียดนาม มีการใช้รถมอเตอร์ไซค์เยอะมากกกก และขับรถได้น่ากลัวสุดๆ
จะสังเกตได้ว่าทุกคนจะใส่หมวก และไม่มีตำรวจจราจรซักคน (ซึ่งงงเหมือนกันว่าทำไม)
เสียงแตรตังไปทั่วทั้งถนนจนน่ารำคาญ
(ถ้ามาบีบบ้านเราคนโดนดักกระทืบละ 555 )
ดูไปเรื่อยๆ จนเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อซิมการ์ดเพียงหนึ่งเดียวที่เราซื้อมาเกิดใช้งานไม่ได้ (ตายละวะคราวนี้จะไปต่อถูกไหมเนี่ย)
จนรถบัสมาจอด เค้าบอกให้เราเดินไปฟามงูเหลาเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่จอด
แต่ในเมื่อเราไม่มีอินเตอเน็ตแล้วเราจะไปต่อไงหละคราวนี้ ด้วยความสามารถของกลุ่มเรา เราจึง........
เดินตามฝรั่งที่ลงรถพร้อมเราเพราะคิดว่าเค้าต้องไปที่ฟามงูเหลาด้วยแน่ 555 และเซ้นของพวกเราก็ไม่พลาด
เพราะฝรั่งเค้าไปที่ฟามงูเหลาจริงๆทำให้เรารอดมาได้ 555 หลังจากนั้นเราก็ได้ไปหาซื้อซิมการ์ดก่อนเป็นอันดับเเรก
ซึ่งเราได้ซื้อใหม่ในราคา 200,000ดองเท่าเดิมแต่มี15GB OMG
จะใช้หมดไหมเนี่ยยยยยย
ซื้อคราวนี้พวกเราก็ไม่พลาดทีจะเช็คและลองใช้เพื่อทดสอบว่าใช้งานได้ไหม ซึ่งก็ใช้งานได้ หลังจากนั้นเราก็ได้ไปซื้อตั๋วรถนอนซึ่งเป็นของบริษัท Vietsea ซึ่งเราได้ซื้อตั๋วรถนอนไปดาลัด ในราคา 250,000 ดองต่อคน
หลังจากนั้นเราก็ได้ฝากกระเป๋าแล้วเดินทางเที่ยวต่อในเมือง โฮจิมินห์
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินหาร้านข้าวกิน ก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อหาร้านข้าวกิน ซึ่งก็เจอแต่แบบเป็นRestaurant ซึ่งเพื่อนบอกว่าเดี๋ยวไม่เข้าถึงบรรยายกาศเวียดนาม จึงหาร้านที่มีกลิ่นอายของเวียดนามอยู่ จึงได้มาพบกับร้านหนึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้าซอยหนึ่งเป็นร้านข้าวแกง
มีคนเวียดนามนั่งกินอยู่มากพอสมควร เราจึงไม่รอช้าเดินเข้าไปกินทันที
แต่แม่ค้าพูดภาอังกฤษไม่ได้ เราจึงใช้ภาษากายในการสั่ง (เรียกง่ายๆว่าชี้อย่างเดียว)ซึ่งอาหารที่ได้มาผิดบ้างถูกบ้างปนๆกันไป
และที่สังเกตเห็นอีกอย่างคือโต๊ะอาหารที่มีขนาดเตี้ย และเก้าอี้ที่บ้านเราใช้นั่งซักผ้า ก็คือที่นั่งกินอาหารของเค้านี่เอง
สงสัยพวกเราคงหิวมาก สั่งอาหารมาซะเต็มโต๊ะเชียว
ราคาก็ไม่แพง เพราะทั้งหมดตกประมาณคนละ 40,000 ดอง
หลังจากที่เราได้รับประทานเสร็จเราก็ได้เดินมุ่งหน้ากันต่อ ไปที่ war remnants museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ค่าเข้าอยู่ที่15,000 ดองเท่านั้น
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางกันไปต่อและได้มาหยุดถ่ายรูปตรงที่ independence palace ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากwar remnants museum
แต่เราไม่ได้เข้าไปข้างใน เพราะกลัวว่าจะเดินได้ไม่หมดในโฮจิมินห์
จึงได้เดินทางต่อไป ซึ่งเดินทะลุผ่านสวนสาธารณะใกล้ๆนั้น
ก็ได้มาเจอกับ Saigon Notre-Dame Basilica ซึ่งมีความสวยงามมากๆ
แต่เสียดาย ในวันที่เราไปเค้าไม่ได้เปิดให้เราเข้าชมด้านใน
หลังจากที่เราแวะถ่ายรูปกันซักพักเราก็ได้ ข้ามถนนไป ไปยัง Saigon Central Post Office ซึ่งเป็นเหมือนไปรษณีย์กลางของบ้านเรา
ซึ่งเราก็ได้ทดลองส่งโปสการ์ดมาหาอาจารย์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาถึงอาจารย์รึเปล่า ??
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางกันต่อ และได้หยุดแวะชิมอาหารชนิดหนึงของเวียดนาม ซึ่งก็อร่อยดี
ใครที่มาเวียดนามแล้วอย่าลืมลองมากินกันดู ซึ่งเราได้ถามแม่ค้าแล้วว่ามันมีชื่อว่า "บังแชรงงรึง"
(ซึ่งไม่รู้ว่าเราฟังเค้าผิดรึเปล่า 555)
ซึ่งราคาก็ไม่แพงเพียงแค่อันละ 10,000 ดอง
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินต่อไปเรื่อยๆมาพบกับ
saigon opera house
ซึ่งมีความสวยงามมากๆ
แต่เราก็ไม่ได้เข้าไปชมเพราะราคาเข้าแพงมากกกกกกกก เรียกได้ว่าชมครั้งนึงคงไม่ได้ไปเที่ยวต่อ
บริเวณรอบๆเสมือนได้อยู่ในยุโรป มองเห็นตึกมีไฟสวยๆงามๆทั้งนั้น ซึ่งจะแตกต่างกันมากกับย่านฟามงูเหลา
หลังจากนั้นเราก็เดินไปต่อ เจอลานกว้างใหญ่ๆ ก็จะมีผู้คนมากมายบริเวณนั้น และได้พบกับตึกของ Tony Stark
โอ้แม่+เจ้า มันเหมือนกันมากกกกก
หลังจากนั้นเราได้เดินต่อตามลานไปเรื่อยๆก็พบกับ The Cafe Apartment
เมื่อเดินมาสุดลาน ก็ได้พอกับ ho chi minh city hall ซึ่งตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟ ซึ่งสวยงามมากกก
ต่อไปเราเดินลัดเลาะตามซอย แวะถ่ายรูปเก๋ๆ ซักเล็กน้อย
และไปต่อกันที่ ตลาดเบ๊นถั่ญ ซึ่งตอนกลางคืนตลาดจะปิด แต่บริเวณรอบๆ จะมีการเปิดขายคล้ายๆถนนคนเดินซึ่งจะมีของให้เลือกซื้อมากมาย
หลังจากนั้นพวกราก็ตกลงกันว่าจะไปกินอาหารกัน โดยคงคอนเซปเดิม หาร้านที่มีกลิ่นอายของคนเวียดนาม
เดินไปเรื่อยๆก็มีเพื่อนมีถามว่า ไปกินส้มตำไหมทุกคนจึงตกลง เพราะว่าอยากจะลองกินส้มตำเวียดนามซะหน่อย .
พอสั่งไปก็พบว่า นี่มันไม่ใช่ร้านส้มตำนี่ มันคือร้าน ข้าวหมูย่าง ซึ่งหน้าร้านมีป้ายแบบนี้
แล้วเพื่อนคิดว่ามันคือร้านส้มตำ แต่จริงๆแล้วมันคือข้าวหมูย่างอันนี้
ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดที่อร่อยมาก ราคาก็ถูกมากๆแค่ 18,000 ดอง
เมื่อเราอิ่มแล้วก็ได้ไปรอรถที่จะไปดาลัด ซึ่งเมื่อถึงเวลาตอนแรกก็ตกใจมาก เพราะรถที่ได้ขึ้นเป็นรถตู้
(อ้าวเห้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา)
แต่รถตู้เเค่มาส่งเราแค่ชานเมืองแล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถบัสนอนต่อไปดาลัด ซึ่งเมื่อขึ้นมาสภาพภายในรถก็ดีมาก เป็นรถนอนเตียงสองชั้น แอร์เย็นสบาย
แต่เสียอย่างเดียวคือไม่มีที่เก็บกระเป๋าทำให้เราต้องนอนเบียดๆกับกระเป๋าบนเตียง ซึ่งหลังจากรถออกไฟก็เริ่มหรี่ลง
และทุกคนก็หลับเพราะความเหนื่อยล้าในวันแรก
5 วันระแวง เสียงแตรระวัง @Vietnam
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องรัก เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว เเละเรื่องอื่นๆที่จะคอยแวะเวียนเข้ามาอยู่เสมอ
แต่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ไม่ค่อยมีเวลาให้มานั่งจมทุกข์กุมขมับนักหรอก เพราะแค่เรียน แค่ทำงานทำโปรเจค ก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว อย่าว่าแต่จะไปเที่ยวไหนไกลๆเลยแค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังคิดเเล้วคิดอีก ว่าจะเอาเวลาที่รอให้เส้นสุกไปทำงานอื่นก่อนดีไหมนะ
ยิ่งด้วยความที่เป็นเด็กวิศวะด้วยแล้ว ที่วันๆได้แต่เอามือจับเมาส์ เอาหน้าเข้าจอ ทั้งเขียนโปรเเกรม ทั้งเขียนแบบ ทั้งเจาะ ทั้งตัด ทั้งตะไบ
นู้นก็จะเอา นี่ก็จะต้องส่ง อะ งานนี้เพิ่งเสร็จ อะงานใหม่มาอีกแล้ว มีงานมากพอจนถ้าเอามากองรวมๆกันแล้วไปเผาให้เป็นพลังงานไฟฟ้า
ประเทศไทยคงจะไม่ประสบกับปัญหาขาดแคลนพลังงานอีกเลย นี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเอางานที่มีตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ก็ปีสามแล้ว
เอามากองรวมกัน เอเวอเรสต์ก็เอเวอเรสต์เถอะ...
แต่เเล้วเราก็ได้มาลงเรียนวิชาเจนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
เป็นวิชาที่ดูสบายๆงานก็ไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรมากนักถ้าเทียบกับวิชาอื่นๆ แต่งานวิชานี้หัวใจหลักก็อยู่ในชื่อวิชาอยู่แล้วคือเราจะต้องเที่ยว.. แล้วก็เที่ยว เที่ยวแบบมีความรู้ เที่ยวแบบมีสไตล์จนไม่มีสตัง แล้วการที่เราจะต้องไปเที่ยวนั้น ก็หมายความว่าเราต้องมีเวลา
ซึ่งถ้าทุกคนได้อ่านบทความข้างต้นไปแล้วก็คงจะเข้าใจ ไม่สิ..ก็คงจะเห็นใจพวกเรา
จนเมื่อได้มาเรียนคาบแรก พวกเราก็ได้รู้ถึงงานที่รออยู่ ยืนหยัดสูงตระหง่านระฟ้าพุ่งไปถึงดวงจันทร์
แล้วผมก็ได้ยินเสียงเเว๊วๆ ที่ลอดผ่านจากหลังมาถึงหูผม " ดรอปกันไหม" ผมอยากจะหันไปตอบคนๆนั้นในทันทีว่า "ไปด้วยย!!"
แต่ก็เหลือบไปเห็นงานชิ้นนึงที่ต้องทำโชว์อยู่ที่จอโปรเจคเตอร์ ...
"Backpack Trip"
เป็นคำง่ายๆที่ดูไม่มีอะไรแต่ทรงพลังเหลือเกิน เพราะงานนี้หากเราเลือกที่จะไปต่างประเทศ
ทางวิชาก็จะมีทุนให้เปล่าให้คนล่ะ 3,500 บาท
ย้ำว่าทุนให้เปล่า!!! นั้นก็หมายความว่าเราจะได้เงินมา 3,500 มาฟรีๆโดยที่ไม่ต้องออกงบออกบิลอะไรกันทั้งนั้น
หัวสมองยังประมวลผลไม่เสร็จ รู้ตัวอีกทีผมกับเพื่อนๆก็จับปากกาเตรียมกรอกใบสมัครกันแล้วจะไปไหนน่ะหรอ
ก็ยังไม่รู้ รู้อย่างเดียว ของฟรี!!! เเต่แล้วก็มีเพื่อนคนนึงพูดขึ้นมาว่า
" ไปเวียดนามกันไหม?? "
และนี่แหละ ก็คือจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้
Day 1 : Bye Bye Thailand
เราได้เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมือง เวลาประมาณ 6.00 น. เราจะเดินทางกันไปเวียดนาม(โฮจิมินห์)ด้วยสายการบิน Airasia ซึ่งตั๋วไปกลับนั้นเราได้มาด้วยราคา 2,607 บาทเท่านั้นน และเราก็ได้ขึ้นเครื่อง เดินทางมุ่งหน้าสู่
ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางไปเวียดนาม(โฮจิมินห์) ประมาณ 2ชั่วโมง เมื่อมาถึงเราก็ได้ไปแลกเงินกันเล็กน้อย
(อัตราการแลกเปลี่ยนได้ดีกว่าที่ไทยแต่ได้น้อยกว่าข้างนอกสนามบินแต่ก็ต้องแลกเพราะแต่ละคนไม่มีเงินเวียดนามติดตัวกันซักคน )
ซึ่งได้มาเป็นล้านนนนนน เยอะมาก ซึ่งเรทที่เราได้มาก็ประมาณ 1 ดอง จะได้ 0.0015 บาท
***หลังจากนี้ราคาเงินดองที่เราบอกไปตีเป็นเงินไทยจะเอาไปคูณกับ0.0015นะจ๊ะ***
หลังจากที่เรามีเงินแล้วเราก็ได้ไปซื้อซิมการ์ดเพื่อที่จะได้เปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาทางเข้าเมือง (เรียกได้ว่าไม่ได้เตรียมตัวมาเลย 555)
เราก็ได้ซื้อโปรเน็ต14วัน 8 GB ราคา 200,000 ดอง ซึ่งคิดว่าแพงไปจึงซื้อแค่คนเดียว ซึ่งแอบเห็นแม่ค้าก็แอบนินทาเป็นภาษาเวียดนาม
และทำสีหน้าแปลกๆใส่ (สงสัยเห็นเข้าไปตั้ง6คนแต่ซื้อแค่คนเดียว 555)
หลังจากนั้นเราก็ได้หาทางเข้าไปฟามงูเหลาเพื่อจองรถนอนไปดาลัดซึ่งเราได้เดินทางกันโดยรถบัส
ซึ่งราคาประมาน 20,000 ดอง
หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งรถชมเมืองไปเรื่อยๆ ได้เห็นการจราจรของเวียดนาม มีการใช้รถมอเตอร์ไซค์เยอะมากกกก และขับรถได้น่ากลัวสุดๆ
จะสังเกตได้ว่าทุกคนจะใส่หมวก และไม่มีตำรวจจราจรซักคน (ซึ่งงงเหมือนกันว่าทำไม)
เสียงแตรตังไปทั่วทั้งถนนจนน่ารำคาญ
(ถ้ามาบีบบ้านเราคนโดนดักกระทืบละ 555 )
ดูไปเรื่อยๆ จนเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อซิมการ์ดเพียงหนึ่งเดียวที่เราซื้อมาเกิดใช้งานไม่ได้ (ตายละวะคราวนี้จะไปต่อถูกไหมเนี่ย)
จนรถบัสมาจอด เค้าบอกให้เราเดินไปฟามงูเหลาเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่จอด
แต่ในเมื่อเราไม่มีอินเตอเน็ตแล้วเราจะไปต่อไงหละคราวนี้ ด้วยความสามารถของกลุ่มเรา เราจึง........
เดินตามฝรั่งที่ลงรถพร้อมเราเพราะคิดว่าเค้าต้องไปที่ฟามงูเหลาด้วยแน่ 555 และเซ้นของพวกเราก็ไม่พลาด
เพราะฝรั่งเค้าไปที่ฟามงูเหลาจริงๆทำให้เรารอดมาได้ 555 หลังจากนั้นเราก็ได้ไปหาซื้อซิมการ์ดก่อนเป็นอันดับเเรก
ซึ่งเราได้ซื้อใหม่ในราคา 200,000ดองเท่าเดิมแต่มี15GB OMG
จะใช้หมดไหมเนี่ยยยยยย
ซื้อคราวนี้พวกเราก็ไม่พลาดทีจะเช็คและลองใช้เพื่อทดสอบว่าใช้งานได้ไหม ซึ่งก็ใช้งานได้ หลังจากนั้นเราก็ได้ไปซื้อตั๋วรถนอนซึ่งเป็นของบริษัท Vietsea ซึ่งเราได้ซื้อตั๋วรถนอนไปดาลัด ในราคา 250,000 ดองต่อคน
หลังจากนั้นเราก็ได้ฝากกระเป๋าแล้วเดินทางเที่ยวต่อในเมือง โฮจิมินห์
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินหาร้านข้าวกิน ก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อหาร้านข้าวกิน ซึ่งก็เจอแต่แบบเป็นRestaurant ซึ่งเพื่อนบอกว่าเดี๋ยวไม่เข้าถึงบรรยายกาศเวียดนาม จึงหาร้านที่มีกลิ่นอายของเวียดนามอยู่ จึงได้มาพบกับร้านหนึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้าซอยหนึ่งเป็นร้านข้าวแกง
มีคนเวียดนามนั่งกินอยู่มากพอสมควร เราจึงไม่รอช้าเดินเข้าไปกินทันที
แต่แม่ค้าพูดภาอังกฤษไม่ได้ เราจึงใช้ภาษากายในการสั่ง (เรียกง่ายๆว่าชี้อย่างเดียว)ซึ่งอาหารที่ได้มาผิดบ้างถูกบ้างปนๆกันไป
และที่สังเกตเห็นอีกอย่างคือโต๊ะอาหารที่มีขนาดเตี้ย และเก้าอี้ที่บ้านเราใช้นั่งซักผ้า ก็คือที่นั่งกินอาหารของเค้านี่เอง
สงสัยพวกเราคงหิวมาก สั่งอาหารมาซะเต็มโต๊ะเชียว
ราคาก็ไม่แพง เพราะทั้งหมดตกประมาณคนละ 40,000 ดอง
หลังจากที่เราได้รับประทานเสร็จเราก็ได้เดินมุ่งหน้ากันต่อ ไปที่ war remnants museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ค่าเข้าอยู่ที่15,000 ดองเท่านั้น
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางกันไปต่อและได้มาหยุดถ่ายรูปตรงที่ independence palace ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากwar remnants museum
แต่เราไม่ได้เข้าไปข้างใน เพราะกลัวว่าจะเดินได้ไม่หมดในโฮจิมินห์
จึงได้เดินทางต่อไป ซึ่งเดินทะลุผ่านสวนสาธารณะใกล้ๆนั้น
ก็ได้มาเจอกับ Saigon Notre-Dame Basilica ซึ่งมีความสวยงามมากๆ
แต่เสียดาย ในวันที่เราไปเค้าไม่ได้เปิดให้เราเข้าชมด้านใน
หลังจากที่เราแวะถ่ายรูปกันซักพักเราก็ได้ ข้ามถนนไป ไปยัง Saigon Central Post Office ซึ่งเป็นเหมือนไปรษณีย์กลางของบ้านเรา
ซึ่งเราก็ได้ทดลองส่งโปสการ์ดมาหาอาจารย์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาถึงอาจารย์รึเปล่า ??
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางกันต่อ และได้หยุดแวะชิมอาหารชนิดหนึงของเวียดนาม ซึ่งก็อร่อยดี
ใครที่มาเวียดนามแล้วอย่าลืมลองมากินกันดู ซึ่งเราได้ถามแม่ค้าแล้วว่ามันมีชื่อว่า "บังแชรงงรึง"
(ซึ่งไม่รู้ว่าเราฟังเค้าผิดรึเปล่า 555)
ซึ่งราคาก็ไม่แพงเพียงแค่อันละ 10,000 ดอง
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินต่อไปเรื่อยๆมาพบกับ
saigon opera house
ซึ่งมีความสวยงามมากๆ
แต่เราก็ไม่ได้เข้าไปชมเพราะราคาเข้าแพงมากกกกกกกก เรียกได้ว่าชมครั้งนึงคงไม่ได้ไปเที่ยวต่อ
บริเวณรอบๆเสมือนได้อยู่ในยุโรป มองเห็นตึกมีไฟสวยๆงามๆทั้งนั้น ซึ่งจะแตกต่างกันมากกับย่านฟามงูเหลา
หลังจากนั้นเราก็เดินไปต่อ เจอลานกว้างใหญ่ๆ ก็จะมีผู้คนมากมายบริเวณนั้น และได้พบกับตึกของ Tony Stark
โอ้แม่+เจ้า มันเหมือนกันมากกกกก
หลังจากนั้นเราได้เดินต่อตามลานไปเรื่อยๆก็พบกับ The Cafe Apartment
เมื่อเดินมาสุดลาน ก็ได้พอกับ ho chi minh city hall ซึ่งตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟ ซึ่งสวยงามมากกก
ต่อไปเราเดินลัดเลาะตามซอย แวะถ่ายรูปเก๋ๆ ซักเล็กน้อย
และไปต่อกันที่ ตลาดเบ๊นถั่ญ ซึ่งตอนกลางคืนตลาดจะปิด แต่บริเวณรอบๆ จะมีการเปิดขายคล้ายๆถนนคนเดินซึ่งจะมีของให้เลือกซื้อมากมาย
หลังจากนั้นพวกราก็ตกลงกันว่าจะไปกินอาหารกัน โดยคงคอนเซปเดิม หาร้านที่มีกลิ่นอายของคนเวียดนาม
เดินไปเรื่อยๆก็มีเพื่อนมีถามว่า ไปกินส้มตำไหมทุกคนจึงตกลง เพราะว่าอยากจะลองกินส้มตำเวียดนามซะหน่อย .
พอสั่งไปก็พบว่า นี่มันไม่ใช่ร้านส้มตำนี่ มันคือร้าน ข้าวหมูย่าง ซึ่งหน้าร้านมีป้ายแบบนี้
แล้วเพื่อนคิดว่ามันคือร้านส้มตำ แต่จริงๆแล้วมันคือข้าวหมูย่างอันนี้
ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดที่อร่อยมาก ราคาก็ถูกมากๆแค่ 18,000 ดอง
เมื่อเราอิ่มแล้วก็ได้ไปรอรถที่จะไปดาลัด ซึ่งเมื่อถึงเวลาตอนแรกก็ตกใจมาก เพราะรถที่ได้ขึ้นเป็นรถตู้
(อ้าวเห้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา)
แต่รถตู้เเค่มาส่งเราแค่ชานเมืองแล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถบัสนอนต่อไปดาลัด ซึ่งเมื่อขึ้นมาสภาพภายในรถก็ดีมาก เป็นรถนอนเตียงสองชั้น แอร์เย็นสบาย
แต่เสียอย่างเดียวคือไม่มีที่เก็บกระเป๋าทำให้เราต้องนอนเบียดๆกับกระเป๋าบนเตียง ซึ่งหลังจากรถออกไฟก็เริ่มหรี่ลง
และทุกคนก็หลับเพราะความเหนื่อยล้าในวันแรก