ก้าวใหม่ ของ มจร. ก้าวหน้าหรือก้าวหลังก็ไม่รู้
อา..ก็ไม่อยากวิจารณ์มาก เพราะเขาเพิ่งจะเริ่มเซ็นสัญญา ยังไม่ทันได้ทำอะไร จะไปติเรือทั้งโกลนมันก็เกินไป บางทีอาจจะมีเซอร์ไพรซ์อะไรก็ได้ ของอย่างนี้มันบ่แน่ดอกนาย โบราณว่า "คนล้มอย่าข้าม" แต่นี่ยังมิทันล้มจะถล่มกันแล้ว มันก็หมิ่นศักดิ์ศรี มจร. กันเกินไป จริงไหมครับ ท่านเจ้าคุณประยูร-ท่านประสาร ?
แต่..แต่ลองมองตามเนื้อผ้าแล้ว หลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งฝ่าย มจร. ก็ล้วนแต่เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเต็มตัว ไล่ตั้งแต่ กรณีตั้งสมเด็จพระสังฆราชผ่าน มส. กรณีตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมทั้งการที่ "พระพรหมบัณฑิต" อธิการบดี มจร. ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง "กรรมการมหาเถรสมาคม" แต่ก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งอยู่นาน ภาพลักษณ์ของ มส. ก็สาละวันเตี้ยลงไปตาทุกที แล้วนี่ยังจะไปช่วยงานการเมืองอีก แค่เรื่องศาสนาวัดวาอารามก็อ่วมอรทัยแบบไปไม่ถูกแล้ว
การที่ มจร. ร่วมทำเอ็มโอยู กับ กกต. นั้น มองแล้วมีทั้งมุมดีและมุมเสีย มุมดีก็คือว่า ถ้าทำได้ ก็จะสามารถนำเอาหลักธรรมคำสอนทางพระศาสนา และวิชาการในทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยแห่งนี้ เข้าไปมีบทบาทช่วยชาติได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ มันก็จะกลายเป็นบูมเมอแรงเหวี่ยงกลับมาหา มจร. อย่างน่ากลัว น่ากลัวว่าจะเสียหายย่อยยับ อาจจะถึงกับ "ล้มละลาย" ทางวิชาการ ไปเลย เพราะกลเกมการเมืองเรื่องผลประโยชน์นั้น มันลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนและยุ่งเหยิง ยิ่งกว่าเรื่องศาสนาวัดวาอาราม ถ้าหากไม่ชำนิชำนาญจริงๆ แล้ว ก็น่ากลัวว่ามีดจะบาดมือ เพราะอย่าลืมว่า นักการเมืองคือคนที่ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจ ทำได้แม้กระทั่ง..หลอกพระ น่ากลัวกว่าผีเลยล่ะฮ่ะ !
เมื่อ กกต. หันหน้าพึ่งพระ จะสมหวังหรือไม่ ?
เซ็นสัญญาทางวิชาการ
ถามว่า การเมืองมีวิชาการด้วยหรือ ?
เจ้าคุณประยูร-เจ้าคุณประสาร
สองผู้นำทางวิชาการการเมืองไทยใน พ.ศ. นี้
เมื่อการเมืองไทยอยู่ภายใต้การสอนของ มจร.
พระพรหมบัณฑิต ราชบัณฑิต
ติดเรื่องเดียว ช่วยสมเด็จช่วงเป็นสังฆราชไม่ได้
หมายถึงว่า มจร. พ่ายทางการเมืองเรื่องอำนาจในวัด
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ไม่ลองหรือจะรู้ ?
"รวมผลงานวิชาการการเมือง ที่อาตมาวิจัยมานานกว่า 4 ปี ลุยมาแล้วทุกสนาม ตั้งแต่สนามหลวงยันพุทธมณฑล รับรองว่าทันสมัยโดยไม่ต้องใช้ยันต์เจ้าคุณธงชัย"
และต่อไปนี้ คือรวมผลงานวิชาการการเมือง ของเจ้าคุณประสาร
จะปลดล็อกการเมืองได้ ก็ต้อง "ล็อกคอทหาร" เอาไว้
โปรดใช้วิชาการของ มจร. ตามตำราเจ้าคุณประสาร
รับรองว่าประชาธิปไตยจะ..ไปโลด !
กกต.เซ็น MOU มจร.เผยแพร่ประชาธิปไตย หวังทำเลือกตั้งศักดิ์สิทธิ์ ชูใช้ศาสนาละลายสี
กกต. ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สร้างพลเมืองดี เผยแพร่ความรู้ประชาธิปไตย พระพรหมบัณฑิตชี้ การร่วมมือหวังทำเลือกตั้งมีความศักดิ์สิทธิ์ ด้าน รองอธิการบดี มจร. ชูกิจกรรมทางศาสนาทำความแบ่งแยกสีหมด
วันนี้ (6 พ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กกต. และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) โดย นายประวิช รัตนเพียร กกต. ด้านการมีส่วนร่วม พร้อมด้วยพระพรหมบัณฑิต อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และผู้บริหารทั้ง 2 องค์กร ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
นายประวิช กล่าวว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการสร้างพลเมืองดีและขยายเครือข่าย โดย กกต. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสื่อบุคคลที่จะเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และการสร้างพลเมืองดีวิถีประชาธิปไตย
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีเครือข่ายและนักศึกษาอยู่ทั่วประเทศ โดยมีสหวิทยาเขต จำนวน 27 แห่ง และสหวิทยาเขตในแต่ละพื้นที่มีพระสงฆ์ทำหน้าที่สอนวิชาพระพุทธศาสนาในระดับชั้นมัธยมศึกษา จำนวน 17,000 รูป ซึ่งนับเป็นการสร้างเครือข่ายในเชิงวิชาการ โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จะเป็นหน่วยงานที่กำหนดเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับวิชาพระพุทธศาสนา เช่น การซื้อสิทธิขายเสียงไม่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา หรือการสร้างพลเมืองดีวิถีประชาธิปไตย เป็นต้นส่วนสำนักงาน กกต. จะเป็นหน่วยงานดำเนินการจัดทำคู่มือการเรียนการสอน และจัดอบรมถ่ายทอดเนื้อหาหลักสูตรดังกล่าวให้กับผู้สอน
ขณะที่ พระพรหมบัณฑิต เทศนาตอนหนึ่งว่า กกต. เห็นว่า พระสงฆ์มีความสำคัญในการรณรงค์การใช้สิทธิเลือกตั้ง จึงได้มีการร่วมมือกันในครั้งนี้ เพื่อทำให้การเลือกตั้งมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น สามารถใช้สิทธิได้อย่างถูกต้อง ทำให้เกิดสำนึก โดยจะต้องมีความร่วมมือกันทุกภาคส่วน โดยจะเกิดสำนึกได้จะต้องมีทั้ง 1. จะต้องมีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ รักประเทศ และรักประชาธิปไตย 2. มีจริยธรรม ทั้งทางกาย วาจา เพื่อความดีงามของสังคม
รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดี มจร. กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้เป็นการปลูกจิตสำนึกที่จะช่วยงาน กกต. โดยทาง มจร. อาจจะมีการทำหลักสูตรที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการมีส่วนร่วม ซึ่งหากมีการทำหลักสูตรสำเร็จจะมีการอบรมในแต่ละภูมิภาค และจะมีการบรรจุหลักสูตรใน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งเชื่อว่าหลักสูตรที่เกี่ยวกับศาสนาประชาชนน่าจะให้การตอบรับได้ดี เพราะศาสนาจะทำให้คนกลมเกลียวกันง่าย เห็นได้จากพรรคการเมืองที่ต่างสี มีความแตกต่างกัน แต่เมื่อได้มีการทำกิจกรรมทางศาสนาความแบ่งแยกในเรื่องต่างๆ ก็จะหมดไป ซึ่งทางเรายินดีดำเนินการให้ทันกับการเลือกตั้งช่วงนี้ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ทั้งนี้ ยืนยันว่า หลักสูตรดังกล่าวจะไม่มีการแตะเรื่องการเมือง
ที่มา : ผู้จัดการ-เฟสบุ๊คเจ้าคุณประสาร : 8 พฤศจิกายน 2560
ขอบคุณ
http://www.alittlebuddha.com/
กกต. เซ็นเอ็มโอยู มจร. ! เผยแพร่ประชาธิปไตย ใช้ศาสนานำการเมือง เจ้าคุณประสารแจม !
อา..ก็ไม่อยากวิจารณ์มาก เพราะเขาเพิ่งจะเริ่มเซ็นสัญญา ยังไม่ทันได้ทำอะไร จะไปติเรือทั้งโกลนมันก็เกินไป บางทีอาจจะมีเซอร์ไพรซ์อะไรก็ได้ ของอย่างนี้มันบ่แน่ดอกนาย โบราณว่า "คนล้มอย่าข้าม" แต่นี่ยังมิทันล้มจะถล่มกันแล้ว มันก็หมิ่นศักดิ์ศรี มจร. กันเกินไป จริงไหมครับ ท่านเจ้าคุณประยูร-ท่านประสาร ?
แต่..แต่ลองมองตามเนื้อผ้าแล้ว หลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งฝ่าย มจร. ก็ล้วนแต่เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเต็มตัว ไล่ตั้งแต่ กรณีตั้งสมเด็จพระสังฆราชผ่าน มส. กรณีตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมทั้งการที่ "พระพรหมบัณฑิต" อธิการบดี มจร. ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง "กรรมการมหาเถรสมาคม" แต่ก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งอยู่นาน ภาพลักษณ์ของ มส. ก็สาละวันเตี้ยลงไปตาทุกที แล้วนี่ยังจะไปช่วยงานการเมืองอีก แค่เรื่องศาสนาวัดวาอารามก็อ่วมอรทัยแบบไปไม่ถูกแล้ว
การที่ มจร. ร่วมทำเอ็มโอยู กับ กกต. นั้น มองแล้วมีทั้งมุมดีและมุมเสีย มุมดีก็คือว่า ถ้าทำได้ ก็จะสามารถนำเอาหลักธรรมคำสอนทางพระศาสนา และวิชาการในทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยแห่งนี้ เข้าไปมีบทบาทช่วยชาติได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ มันก็จะกลายเป็นบูมเมอแรงเหวี่ยงกลับมาหา มจร. อย่างน่ากลัว น่ากลัวว่าจะเสียหายย่อยยับ อาจจะถึงกับ "ล้มละลาย" ทางวิชาการ ไปเลย เพราะกลเกมการเมืองเรื่องผลประโยชน์นั้น มันลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนและยุ่งเหยิง ยิ่งกว่าเรื่องศาสนาวัดวาอาราม ถ้าหากไม่ชำนิชำนาญจริงๆ แล้ว ก็น่ากลัวว่ามีดจะบาดมือ เพราะอย่าลืมว่า นักการเมืองคือคนที่ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจ ทำได้แม้กระทั่ง..หลอกพระ น่ากลัวกว่าผีเลยล่ะฮ่ะ !
เมื่อ กกต. หันหน้าพึ่งพระ จะสมหวังหรือไม่ ?
ถามว่า การเมืองมีวิชาการด้วยหรือ ?
เมื่อการเมืองไทยอยู่ภายใต้การสอนของ มจร.
หมายถึงว่า มจร. พ่ายทางการเมืองเรื่องอำนาจในวัด
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ไม่ลองหรือจะรู้ ?
"รวมผลงานวิชาการการเมือง ที่อาตมาวิจัยมานานกว่า 4 ปี ลุยมาแล้วทุกสนาม ตั้งแต่สนามหลวงยันพุทธมณฑล รับรองว่าทันสมัยโดยไม่ต้องใช้ยันต์เจ้าคุณธงชัย"
และต่อไปนี้ คือรวมผลงานวิชาการการเมือง ของเจ้าคุณประสาร
จะปลดล็อกการเมืองได้ ก็ต้อง "ล็อกคอทหาร" เอาไว้
โปรดใช้วิชาการของ มจร. ตามตำราเจ้าคุณประสาร
รับรองว่าประชาธิปไตยจะ..ไปโลด !
กกต.เซ็น MOU มจร.เผยแพร่ประชาธิปไตย หวังทำเลือกตั้งศักดิ์สิทธิ์ ชูใช้ศาสนาละลายสี
กกต. ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สร้างพลเมืองดี เผยแพร่ความรู้ประชาธิปไตย พระพรหมบัณฑิตชี้ การร่วมมือหวังทำเลือกตั้งมีความศักดิ์สิทธิ์ ด้าน รองอธิการบดี มจร. ชูกิจกรรมทางศาสนาทำความแบ่งแยกสีหมด
วันนี้ (6 พ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กกต. และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) โดย นายประวิช รัตนเพียร กกต. ด้านการมีส่วนร่วม พร้อมด้วยพระพรหมบัณฑิต อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และผู้บริหารทั้ง 2 องค์กร ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
นายประวิช กล่าวว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการสร้างพลเมืองดีและขยายเครือข่าย โดย กกต. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสื่อบุคคลที่จะเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และการสร้างพลเมืองดีวิถีประชาธิปไตย
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีเครือข่ายและนักศึกษาอยู่ทั่วประเทศ โดยมีสหวิทยาเขต จำนวน 27 แห่ง และสหวิทยาเขตในแต่ละพื้นที่มีพระสงฆ์ทำหน้าที่สอนวิชาพระพุทธศาสนาในระดับชั้นมัธยมศึกษา จำนวน 17,000 รูป ซึ่งนับเป็นการสร้างเครือข่ายในเชิงวิชาการ โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จะเป็นหน่วยงานที่กำหนดเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับวิชาพระพุทธศาสนา เช่น การซื้อสิทธิขายเสียงไม่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา หรือการสร้างพลเมืองดีวิถีประชาธิปไตย เป็นต้นส่วนสำนักงาน กกต. จะเป็นหน่วยงานดำเนินการจัดทำคู่มือการเรียนการสอน และจัดอบรมถ่ายทอดเนื้อหาหลักสูตรดังกล่าวให้กับผู้สอน
ขณะที่ พระพรหมบัณฑิต เทศนาตอนหนึ่งว่า กกต. เห็นว่า พระสงฆ์มีความสำคัญในการรณรงค์การใช้สิทธิเลือกตั้ง จึงได้มีการร่วมมือกันในครั้งนี้ เพื่อทำให้การเลือกตั้งมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น สามารถใช้สิทธิได้อย่างถูกต้อง ทำให้เกิดสำนึก โดยจะต้องมีความร่วมมือกันทุกภาคส่วน โดยจะเกิดสำนึกได้จะต้องมีทั้ง 1. จะต้องมีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ รักประเทศ และรักประชาธิปไตย 2. มีจริยธรรม ทั้งทางกาย วาจา เพื่อความดีงามของสังคม
รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดี มจร. กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้เป็นการปลูกจิตสำนึกที่จะช่วยงาน กกต. โดยทาง มจร. อาจจะมีการทำหลักสูตรที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการมีส่วนร่วม ซึ่งหากมีการทำหลักสูตรสำเร็จจะมีการอบรมในแต่ละภูมิภาค และจะมีการบรรจุหลักสูตรใน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งเชื่อว่าหลักสูตรที่เกี่ยวกับศาสนาประชาชนน่าจะให้การตอบรับได้ดี เพราะศาสนาจะทำให้คนกลมเกลียวกันง่าย เห็นได้จากพรรคการเมืองที่ต่างสี มีความแตกต่างกัน แต่เมื่อได้มีการทำกิจกรรมทางศาสนาความแบ่งแยกในเรื่องต่างๆ ก็จะหมดไป ซึ่งทางเรายินดีดำเนินการให้ทันกับการเลือกตั้งช่วงนี้ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ทั้งนี้ ยืนยันว่า หลักสูตรดังกล่าวจะไม่มีการแตะเรื่องการเมือง
ที่มา : ผู้จัดการ-เฟสบุ๊คเจ้าคุณประสาร : 8 พฤศจิกายน 2560
ขอบคุณ http://www.alittlebuddha.com/