มันไม่เคยมีโคมไฟบ้านี้บนท้องฟ้าเมืองพิงค์ ในคืนลอยกระทงก่อนปี '98 หรือ พ.ศ.2541 เลยครับ

ประวัติโคมลอยไฟบ้า โดย Sornsak Ott Ekkarattana

เรื่องที่ผมเสียใจมากๆและเพื่อนๆที่ร้านด่าผมมากคือเรื่องลอยโคมไฟนี้ครับ เป็นเรื่องจริงที่ต้องเล่าเพื่อแก้ไข
เพื่อทำความจริงให้กระจ่าง แม้บางคนอาจซ้ำเติม ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะบานปลายไปกันใหญ่ขนาดนี้ล่ะครับ

คือตัวผมเองนั้นก็นับใด้ว่าเป็นคนสูงอายุคนเมืองเชียงใหม่แท้ โตมากับประเพณียี่เป็ง เห็นมาตั้งแต่รอบนอกเมืองเชียงใหม่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ก็เห็นมีแต่แห่ขบวนประกวดกระทงและมีนางนพมาศนั่ง แล้วริมน้ำทุกแห่งโดยเฉพาะริมแม่น้ำปิงจะมีคนมาลอยกระทงกันเนืองแน่นเช่นเชิงสะพานนวรัฐและหน้าที่ทำการเทศบาล ท่าน้ำหลังวัดต่างๆ ในน้ำจะเต็มไปด้วยกระทงจุดเทียนไขไหลรวมๆกัน ลอยล่องส่องสว่างมองดูเหมือนแม่น้ำไฟ สวยงามติดตาครับท้องฟ้าว่างเปล่ามีเพียงพระจันทร์สวยเด่นเต็มดวง

แล้วคืนหนึ่งในปี'98 หรือ พ.ศ.2541 ยุคนั้นถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพยังปล่อยให้คนขับรถขึ้นไปชมวิวแสงไฟของตัวเมืองยามราตรีมองลงมาสวยงามดีครับ หนุ่มสาวต่างพากันขับรถขึ้นไปเป็นกลุ่มๆ บ้างไปดึ่มเหล้าร้องเพลงเล่นดนตรี บ้างพลอดรักกันตามสุมทุมพุ่มไม้ สนุกกันบนนั้นยันสว่าง

เช้าขึ้นมาถุงยางอนามัยและขยะจากขี้เมากลาดเกลื่อนดอย สมควรแล้วที่ต่อมาทางการเขาห้ามขึ้นดอยกลางคืนไปเลย
คืนนั้นผมขึ้นไปนั่งดูดดึ่มกับเพื่อนๆ แล้วเหลือบมองบนท้องฟ้าด้านวัดพระธาตุดอยสุเทพ ผมเห็นดวงไฟประหลาดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นระลอก สวยงามมากมีฉากหลังเป็นพระจันทร์เต็มดวง ผมกำลังมึนๆ ใด้แต่อุทานว่า โอสวยแฮะ

อยากรู้ขึ้นมาทันใด จึงรีบขับรถขึ้นไปวัดพระธาตุฯแล้วเดินขึ้นบันไดนาคแทบตายแต่ก็สมหวังเพราะเจอคนแก่สองสามคนกำลังจุดไฟปล่อยเจ้าโคมไฟนี้ขึ้นสู่ฟ้า ตรงลานชมวิวของวัด ผมถามเขาว่านี่เรียกว่าอะไรครับ แกบอกว่า "ว่าวไฟ" ผมบอกว่าไม่เคยเห็นเลย จุดทำไม?
ดูเหมือนเขาจะตอบว่าจุดไปไหว้พระจุฬามณีอะไรนี่แหละ ก็ไม่แน่ใจครับและผมไม่ใด้สนใจตรงนั้นหรอกจึงไม่อยากจำ แต่ผมสนใจเพราะว่าผมทำร้านอาหารริมน้ำปิงและมองว่าอันนี้จะเป็น gimmick ไว้ให้ลูกค้าตื่นตาคืนลอยกระทงที่กำลังจะมาถึง จึงถามว่าเอามาจากไหน ก็ใด้ความว่าที่บ้านบ่อสร้างมีสะหล่า(ช่าง)ทำว่าวและทำดอกไม้ไฟโคมไฟต่างๆเขารับทำ รุ่งขึ้นผมจึงรีบไปตามหาแล้วสั่งทำห้าสิบลูก รู้มั้ยครับ คุณลุงคนทำแกไม่เชื่อว่าจะสั่งเยอะขนาดนั้นผมต้องชำระเงินล่วงหน้า (เดี๋ยวนี้แกร่ำรวยมากเพราะมีคนสั่งทำมากมายเป็นพันๆลูกมั้ง)
เมื่อใด้มาแล้วคืนลอยกระทงของปีนั้นผมก็มาจุดปล่อยขึ้นสู่ฟ้าที่ท่าน้ำหลังร้านทุกๆครึ่งชั่วโมง ผลคือใด้รับความสนใจจากคนทั้งในร้านและรอบคุ้งน้ำ มาขอช่วยปล่อยและถ่ายรูปกันครับ จำใด้ว่ามันลอยโดดเดี่ยวขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่ามีแต่พระจันทร์

ปีนั้นโน๊ตอุดมมาแวะเที่ยวและช่วยปล่อยขึ้นฟ้า โน๊ตถามผมว่าเขาเรียกอะไรครับ ผมยังบอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ก็มั่วว่าปล่อยลอยทุกข์ลอยเคราะห์ แหะๆ ก็พึ่งเคยเห็นเหมือนกันนี่นา แล้วผมก็ทำแบบนี้ในคืนลอยกระทงปีต่อๆมาครับ แต่เพียงสองสามปีผ่านไป ตามแผงขายกระทงริมถนนจะมีเจ้าโคมไฟนี้วางขายกันพรึบทุกแผงท้องฟ้าเริ่มเต็มไปด้วยโคมไฟ เกิดเรื่องไฟไหม้ร้านค้าในกาดหลวง และบ้านเรือนเพราะโคมไฟหล่นใส่ ซ้ำธุดงค์สถานของธรรมกายที่แม่โจ้ปล่อยสู่ฟ้าเป็นหมึ่นๆลูกอีก บ้าจริงๆไฟก็ไหม้บ้านชาวบ้านมากขึ้น ในร้านผมเองก็มีโคมไฟนี้ลอยมาติดยอดต้นฉำฉาริมร้าน กิ่งก้านติดติดไฟอยู่สูงกว่าจะดับใด้ก็โกลาหลมากครับ เราจึงห้ามนำมาจุดในร้านและไม่ส่งเสริมอีกเลย

ผลที่ตามมาในด้านธุรกิจนั้นแย่มากครับ เพราะก่อนจะมีโคมไฟลอยฟ้านี้ จุดศูนย์กลางของเทศกาลลอยกระทงเคยอยู่ที่ริมแม่น้ำกลับคลายความสำคัญลงโต๊ะริมน้ำของร้านที่เคยมีคนมานั่งจับจองตั้งแต่แดดยังไม่ลับฟ้า กลับไม่เป็นเช่นนั้นแม้โต๊ะริมน้ำจะยังเต็ม แต่ความกระตือรือร้นของลูกค้าที่จะมาลอยและชมกระทงริมน้ำนั้นลดลงไปพร้อมๆกับกระทงในน้ำที่บางตาไปเรื่อยๆทุกปี หากเทียบกับบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยโคมไฟ เพราะมันลอยขึ้นใด้จากทุกๆที่ของเมือง มันไม่ต้องการแม่น้ำ!!!


ที่แย่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมใด้ยินวิทยุเขาสัมภาษณ์ท่านผู้รู้ชาวล้านนาคนหนึ่ง แกบอกว่านี่เป็นประเพณีลอยกระทงดั้งเดิมของเชียงใหม่!!@!!
แล้วทุกภาคส่วนล้วนช่วยกันประชาสัมพันธ์เผยแพร่กันไปทั่วเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
ผมและคุณโน๊ต อุดม แต้พานิช คงยืนยันใด้เลยว่ามันไม่เคยมีโคมไฟบ้านี้บนท้องฟ้าเมืองพิงค์ในคืนลอยกระทงก่อนปี'98 หรือ พ.ศ.2541เลยครับ

ที่เล่ามานี้เพียงอยากจะบอกเพื่อนๆว่าโคมไฟลอยนี้มันมีอยู่แล้วจริง แต่เพื่อใช้ในการอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับงานยี่เป็งหรือลอยกระทงเลย
อย่ามั่ว...ผมและคนเชียงใหม่ทั่วไปก็ไม่เคยรู้จักมันมาก่อนครับ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่