การเก็บเงินในรูปแบบผ่อนชำระอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโด บ้าน และที่ดิน ทำไม่ถึงกลัวกัน

การเก็บเงินในรูปแบบผ่อนชำระอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโด บ้าน และที่ดิน ทำไม่ถึงกลัวกัน

      หมายเหตุ  ที่ตั้งกระทู้นี้ ก็คืออวด  เพราะเห็นว่าคนไปลงทะเบียนคนจน ทั้ง 14 ล้านคน แล้วได้บัตร 12 ล้านคนถือว่าเป็นเปอรเช็นตรที่มากจริงๆ ของคนที่ลำบากสำหรับผม  จึงอยากกระตุ้นคนรุ่นหลัง  ให้เตรียมตัวไว้ก่อนอย่าให้เป็นเช่นนี้มากเลย ซึ่งผมทำได้ก็เพียงกระตุ้นคนรุ่นหลังเท่านั้น แต่ก็อายเหมือนกัน เพราะมีคนที่รวยอยู่เยอะที่ทำได้ ดีกว่าผมมากๆ  ผมก็แค่คนที่ไม่รวยแต่ไม่จนเท่านั้นเอง  ที่อยากกระตุ้นคนรุ่นหลังอย่าได้จนเลย จึงเสนอแนวทางหนึ่งของประสบการณ์จริง ซึ่งความจริงแล้วมีหลายแนวทาง ของมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ระดับล่างหรือกลางๆ ทำได้
  
        เข้าเรื่อง.... ที่กลัวกันคือ กลัวความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน กลัวว่าเกิดตกงาน แล้วไม่สามารถผ่อนได้ นั้นเอง เพราะมูลค่ามันสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้เงินเดือนระดับล่างหรือกลางๆ.

         แต่สำหรับผมไม่คิดอย่างนั้น คือคิดว่าเมื่อไม่ไหวก็ขาย แม้เหลือ 0 บาทก็ถือว่าได้อยู่ ถ้าเหลือมาเล็กน้อยไม่กี่พันหรือหมื่นบาทถือว่ากำไร เอาไปลงทุนค้าขายเล็กๆ น้อยต่อชีวิตได้ยามตกอับ.

          ด้วยความคิดนี้แหละผมและภรรยาจึงกล้าชื้อผ่อนดาว คอนโด ราคาถูก แม้ตนเองจะยากจนจริงๆ พึ่งมีเงินเดือนน้อยๆ กัน และต้องอาศัยเขาอยู่ฟรี ในระยะเริ่มต้นใหม่ หลังจากล้มระเนระนาดมาแล้วก่อนหน้านั้น คือไม่พอกินนั้นเองแต่อดทนและทนอด เริ่มจาก 0 ก็กัดฟันเจียดเงินผ่อน แม้ยังไม่ได้อยู่ก็ตาม  ผมผ่อนจนเกือบหมดดาว ผมและภรรยา+ลูกต้องจำเป็นแยกกันอยู่ด้วยหน้าที่การงานอีกครั้ง จำต้องขายดาวคอนโด ในราคาเสมอตัว ก็ขาดทุนค่าเดือนทางไปจ่ายค่างวดดาวทุกเดือนที่สำนักงานที่ไกลมาก นั่งรถเมลหลายต่อ.
    
          แต่นั้นแหละที่เป็นเงินเก็บก้อนแรกในชีวิตครอบครัว 9 หมื่นบาท ที่ต่อยอดเป็นเงินดาวบ้านทาวเฮ้าส์ ชั้นเดียว 21 ตรว ราคาแพงกว่าคอนโดเกือบ 2 เท่า. อีกปีกว่าเมื่อครอบครัวมารวมกันอยู่ด้วยกัน และเงินก้อนนั้นแหละที่ผมเอาซื้อคอมพิวเตอร์ที่ประกอบขึ้นเองของช่าง เพื่อหัดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั้งที่ผมไม่เคยเรียนมาก่อนในมหาลัย ยอมอยู่อย่างลำบากและไม่มีเงินเก็บ แต่ก็พอมีความสุขเพราะไม่ขัดสนจากมีเงินเดือนประจำ.

        ไม่ใช่ว่าผมไม่เกิดวิกฤตนะ  ผมก็เกิดวิกฤตอย่างที่ท่านทั้งหลายกลัวกัน คือการถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันตามนโยบายของเจ้าของบริษัท  ที่พนักงานใหม่ไม่รู้และคิดไปไม่ถึง และในเวลานั้นกฏหมายแรงงานก็ยังไม่คุ่มครอง จะรู้ก็ตอนที่สั่งให้ออกโดยกะทันหัน ทั้งที่ได้เห็นพนักงานคนเก่าทยอยโดนไล่ออกเช่นเดียวกันมาตามลำดับ แต่ผมไม่ได้เอะใจอะไรเลย  และผมยังแย่กว่าบุคคลอื่นคือการที่จะไปหางานใหม่ได้ของผมแทบเป็น 0 เพราะยังติดเรื่องสัญชาติอยู่(ปัจจุบันปัญหานี้ได้จบไปแล้ว)
          ผมแทบเป็นลมหน้าซีดเผือกทันที  เพราะลูกยังเล็กทั้งค่าเลี้ยงดู ค่าเช้าห้องพักค่าดาวบ้านที่ยังไม่ได้อยู่ ภรรยาเงินเดือนไม่พอจ่ายแน่นอน คืออาจต้องล้มทั้งครอบครัว  เหมือนที่เคยล้มมาก่อนตอนแต่งงานกันใหม่ๆ  นึกถึงสะภาพนั้นแล้วเข่าผมแทบทรุด ดีที่เจริญสติมาอย่างดีจึงยืนอยู่ได้ แต่สับสนทุกข์หนักอยู่วัน 2 วัน
          ดีที่ผมมีประสบการณ์ในการทำงาน และเพื่อนเก่าที่โดนไล่ออกไปเช่นเดียวกันได้แอบแวะมาหาและให้เบอร์โทรกลับไว้ และเตือนให้ระวังตัวแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจในตอนนั้น  เมื่อผมมืดมนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงโทรไปหา ผมจึงได้งานใหม่ทันทีจากนั้น.

         ด้วยผมถือวินัยอีกข้อหนึ่งคือ มีวินัยในการผ่อนชำระหนี้ พอสิ้นเดือนหรือต้นเดือนเงินเดือนทั้งหมดเอามาจ่ายชำระหนี้ตามงวดและค่าใช้จ่ายประจำรายเดือนเช่นค่าเลี้ยงลูก ค่านม ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ เหลือเท่าใดก็กินจ่ายให้พอเท่านั้น ไม่กู้เงินสดมากินมาเที่ยวอย่างเด็ดขาด แม้เงินแทบไม่พอในเดือนนั้นๆ ก็พยายามให้พอ  ผมจึงไม่เคยผิดนัดในการผ่อนชำระหนี้แม้แต่เดือนเดียว จนถึงปัจจุบัน

          เมื่อเป็นอย่างนั้นพอผมตั้งตัวได้ในหน้าที่การงานของมนุษย์เงินเดือนในอีก 6 - 7 ปีต่อมา แต่เห็นเงินของพ่อแม่ที่ท่านเก็บไว้ในธนาคารเป็นล้านจนเกือบสองล้านในยามแก่ของท่าน   เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วถือว่าท่านเป็นเศรษฐีเงินล้านเลยที่เดียว แต่นี้เพียงผ่านมาถึงปี พ.ศ. 2538 เท่านั้นทำไมมูลค่ามันลดลงมากเลยที่เดียว ดอกเบี้ยที่ท่านได้ก็น้อยลงเรื่อยๆ  ผมเห็นว่าเก็บเงินเข้าธนาคารไม่ใช่ทางรอดตอนผมเกษียณแน่   ผมจึงซื้อบ้านทาวเอ้าส์ 2 ชั้น 18 ตรว. แพงกว่าบ้านหลังแรกถึงเท่ากว่า คือ 920,000 บาท ถือว่าแพงมากๆ  และยอมเป็นหนี้เพิ่มเพื่อมีรถยนต์มือสองเก่าขับตอนอายุ 40 ปีแล้ว

         แล้ว 6 ปี ต่อมาผมก็ซื้อบ้านเดียวสองชั้น 50 ตรว แพงกว่าหลังที่ 2 เสียอีก  โดยที่ผมมีเงินสดเก็บในมือประมาณ 0 บาททุกเดือน เพราะบ้านทั้ง 3 หลังนั้นยังผ่อนอยู่  แต่ผมถือว่าเป็นกำไรเพราะผมได้อยู่ได้อาศัยทุกหลังตามลำดับ  ผมเริ่มรู้แล้วว่า เกิดล้มตกงานอย่างไร ผมก็ล้มบนฟูก

        และเมื่อรู้สึกว่าตนเองตึงมือเกินไปอยากมีเงินติดบัญชีบ้าง สักแสนหนึ่งผมจึงตัดสินใจขายบ้านทาวเฮ้าชั้นเดียว เอาไปโป๊บ้านทาวเฮ้าส์ 2 ชั้น เวลาผ่านมาเมื่อผ่อนบ้านทาวเฮ้าส์เกือบหมด ผมก็เอาบ้านเข้าธนาคารใหม่เ เอาเงินไปชื้อที่ดิน ได้โฉนดมา จึงผ่อนเพียงแต่บ้าน เหมือนเดิม

         ผมไม่กลัวแล้วคือ คือเงินต้นของบ้าน 2 หลังเหลือน้อย คือเพียงขายบ้านหลังทาวเฮ้าก็สามารถโป๊ะปิดบ้านเดียวได้หมดแถมมีเงินเหลืออีกเป็นแสน ออ. ผมได้ทำประกันความเสี่ยงบ้านในภายหลังไว้ ถ้าผมเป็นอะไรไป ครอบครัวที่เหลือก็จะหมดหนี้ทันที  เพราะผมมีเจตนาเก็บเงินในรูปของทรัพย์สิน  จึงยังคิดขยัยขยายเก็บเงินในทรัพย์สินเพิ่ม

         แต่ร่างกายผมนั้นผมได้ใช้มันอย่างหนักตั้งแต่เรียนมหาลัย จบมาแล้วก็ลำบากถูถกดดันไปอีกสิบกว่าปี ทั้งเป็นโรครูมาต่อย  ไข่มันในเลือดสูงทั้งที่ตอนนั้นก็ไม่ได้อ้วนอะไร   แล้วผมก็เกิดมัจจุราชเงียบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลันน็อกขณะกำลังเดิน อายุ ย่าง 52 ปี เข้าห้องไอชียู และอยู่โรงพยาบาลด้วยสิทธิ์ประกันสังคม หลายวัน มีผลข้างเคียงแก่วงๆ อยู่เป็นเวลา 4-5 ปี จากมากไปน้อยลงตามลำดับ ซึ่งยังทำงานได้ ต้องรักษาสติสัมปชัญญะไว้ เพื่อให้ดูปกติที่สุด จนคนภายนอกแทบดูไม่ออก คือรักษางานรักษาเงินเดือนไว้นั้นเอง

          พอมีเงินเหลือเก็บนิด ก็ซื้อที่ดิน 100 ตรว ชานเมือง กทม. เพิ่มอีกแปลง แต่แม่ของผมเกิดเส้นเลือดฝอยในสมองแตก ด้วยจากความดันสูง คือไม่ยอมกินยาลดความดันที่หมอให้เพิ่มขนาดขึ้น เพราะกินแล้วมึนหัว แม่เลยไม่กินติดต่อเพียง 4-5 วันโดยไม่บอกใคร ด้วยอายุ 86 -87 ปี เข้าโรงพยาบาลเป็นอัมพฤต  แต่แม่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย เพราะเป็นคนต่างด้าว มีใบต่างด้าว  แล้วท่านเกิดล้มซ้ำเติมเข้าไปอีก กลายเป็นนอนติดเตียง

            ก็ตกลงที่ผมอีกที่เป็นลูกคนสุดท้อง ที่ท่านยอมสละให้ผมเรียนมหาลัยจนจบแม้จะทุกข์ยากจากพ่อกดดันอย่างไร  เป็นเสาหลักจ่ายเงินให้แม่  เพราะพี่ๆ ต่างไม่มีกำลังไม่มีเงินส่งให้ 2 คน ส่งให้บางเพียงเล็กน้อย 2 คน และมีพี่คนหนึ่งพูดทำนองว่า ผมต้องจ่ายจนแน่เมื่อแม่เป็นอย่างนี้ เพราะแม่ไม่ได้ตายง่ายๆ ผมฟังแล้วเฉย เพราะต้องมีปัญญาประกองให้ทุกอย่างสมดุล บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นในระหว่างพี่น้อง ไม่ให้สร้างกรรมหนักกับแม่ตนเอง

            ผมก็ต้องอดทนไม่ให้ตนเองเครียด แม้ผมยังแกว่งๆ ด้วยอาการของโรคของตนเองอยู่ก็ตาม และผมตั้งงบไว้ให้แม่อยู่ที่ประมาณ  1 ล้านบาท จัดสรรรายได้และเงินส่วนตัวจ่าย จะไม่ไปเกี่ยวหรือกระทบกับภรรยาเลย
             ต่อมาพอเหลือเงินเก็บอีกเล็กน้อยก็ซื้อผ่อนดาวรถป้ายแดง คันแรกในครอบครัว โดยที่ไม่ไปกระทบกับรายได้ของภรรยา
              ต่อมาพอมีเงินเหลือก็ผ่อนซื้อดาวคอนโดถูกๆ ติดรถไฟฟ้ากำลังจะสร้าง งานนี้กระทบกับภรรยาเล็กน้อยก็โดนบ่นเล็กน้อย  
              พอรถป้ายแดงคันแรกกำลังจะหมด ก็โป๊ะหมด แล้วผ่อนรถป้ายแดงคันที่ 2 ให้ลูก ตามที่ภรรยาต้องการ แต่ก็เป็นเงินลูกที่ให้บวกกับของผมนิดหน่อยนั้นแหละผ่อนให้ลูกขับ  ภรรยาลอยตัวไป
            ความจริงแล้วผมปล่อยให้ภรรยาลอยตัว ไม่ต้องมาจ่ายกับผมให้เครียด ตั้งแต่ผ่อนบ้านเทาวเฮ้า 2 ชั้น บ้านเดียว และที่ดิน รถป้ายแดง  รวมทั้งค่าน้ำค่าไฟค่าเน็ตบ้าน ค่ากินลูกรายเดือนที่เรียนมหาลัยทั้ง 2 คน ค่ารูดบัตรเครดิตชื้อของในห้างเข้าบ้าน  คือให้เขารักษางานรักษาเงินเขาไว้ ให้เขาจ่ายค่าจีปะตะอย่างอื่นของเขาเองและลูก ผมจึงมีเงินเก็บเกือบ 0 บาทเป็นสิบปีที่ผ่านมา  วางแผนไว้ว่า เมื่อผ่อนทรัพย์สินจบ ผมก็รีบเก็บเงินสดที่ไม่ต้องผ่อนแล้วนั้น ให้ได้สักเกือบ 2 ล้านอยู่ในมือพอดีผมเกษียณ 60 ปีพอดี

.              ส่วนภรรยานั้นสุขภาพเขาไม่ดีมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เป็นคนที่ทำงานจริง ร่างกายเริ่มทรุดลง เพราะงาน รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเกษียณก่อนหมดอายุราชการ 60 ปี ก็เพียงอายุ 56 ปีก็ลาออก ด้วยโรคภัย เมื่อเกิดงูสวัด ขึ้นบอกร่างกายแล้ว แสดงว่าภูมิต้านทานร่างกายของเขาทนต่องานหนักต่อไม่ได้นั้นเอง ได้วางแผนให้เขาออกจากกองทุน กบข. แต่เนินๆ  เพื่อจะได้มีเงินบำนาญสูงขึ้น  และให้เขามีเงินก้อนเก็บส่วนตัวเขาพอเท่ากับเงิน ที่ กบข. จะให้ เป็นกำลังใจของเขา ผมจึงปล่อยให้เขาลอยตัว ไม่ต้องมาจ่ายชำระต่างๆ ซึ่งผมจะแบกไว้เอง แต่ให้สิทธิ์เป็นขื่อของเขาร่วม

           สำหรับผม ณ. ตอนนี้ที่คิดว่าจะมีเงินเก็บหลังเกษียณเกือบ 2 ล้าน ก็ทำไม่ได้แล้วเพราะต้องเทรายได้ที่จะเก็บได้ไปให้แม่ที่นอนติดเตียงจนถึง ณ. ปัจจุบัน จึงต้องหาทางออก ที่จะมีรายได้เสริมเพิ่มจากเงินบำนาญประกันสังคม เมื่อเกษียณ  ก็คือวางแผนเรียนรู้รายได้เสริมจากที่ดินที่ซื้อเก็บไว้ ด้วย เห็ด ผัก และไม้ผล  โดยไม่ต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่กินจนหมด. เผือไปถึงลูกไม่ต้องลำบากมาก  
             แต่ถึงหลานนั้นทรัพย์นั้นยังไม่มากพอ ระดับ 8 – 9 หลัก ก็ให้ลูกนั้นแหละสร้างต่อแบบไม่ต้องเริ่มจาก 0 ลำบากเหมือนพ่อแม่ และได้เพิ่มความเก่งความรู้ให้เขาไว้แล้วนั้นเองที่จะนำเนินต่อไป.

           ดังน้น ชีวิตนั้นต้องอดทนมีขันติ แสวงหาปัญญา และความรู้ความสามารถในการงาน ก็จะไม่จน ถึงแม้จะไม่รวยก็ตาม
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  เศรษฐกิจ อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การออมเงิน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่