ท่ามกลางบรรยากาศความสยองของสารพัดหนังกระตุกขวัญแห่งปี 2017 หลายคนอาจจะเข้าใจว่า..ยุคสมัยที่เทคโนโลยีกำลังก้าวล้ำไปมากขึ้น แต่ทว่า จุดขายสำคัญของหนังสยองขวัญในยุคใหม่ๆ กลับเล่าถึงในยุค 1980s
"ทำไมต้อง 1980s?"
เนื่องในโอกาสที่วันนี้เป็นวันฮาโลวีน ที่สายดาร์คหลายๆ คน อาจจะร่าเริงเป็นพิเศษ บวกกับ 'เทรนด์ 1980s' ที่กำลังมาแรง.. ผม DEVA HELLBLAZER จะพาไปรู้จักกับความสำคัญของหนังสยองขวัญแห่งยุค 1980s กันครับ..
ย้อนกลับไปในปี 1957 ทั้งโลกได้ประจักษ์กับ 1 ในคดีที่สะเทือนขวัญที่สุดห่งมวลมนุษยชาติ เมื่อตำรวจนำกำลังเข้าจับกุม 'เอ็ดเวิร์ด ธีโอดอร์ กีน' ก่อนจะเผยเบื้องลึกเบื้องหลังวุดวิปลาส เมื่อภายใต้คราบของชายผู้น่าสงสารคนหนึ่ง..คือปีศาจร้ายที่ได้สร้างสรรค์ศิลปะขึ้นมาด้วยความเต็มเปี่ยมไปทั้งจิตวิญญาณ..จากร่างอันไร้วิญญาณ
อ่านชีวประวัติ เอ็ด กีน: คหกรรมทำจากศพ
https://ppantip.com/topic/36559424
ในขณะที่วีรกรรมอำมหิตของ เอ็ด กีน ได้สร้างความสะเทือนขวัญสุดหลอนให้แก่ใครหลายๆ คน แต่ในทางกลับกัน วีรกรรมอำมหิตดังกล่าว กลับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้แก่ 'อัลเฟรด ฮิทชค็อก' ที่หยิบยกเอาบุคคลิกชวนน่าสงสาร แต่แฝงความน่าขนลุกของ เอ็ด กีน มาพัฒนาจนกลายเป็นตัวละคร 'นอร์แมน เบตส์' ฆาตกรสองบุคคลิกในหนังระทึกขวัญ PSYCHO จากปี 1960 ก่อนจะกลายเป็นใบเบิกทางใบแรกให้แก่คนรักหนังสยองขวัญรุ่นหลัง ที่ได้ลุกขึ้นมาศึกษา และหยิบยกเอาบุคคลิก และมิติความคิดของ เอ็ด กีน มาพัฒนาเป็นตัวละคร Iconic ของหนังสยองหลายๆ เรื่อง และ 1 ในนั้นคือ 'โทบี้ ฮูเปอร์' ผู้หยิบเอาลักษณะนิสัยการประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้จากคนตายของ เอ็ด กีน มาพัฒนาเป็นอีก 1 ในตัวละครที่ได้ตราตรึงในใจของคอหนังสยองนับตั้งแต่ปี 1974 เป็นต้นมา นั่นคือ 'เจดิไดอาห์ ซอวเยอร์' ผู้สวมหน้ากากหนังมนุษย์แล้วออกปลิดชีพมนุษย์จากหนัง The Texas Chaisaw Massacre และองค์ประกอบจากหนังเรื่องนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การที่พาตัวละครไปตาย ประเภทของตัวละคร และพฤติกรรมการสวมหน้ากากเพื่อปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงแห่งปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ นำไปสู่แรงบันดาลใจอีกทอด ให้แก่ 'จอห์น คาร์เพนเตอร์' ผู้ที่จะกลายมาเป็นผู้เปิดศักราชใหม่แห่ง Slasher Films ในปี 1978 โดยหนัง Halloween ที่มีรองพี่ใหญ่แห่งสถาบันเชือดอำมหิตอย่าง 'ไมเคิล ไมเยอร์ส'
"และจุดนี้เอง
ที่ได้เป็นจุดเปลี่ยนคืนฉลอง สยองฮาโลวีนของทุกคนไป
ตลอดกาล"
ปี 1980
หลังความสำเร็จของหนัง Halloween ที่ทำให้ทั้งโลกได้รู้จักกับ ไมเคิล ไมเยอส์..จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้กำกับ ก็ได้กลับมาสู่วงการคร่าชีวิตบนอผ่นฟิล์มอีกครั้ง โดยครั้งนี้ เขาได้ฆ่าคนด้วย 'หมอก' ใน THE FOG ที่กลายมาเป็นสูตรสำเร็จใหม่ สไตล์เปิบสยองหลอนพิศดารแห่งวงการหนังสยองขวัญ
ทว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่คาร์เพนเตอร์ถอยออกจากเส้นทางสาย Slasher Film ไปเป็น Cult Horror (หนังสยองเฉพาะกลุ่ม) มีหรือที่ค่ายหนังอื่นๆ ที่ได้เล็งเห็นว่า..
"ถ้า Slasher Films มันเวิร์คจริง
งั้นเราลองทำดูบ้างก็ไม่เสียหาย"
ดังนั้น Paramount Pictures จึงขอเปลี่ยนคืนวันศุกร์ที่ 13 อันแสนสุข..ให้กลายเป็นคืนวันศุกร์ที่ 13 สุดสยอง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยการแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ 'พาร์เมล่า วอร์ฮีส์' จากหนัง Friday the 13th ซึ่งความสำเร็จในการเปลี่ยนศุกร์สุดสนุก ให้กลายเป็นศุกร์สุดสยองของ Paramount Pictures ในวันนั้น ก็ทำให้ Friday the 13th กลายมาเป็น 1 ในเฟรนไชส์หนังสยองสุดอมตะตลอดกาล ด้วยฝีมือการไล่เชือดของลูกชายของ พาร์เมล่า วอร์ฮีส์ อย่าง 'เจสัน วอร์ฮีส์'
ถึงแม้ว่า ไมเคิล ไมเยอส์ อาจจะไม่ได้โลดแล่นในโรงหนังในปีนี้ แต่อิทธิพลจากหนัง Halloween ก็ได้ทำให้นักแสดงสาว 'เจมี่ ลี เคอร์ติส' กลายมาเป็นสาวแกร่งแห่งวงการ Slasher Films ซึ่งเธอก็ต้องกลับมารับบทเป็นสาวผู้ต้องเอาชีวิตรอดจากคมมีดของฆาตกรอีกครั้ง ในหนัง Prom Night
แต่ในขณะที่คมมีดแห่งเหล่าฆาตกร กำลังเริ่มคลืบคลานไปตามครัวเรือนของกลุ่มผู้รักหนังสยองขวัญ..ในป่าลึกแห่งหนึ่ง คมเขี้ยวแห่งเผ่ากินคน กำลังฉีกกินเลือดเนื้อแห่งเหล่ามนุษย์อย่างเมามันส์ ซึ่งวีรกรรมคนกินเนื้อคนนี้เอง ก็เป็นอีก 1 ในแรงบันดาลใจหนังสยองสายลุยป่าให้อีกหลายๆ เรื่องของยุคหลัง ใน Cannibal Holocust (เปรตเดินดิน กินเนื้อคน) ก่อนที่เราจะส่งท้ายปีกันด้วยการคลืบคลานจากหนองน้ำสู่เมืองใหญ่ของโคตรไอ้เคี่ยมที่ตามความสำเร็จของหนังปลากินคนอย่าง JAWS ในปี 1975 และ Piranha ในปี 1978 มาแบบติดๆ กับ Alligator ที่กลายมาเป็น 1 ในแม่แบบของหนังสัตว์คลั่งกลายพันธุ์บุกเมืองมนุษย์อีกหลายๆ เรื่อง
นอกจากนี้ ปี 1980 ยังเป็นปีที่ทั้งโลกได้ยลผลงานแนวสยองขวัญเรื่องแรก และเรื่องสุดท้าย ของผู้กำกับระดับปรมาจารย์ 'สแตนลีย์ คูบริค' ที่ผลงานที่ผ่านมาทุกเรื่อง กลายเป็นแม่แบบให้แก่ผู้กำกับทุกคนในวงการภาพยนตร์ ที่แม้แต่ผู้กำกับระดับแนวหน้าของโลกในยุคปัจจุบันยังต้องศึกษาศาสตร์แห่งการผลิตภาพยนตร์ของเขา และผลงานสยองขวัญในตำนานเรื่องนั้นคือ.. 'The Shining'
"แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้
ยังคงเป็นโหมโรงสู่ยุคทองแห่งหนังสยองขวัญเท่านั้น
เมื่อ 'ใครบางคน'..กำลังกลับมา"
ปี 1981
'แซม ไรมี่' ชายผู้รักในหนังสยองขวัญและใฝ่ฝันจะได้มีผลงานบรรเลงลีลาละเลงเลือดสไตล์ของตัวเองในโรงหนัง ได้ลงทุนเงินจำนวน 3 แสน 5 หมื่นเหรียญในการถ่ายทำหนังสยองเรื่องหนึ่งที่สุดท้ายแล้ว มันได้กลายมาเป็นหนังสยองที่เป็นแม่แบบสำคัญให้แก่หนังพล็อต 'กระท่อมกลางป่า' อีกหลายๆ เรื่อง รวมไปถึงกวาดรายได้ไปกว่า 2 ล้าน 4 แสนเหรียญ จนมาถึงทุกวันนี้ แซม ไรมี่ ที่หลายคนอาจจะจดจำเขาในฐานะ 'ผู้กำกับหนัง Spider-Man เวอร์ชั่นที่ดีที่สุด' ยังคงยืนยันว่า
"The Evil Dead (ผีอมตะ)
คือผลงานที่ผมรักที่สุด"
ถึงแม้ว่ายุคนี้ กำลังอยู่ในยุคที่ทั้งอสุรกาย ภูติผีปีศาจ หรือฆาตกร จะกลายเป็นที่นิยมไปมากกว่า 'ต้นตำหรับสัตว์ประหลาดแห่ง Universal' ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น Universal Pictures ยังคงส่ง An American Werewolf in London ออกยลสายตาคนดู ที่ถึงแม้ว่าคนดูอาจจะยังติดใจกับลีลาไล่เชือดสไตล์ Slasher Films แต่ก็ต้องยอมรับว่า การกลับมาของ 1 ในต้นตำหรับอสุรกายในตำนานครั้งนี้ ได้พาเอาสิ่งหนึ่งมาด้วย นั่นคือ "การเป็น 1 ในหนังที่มีสเปเชียลเอฟเฟกต์สมจริงที่สุด ท่ามกลางยุคที่ปราศจากซึ่งคอมพิวเตอร์กราฟฟิค" และเทคนิคการแปลงร่างจากมนุษย์สู่อสุรกายในครั้งนี้ ก็ยังได้รับการตอกย้ำความดีความชอบ และความมหัศจรรย์แห่งเทคนิค โดยหนัง The Howling (หอนคืนร่าง)
"แต่ดูเหมือนว่าเหล่าผีอมตะ และอสูรร้าย
จะครองความมหัศจรรย์ระทึกขวัญบัลลังก์เลือดได้ไม่นาน
เหล่าฆาตกร ก็จับอาวุธกลับมาบุกจอโรงหนังอีกครั้ง"
ดูเหมือนว่าค่าย Dimension Films ผู้สร้างหิ้งตำนานความสยองไว้ด้วยหนัง Halloween จะไม่ยอมปล่อยให้ค่ายไหน หรือผีห่าอสูรร้ายตนไหนมาครองบัลลังก์เลือดได้นาน..จอห์น คาร์เพนเตอร์ จึงต้องถูกเรียกตัวกลับมาอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำตำนานตัวจริงแห่ง Slasher Films ด้วยการเดินหน้าโปรเจ็ค Halloween 2 โดยในครั้งนี้ จอห์น คาร์เพนเตอร์ รับหน้าที่เพียงเขียนบทร่วมกับ เดบรา ฮิลล์ และให้ ริค โรเซนทัล มารับหน้าที่กำกับแทน ซึ่งบทของต้นตำหรับอย่าง จอห์น คาร์เพนเตอร์ และวิสัยทัศน์การกำกับของ ริค โรเซนทัล ก็สอดคล้องไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี จนทำให้ Halloween 2 กลายเป็น 1 ในภาคต่อหนังสยองขวัญที่ดีที่สุด ด้วยตัวบทที่สมเหตุสมผลสำหรับ ไมเคิล ไมเยอร์ส ในการเลือกฆ่าเหยื่อ และบทสรุปอันงดงาม จนกลายมาเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้แก่ Slasher Films และหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ ที่ต้องเล็งเห็นในความสำคัญของเนื้อหา มากกว่าจะเซอร์วิสฉากละเลงเลือดเพื่อความสาแก่ใจของคนดูเฉยๆ
"แต่ถึงแม้ว่า Slasher Films
จะเต็มไปด้วยความน่ากลัว
แต่สิ่งที่ Slasher Films ยังขาดไป
นั่นคือ..
'ความน่าเกลียด'"
ปี 1982
ดูเหมือนทุกครั้งที่ จอห์น คาร์เพนเตอร์ จะเสร็จจากการพาไมเคิล ไมเยอร์ส บุกจอโรงหนังทีไร..จอห์น คาร์เพนเตอร์ มักจะกลับมาด้วยความสยองที่พิศดารขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเสมอ เมื่อครั้งนี้ จอห์น คาร์เพนเตอร์ กลับมาพร้อมเชื้อโรงต่างดาวที่ได้กลายมาเป็นบรรทัดฐานใหม่แห่งหนังสยองขวัญ-ไซไฟ สำหรับเรื่องไหนที่ต้องการจะมอบฝันร้ายแก่คนดูอย่างแท้จริง ก็ควรจะมี The Thing เป็นแม่แบบ ทั้งในแง่ของการเขียนบทที่ยังคงเน้นเนื้อหา ซึ่งมันพาให้คนดูระทึกขวัญได้มากกว่าการระดมยัดฉากสยองไปแบบไม่บันยะบันยังจนคนดูอาจจะรู้สึกตายด้านได้ ณ จุดหนึ่ง รวมไปถึงในแง่ของการสร้างฉากสยองที่เป็นอันรู้กันว่า ในยุค 1980s นั้น ปราศจากซึ่งการสร้างสรรค์งานภาพด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิคอยู่แล้ว แต่สเปเชียลเอฟเฟกต์ของ The Thing ยังคงทำได้อย่างสมจริง จนขึ้นหิ้งหนังสเปเชียลเอฟเฟกต์ตัวอย่างไปอีกเรื่อง
"แต่ก็ใช่ว่า จอห์น คาเพนเตอร์
จะเป็นคนเดียวที่สร้างสรรค์ความเข้มข้นในความสยองได้
ไม่ว่าจะความน่ากลัว หรือน่าเกลียดก็ตาม
เมื่อผู้สร้างตำนานสิงหาสับ..กลับมาพร้อมแท็กทีมกับพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด"
โทบี้ ฮูเปอร์ อาจเป็นอีก 1 ในปูชนียบุคคลแห่งวงการ Slasher Films ก็จริง..แต่ก็ต้องยอมรับว่านอกจาก The Texas Chainsaw Massacre ที่สร้างความกดดันระทึกขวัญให้แก่คนดูได้อย่างเต็มขีดแล้ว ฮูเปอร์อาจต้องการผู้ปรึกษาที่ดีพอ เมื่อเขาต้องเล่าเรื่องในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ให้คนดูเอาใจช่วยฝ่ายที่ต้องเป็นเหยื่อ มากกว่าความสะใจที่พร้อมปะทุในฉากสยอง สำหรับหนัง Poltergeist (ผีหลอกวิญญาณหลอน) ที่ยังได้ สตีเวน สปีลเบิร์ก มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง จึงกลายเป็นส่วนผสมที่ดี สำหรับเรื่องราวที่ต้องการบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร และความน่ากลัวที่ต้องมีจังหวะเป็นของตัวเองแบบพอดีๆ ซึ่งในตรงนี้เอง ที่ Poltergeist ได้กลายมาเป็นแม่แบบให้แก่หนังสยองขวัญที่มีความสมดุลย์ระหว่างเนื้อหา และความน่ากลัว
"ท่ามกลางสงครามบัลลังก์เลือด
ที่เหล่านักละเลงเลือดในโลกภาพยนตร์
ต่างก็ขุดไอเดียของตนมาประชันความสยอง
'ราชา' แห่งเรื่องสยองตัวจริง
กำลังจะกลับมา"
TO BE CONTINUED
#DevaHellblazer
ติดตามช่องทางสำหรับข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม
Deva Hellblazer : facebook.com/DevaHellblazer
เปิดกรุสยอง | ทำไมต้องพาไป '1980' ? | DEVA HELLBLAZER
เนื่องในโอกาสที่วันนี้เป็นวันฮาโลวีน ที่สายดาร์คหลายๆ คน อาจจะร่าเริงเป็นพิเศษ บวกกับ 'เทรนด์ 1980s' ที่กำลังมาแรง.. ผม DEVA HELLBLAZER จะพาไปรู้จักกับความสำคัญของหนังสยองขวัญแห่งยุค 1980s กันครับ..
ย้อนกลับไปในปี 1957 ทั้งโลกได้ประจักษ์กับ 1 ในคดีที่สะเทือนขวัญที่สุดห่งมวลมนุษยชาติ เมื่อตำรวจนำกำลังเข้าจับกุม 'เอ็ดเวิร์ด ธีโอดอร์ กีน' ก่อนจะเผยเบื้องลึกเบื้องหลังวุดวิปลาส เมื่อภายใต้คราบของชายผู้น่าสงสารคนหนึ่ง..คือปีศาจร้ายที่ได้สร้างสรรค์ศิลปะขึ้นมาด้วยความเต็มเปี่ยมไปทั้งจิตวิญญาณ..จากร่างอันไร้วิญญาณ
อ่านชีวประวัติ เอ็ด กีน: คหกรรมทำจากศพ
https://ppantip.com/topic/36559424
ในขณะที่วีรกรรมอำมหิตของ เอ็ด กีน ได้สร้างความสะเทือนขวัญสุดหลอนให้แก่ใครหลายๆ คน แต่ในทางกลับกัน วีรกรรมอำมหิตดังกล่าว กลับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้แก่ 'อัลเฟรด ฮิทชค็อก' ที่หยิบยกเอาบุคคลิกชวนน่าสงสาร แต่แฝงความน่าขนลุกของ เอ็ด กีน มาพัฒนาจนกลายเป็นตัวละคร 'นอร์แมน เบตส์' ฆาตกรสองบุคคลิกในหนังระทึกขวัญ PSYCHO จากปี 1960 ก่อนจะกลายเป็นใบเบิกทางใบแรกให้แก่คนรักหนังสยองขวัญรุ่นหลัง ที่ได้ลุกขึ้นมาศึกษา และหยิบยกเอาบุคคลิก และมิติความคิดของ เอ็ด กีน มาพัฒนาเป็นตัวละคร Iconic ของหนังสยองหลายๆ เรื่อง และ 1 ในนั้นคือ 'โทบี้ ฮูเปอร์' ผู้หยิบเอาลักษณะนิสัยการประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้จากคนตายของ เอ็ด กีน มาพัฒนาเป็นอีก 1 ในตัวละครที่ได้ตราตรึงในใจของคอหนังสยองนับตั้งแต่ปี 1974 เป็นต้นมา นั่นคือ 'เจดิไดอาห์ ซอวเยอร์' ผู้สวมหน้ากากหนังมนุษย์แล้วออกปลิดชีพมนุษย์จากหนัง The Texas Chaisaw Massacre และองค์ประกอบจากหนังเรื่องนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การที่พาตัวละครไปตาย ประเภทของตัวละคร และพฤติกรรมการสวมหน้ากากเพื่อปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงแห่งปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ นำไปสู่แรงบันดาลใจอีกทอด ให้แก่ 'จอห์น คาร์เพนเตอร์' ผู้ที่จะกลายมาเป็นผู้เปิดศักราชใหม่แห่ง Slasher Films ในปี 1978 โดยหนัง Halloween ที่มีรองพี่ใหญ่แห่งสถาบันเชือดอำมหิตอย่าง 'ไมเคิล ไมเยอร์ส'
ที่ได้เป็นจุดเปลี่ยนคืนฉลอง สยองฮาโลวีนของทุกคนไป
ตลอดกาล"
ปี 1980
หลังความสำเร็จของหนัง Halloween ที่ทำให้ทั้งโลกได้รู้จักกับ ไมเคิล ไมเยอส์..จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้กำกับ ก็ได้กลับมาสู่วงการคร่าชีวิตบนอผ่นฟิล์มอีกครั้ง โดยครั้งนี้ เขาได้ฆ่าคนด้วย 'หมอก' ใน THE FOG ที่กลายมาเป็นสูตรสำเร็จใหม่ สไตล์เปิบสยองหลอนพิศดารแห่งวงการหนังสยองขวัญ
ทว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่คาร์เพนเตอร์ถอยออกจากเส้นทางสาย Slasher Film ไปเป็น Cult Horror (หนังสยองเฉพาะกลุ่ม) มีหรือที่ค่ายหนังอื่นๆ ที่ได้เล็งเห็นว่า..
งั้นเราลองทำดูบ้างก็ไม่เสียหาย"
ดังนั้น Paramount Pictures จึงขอเปลี่ยนคืนวันศุกร์ที่ 13 อันแสนสุข..ให้กลายเป็นคืนวันศุกร์ที่ 13 สุดสยอง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยการแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ 'พาร์เมล่า วอร์ฮีส์' จากหนัง Friday the 13th ซึ่งความสำเร็จในการเปลี่ยนศุกร์สุดสนุก ให้กลายเป็นศุกร์สุดสยองของ Paramount Pictures ในวันนั้น ก็ทำให้ Friday the 13th กลายมาเป็น 1 ในเฟรนไชส์หนังสยองสุดอมตะตลอดกาล ด้วยฝีมือการไล่เชือดของลูกชายของ พาร์เมล่า วอร์ฮีส์ อย่าง 'เจสัน วอร์ฮีส์'
ถึงแม้ว่า ไมเคิล ไมเยอส์ อาจจะไม่ได้โลดแล่นในโรงหนังในปีนี้ แต่อิทธิพลจากหนัง Halloween ก็ได้ทำให้นักแสดงสาว 'เจมี่ ลี เคอร์ติส' กลายมาเป็นสาวแกร่งแห่งวงการ Slasher Films ซึ่งเธอก็ต้องกลับมารับบทเป็นสาวผู้ต้องเอาชีวิตรอดจากคมมีดของฆาตกรอีกครั้ง ในหนัง Prom Night
แต่ในขณะที่คมมีดแห่งเหล่าฆาตกร กำลังเริ่มคลืบคลานไปตามครัวเรือนของกลุ่มผู้รักหนังสยองขวัญ..ในป่าลึกแห่งหนึ่ง คมเขี้ยวแห่งเผ่ากินคน กำลังฉีกกินเลือดเนื้อแห่งเหล่ามนุษย์อย่างเมามันส์ ซึ่งวีรกรรมคนกินเนื้อคนนี้เอง ก็เป็นอีก 1 ในแรงบันดาลใจหนังสยองสายลุยป่าให้อีกหลายๆ เรื่องของยุคหลัง ใน Cannibal Holocust (เปรตเดินดิน กินเนื้อคน) ก่อนที่เราจะส่งท้ายปีกันด้วยการคลืบคลานจากหนองน้ำสู่เมืองใหญ่ของโคตรไอ้เคี่ยมที่ตามความสำเร็จของหนังปลากินคนอย่าง JAWS ในปี 1975 และ Piranha ในปี 1978 มาแบบติดๆ กับ Alligator ที่กลายมาเป็น 1 ในแม่แบบของหนังสัตว์คลั่งกลายพันธุ์บุกเมืองมนุษย์อีกหลายๆ เรื่อง
นอกจากนี้ ปี 1980 ยังเป็นปีที่ทั้งโลกได้ยลผลงานแนวสยองขวัญเรื่องแรก และเรื่องสุดท้าย ของผู้กำกับระดับปรมาจารย์ 'สแตนลีย์ คูบริค' ที่ผลงานที่ผ่านมาทุกเรื่อง กลายเป็นแม่แบบให้แก่ผู้กำกับทุกคนในวงการภาพยนตร์ ที่แม้แต่ผู้กำกับระดับแนวหน้าของโลกในยุคปัจจุบันยังต้องศึกษาศาสตร์แห่งการผลิตภาพยนตร์ของเขา และผลงานสยองขวัญในตำนานเรื่องนั้นคือ.. 'The Shining'
ยังคงเป็นโหมโรงสู่ยุคทองแห่งหนังสยองขวัญเท่านั้น
เมื่อ 'ใครบางคน'..กำลังกลับมา"
ปี 1981
'แซม ไรมี่' ชายผู้รักในหนังสยองขวัญและใฝ่ฝันจะได้มีผลงานบรรเลงลีลาละเลงเลือดสไตล์ของตัวเองในโรงหนัง ได้ลงทุนเงินจำนวน 3 แสน 5 หมื่นเหรียญในการถ่ายทำหนังสยองเรื่องหนึ่งที่สุดท้ายแล้ว มันได้กลายมาเป็นหนังสยองที่เป็นแม่แบบสำคัญให้แก่หนังพล็อต 'กระท่อมกลางป่า' อีกหลายๆ เรื่อง รวมไปถึงกวาดรายได้ไปกว่า 2 ล้าน 4 แสนเหรียญ จนมาถึงทุกวันนี้ แซม ไรมี่ ที่หลายคนอาจจะจดจำเขาในฐานะ 'ผู้กำกับหนัง Spider-Man เวอร์ชั่นที่ดีที่สุด' ยังคงยืนยันว่า
คือผลงานที่ผมรักที่สุด"
ถึงแม้ว่ายุคนี้ กำลังอยู่ในยุคที่ทั้งอสุรกาย ภูติผีปีศาจ หรือฆาตกร จะกลายเป็นที่นิยมไปมากกว่า 'ต้นตำหรับสัตว์ประหลาดแห่ง Universal' ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น Universal Pictures ยังคงส่ง An American Werewolf in London ออกยลสายตาคนดู ที่ถึงแม้ว่าคนดูอาจจะยังติดใจกับลีลาไล่เชือดสไตล์ Slasher Films แต่ก็ต้องยอมรับว่า การกลับมาของ 1 ในต้นตำหรับอสุรกายในตำนานครั้งนี้ ได้พาเอาสิ่งหนึ่งมาด้วย นั่นคือ "การเป็น 1 ในหนังที่มีสเปเชียลเอฟเฟกต์สมจริงที่สุด ท่ามกลางยุคที่ปราศจากซึ่งคอมพิวเตอร์กราฟฟิค" และเทคนิคการแปลงร่างจากมนุษย์สู่อสุรกายในครั้งนี้ ก็ยังได้รับการตอกย้ำความดีความชอบ และความมหัศจรรย์แห่งเทคนิค โดยหนัง The Howling (หอนคืนร่าง)
จะครองความมหัศจรรย์ระทึกขวัญบัลลังก์เลือดได้ไม่นาน
เหล่าฆาตกร ก็จับอาวุธกลับมาบุกจอโรงหนังอีกครั้ง"
ดูเหมือนว่าค่าย Dimension Films ผู้สร้างหิ้งตำนานความสยองไว้ด้วยหนัง Halloween จะไม่ยอมปล่อยให้ค่ายไหน หรือผีห่าอสูรร้ายตนไหนมาครองบัลลังก์เลือดได้นาน..จอห์น คาร์เพนเตอร์ จึงต้องถูกเรียกตัวกลับมาอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำตำนานตัวจริงแห่ง Slasher Films ด้วยการเดินหน้าโปรเจ็ค Halloween 2 โดยในครั้งนี้ จอห์น คาร์เพนเตอร์ รับหน้าที่เพียงเขียนบทร่วมกับ เดบรา ฮิลล์ และให้ ริค โรเซนทัล มารับหน้าที่กำกับแทน ซึ่งบทของต้นตำหรับอย่าง จอห์น คาร์เพนเตอร์ และวิสัยทัศน์การกำกับของ ริค โรเซนทัล ก็สอดคล้องไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี จนทำให้ Halloween 2 กลายเป็น 1 ในภาคต่อหนังสยองขวัญที่ดีที่สุด ด้วยตัวบทที่สมเหตุสมผลสำหรับ ไมเคิล ไมเยอร์ส ในการเลือกฆ่าเหยื่อ และบทสรุปอันงดงาม จนกลายมาเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้แก่ Slasher Films และหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ ที่ต้องเล็งเห็นในความสำคัญของเนื้อหา มากกว่าจะเซอร์วิสฉากละเลงเลือดเพื่อความสาแก่ใจของคนดูเฉยๆ
จะเต็มไปด้วยความน่ากลัว
แต่สิ่งที่ Slasher Films ยังขาดไป
นั่นคือ..
'ความน่าเกลียด'"
ปี 1982
ดูเหมือนทุกครั้งที่ จอห์น คาร์เพนเตอร์ จะเสร็จจากการพาไมเคิล ไมเยอร์ส บุกจอโรงหนังทีไร..จอห์น คาร์เพนเตอร์ มักจะกลับมาด้วยความสยองที่พิศดารขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเสมอ เมื่อครั้งนี้ จอห์น คาร์เพนเตอร์ กลับมาพร้อมเชื้อโรงต่างดาวที่ได้กลายมาเป็นบรรทัดฐานใหม่แห่งหนังสยองขวัญ-ไซไฟ สำหรับเรื่องไหนที่ต้องการจะมอบฝันร้ายแก่คนดูอย่างแท้จริง ก็ควรจะมี The Thing เป็นแม่แบบ ทั้งในแง่ของการเขียนบทที่ยังคงเน้นเนื้อหา ซึ่งมันพาให้คนดูระทึกขวัญได้มากกว่าการระดมยัดฉากสยองไปแบบไม่บันยะบันยังจนคนดูอาจจะรู้สึกตายด้านได้ ณ จุดหนึ่ง รวมไปถึงในแง่ของการสร้างฉากสยองที่เป็นอันรู้กันว่า ในยุค 1980s นั้น ปราศจากซึ่งการสร้างสรรค์งานภาพด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิคอยู่แล้ว แต่สเปเชียลเอฟเฟกต์ของ The Thing ยังคงทำได้อย่างสมจริง จนขึ้นหิ้งหนังสเปเชียลเอฟเฟกต์ตัวอย่างไปอีกเรื่อง
จะเป็นคนเดียวที่สร้างสรรค์ความเข้มข้นในความสยองได้
ไม่ว่าจะความน่ากลัว หรือน่าเกลียดก็ตาม
เมื่อผู้สร้างตำนานสิงหาสับ..กลับมาพร้อมแท็กทีมกับพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด"
โทบี้ ฮูเปอร์ อาจเป็นอีก 1 ในปูชนียบุคคลแห่งวงการ Slasher Films ก็จริง..แต่ก็ต้องยอมรับว่านอกจาก The Texas Chainsaw Massacre ที่สร้างความกดดันระทึกขวัญให้แก่คนดูได้อย่างเต็มขีดแล้ว ฮูเปอร์อาจต้องการผู้ปรึกษาที่ดีพอ เมื่อเขาต้องเล่าเรื่องในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ให้คนดูเอาใจช่วยฝ่ายที่ต้องเป็นเหยื่อ มากกว่าความสะใจที่พร้อมปะทุในฉากสยอง สำหรับหนัง Poltergeist (ผีหลอกวิญญาณหลอน) ที่ยังได้ สตีเวน สปีลเบิร์ก มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง จึงกลายเป็นส่วนผสมที่ดี สำหรับเรื่องราวที่ต้องการบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร และความน่ากลัวที่ต้องมีจังหวะเป็นของตัวเองแบบพอดีๆ ซึ่งในตรงนี้เอง ที่ Poltergeist ได้กลายมาเป็นแม่แบบให้แก่หนังสยองขวัญที่มีความสมดุลย์ระหว่างเนื้อหา และความน่ากลัว
ที่เหล่านักละเลงเลือดในโลกภาพยนตร์
ต่างก็ขุดไอเดียของตนมาประชันความสยอง
'ราชา' แห่งเรื่องสยองตัวจริง
กำลังจะกลับมา"
TO BE CONTINUED
#DevaHellblazer
ติดตามช่องทางสำหรับข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม
Deva Hellblazer : facebook.com/DevaHellblazer