[หนังโรงเรื่องที่ 205] Breathe - ถ้ายังไม่ตาย ก็หายใจไปเถิด by ตั๋วหนังมันแพง



[หนังโรงเรื่องที่ 205] Breathe - ถ้ายังไม่ตาย ก็หายใจไปเถิด ; (Andy Serkis, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)

*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ: เป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงของ "โรบิน" (Andrew Garfield) นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเจ้าเสน่ห์ และภรรยาสุดสวยอย่าง "ไดอาน่า" (Claire Foy) ซึ่งทั้งคู่อาจดูเหมือนมีชีวิตคู่ที่ครบถ้วน แต่อนิจจาโรบินกลับติดเชื้อโปลิโอผ่านทางระบบหายใจ ส่งผลให้เขาต้องอยู่ในสภาพอัมพาตตลอดชีวิตตั้งแต่ลำคอลงไปตั้งแต่ยังหนุ่ม อีกทั้งยังไม่สามารถหายใจด้วยตนเองได้ต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น ... และแม้ทั้งๆ ที่บรรดาแพทย์ต่างออกความเห็นกันว่าผู้ป่วยโปลิโอในยุคนั้นจะอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ด้วยแรงใจและแรงผลักดันจากภรรยา และการถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่ากัลยาณมิตร ทำให้โรบิน "อยู่ต่อ" และ "ใช้ชีวิต" ได้อย่างเต็มที่มาเป็นเวลานับสิบๆ ปี จนได้เป็นผู้ป่วยอัมพาตจากโปลิโอคนแรกของโลกที่มีชีวิตได้ยืนยาวที่สุด และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้แวดวงการแพทย์และในหมู่ผู้พิการในเวลาต่อมา
.
.
เซอไพรส์นิดหน่อยครับ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ดูหนังอัตชีวประวัติของ BBC ติดกันสองเรื่องแบบนี้ (จากเรื่องล่าสุดเป็นเรื่องของควีนวิกตอเรีย) ซึ่งแน่นอนว่าหนังมันต้องมีความเป็นบริติชจ๋ามากอยู่แล้ว ฟังสำเนียงกันรื่นหู แน่นอนล่ะ และหนังก็ตอบโจทย์ความ feel good ได้ดีอีกครั้ง อาจจะดีกว่าหนังอีกเรื่องอีกด้วยซ้ำ มันเป็นหนังที่ชวนให้ลุ้นตาม ชวนให้เอาใจช่วย และดึงดูดเราเข้าไปหาตอนจบได้อย่างดงาม
.
ในแง่ของความบันเทิงในเรื่องนั้นต้องบอกก่อนว่าจะไม่ได้มาในรูปแบบของมุกตลกสักเท่าไร แต่มันจะตลกในความ "แปลก" (weird) ในฉากมากกว่า คือมันมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่ชวนให้เราตกใจตะลึง เพราะว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่คนอัมพาตทั้งตัวแบบโรบินจะทำได้

... แต่โรบินก็ทำแม่มหมดเลย คือเรื่องเหล่านี้มันจะเป็นแค่อะไรที่ธรรมดาๆ มากหากตัวเอกเป็นแค่ชายที่มีร่างกายปกติทั่วไป แต่พอมาเป็นคนที่ถูกพันธนาการร่างกายไว้กับเตียงตลอดชีวิตเพราะโรคร้ายแล้ว อะไรๆ มันก็ดูสนุกไปหมดเลย ทุกๆ อย่างคือความเป็นไปได้ทั้งนั้น
.
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คือการแสดงของ "แอนดรูว์ การ์ฟิลด์" ในฐานะชายพิการผู้สู้ชีวิตได้หมดจดมาก แอนดรูว์สอบผ่านทุกโจทย์ ทุกตำรา มีรางวัลอะไรก็โยนๆ ให้หมอนี่ไปเถอะให้ตายสิ คือการแสดงออกทางสีหน้า (facial expression) ของ "โรบิน" ในเรื่องมันประเมินค่าไม่ได้จริงๆ

ถ้าสังเกตดีๆเราก็จะเห็นว่าเวลาที่โรบินคุยกับใครสักคน เขาจะทำหน้ายิ้มแห้งๆ ยิ้มแบบเหยเกเสมอ กว่าจะเค้นคำพูดอะไรออกมาได้ คือมันบ่งบอกให้เราเข้าใจได้จริงๆ ว่าที่เขากำลังพูดอยู่เนี่ย ไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆ--มันต้องใช้ความพยายามมากจริงๆ คือการที่เขาเข้มแข็งเพื่อคนอื่นได้ขนาดนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เจ็บปวดนะ
.
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษก็คือบรรยากาศที่น่าอบอุ่นเหลือเกิน ระหว่างโรบินกับเหล่ามิตรสหายนับสิบนับร้อยของเขา ใครจะไปคาดคิดว่าคนที่รู้จักกันแค่ฉาบฉวยจะได้กลายมาเป็นมิตรแท้ชั่วชีวิตแบบนี้

ที่สำคัญคือมิตรสหายเหล่านี้คือคนที่เป็นเพื่อนกับโรบินด้วยอุปนิสัยใจคอจริงๆ คือพวกเขาสามารถเล่นมุกตลกหยอกล้อความพิการของโรบินได้แบบไม่ต้องระวังคำพูดคำจากัน และต่างฝ่ายต่างก็ไม่ถือมาเจ็บเคืองอะไร นี่แหละคือหัวใจสำคัญในการปฏิบัติกับเหล่าผู้ทุพพลภาพ คือปฏิบัติกับเขาให้เหมือนคนทั่วไปจริงๆ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ต้องการความสงสารตลอดเวลาแบบที่หลายๆ คนคิด
.
แต่กระนั้น หนังก็ไม่ได้นำเสนอชีวิตของโรบินแต่เพียงด้านบวกเท่านั้น โดยมิได้ละเลยความลำบากและข้อจำกัดต่างๆ ที่มาพร้อมกับอาการนี้เช่นกัน ทั้งๆ ที่หนังละส่วนที่น่าอนาถใจออกไปบ้างแล้ว (เช่นฉากขับถ่าย) แต่เราก็ยังรู้สึก "อิน" ได้อยู่ดีว่าที่เขาพยายามใช้ชีวิตอยู่นี่มันก็มีความลำบากนะ ทั้งลำบากกาย ลำบากใจ แต่ก็ต้องสู้เพื่อครอบครัวที่น่ารักจริงๆ
.
.
สรุปแล้วการผจญภัยผาดโผนบนวีลแชร์ของโรบิน ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ชวนสร้างแรงบันดาลใจได้ดีไม่แพ้ใคร มันเป็นเรื่องราวของการสู้ชีวิตของชายคนหนึ่งที่มีครอบครัวที่น่ารักคอยสนับสนุนอยู่เสมอ อาจมีเรื่องตลกขบขัน เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา หรือความยากลำบากตลอดช่วงชีวิตบ้าง แต่ไดอาน่าก็ยังไม่เคยหยุดที่จะเข็นโรบินไปข้างหน้าต่อไป เพราะชีวิตก็คือการสู้ชีวิต

เพราะโรบินไม่ได้อยากแค่ "อยู่รอด" ... แต่เขายังอยาก "ใช้ชีวิต" ให้เต็มที่อีกด้วย.

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่