ถึงเวลาลุยภูเขาฮาปาของจริงกันซักที! (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ความเดิมจากตอนที่แล้ว:
https://ppantip.com/topic/37029526
หลังจากที่พวกเรามาถึงหมู่บ้านฮาปาโดยสวัสดิภาพ จากนี้ไปพวกเราก็จะเริ่มเดินขึ้นเขากันอย่างจริง ๆจัง ๆ กันซักที มาต่อกันเลยนะครับ
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2017 – มุ่งสู่ฮาปาเบสแคมป์
เมื่อว่ากันถึงทางขึ้นฮาปาเบสแคมป์แล้ว โดยหลัก ๆ จะมีอยู่สามทางด้วยกัน ดังภาพด้านล่างนี้:
ทางขึ้นสู่ฮาปาเบสแคมป์หลัก ๆ ทั้งสามทาง(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ทางขึ้นทั้งสามเส้นทาง(เส้นซ้ายมือ เส้นกลาง และเส้นขวามือ) ระยะทางแตกต่างกัน และสภาพเส้นทางก็ไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งผมเองก็ไม่กล้าชี้ชัด ว่ามันแตกต่างกันยังไง เพราะเพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกัน
แต่เท่าที่หาข้อมูลมา ก็พอจะบอกได้คร่าว ๆ ว่า:
– เส้นซ้ายมือ จะสั้นสุด เพราะตรงไปที่เบสแคมป์เลย เป็นเส้นทางที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน เพราะเป็นทางม้าด้วย(สภาพเป็นทุ่งหญ้า)
– เส้นกลางจะยาวขึ้นมาอีกหน่อย แล้วได้เดินผ่านทะเลสาบวันไห่ด้วย
– ส่วนเส้นขวามือ ยาวที่สุด เหมาะกับคนที่อยากค่อย ๆ ปรับตัวกับความสูง โดยจะไปกางแคมป์ที่ทะเลสาบวันไห่ก่อน วันต่อมาจึงจะเดินไปเบสแคมป์(นอนเพิ่มอีกคืน)
ผมเลือกจะไปเส้นกลางครับ เพราะอยากไปเห็นทะเลสาบวันไห่ ดูในรูปแล้วสวยดี
รูปทะเลสาบวันไห่ที่ผมเสิรชเจอ(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
พอผมบอกว่าจะไปเส้นกลาง เฮียซื่อบอกว่า เราสามารถนั่งรถไปก่อนได้ ประหยัดเวลาได้อีกชม.ครึ่ง ผมเลยตกลงจ้างรถสองคัน คันละร้อยหยวน(ห้าร้อยบาท) ไปส่งยังจุดเริ่มเดินขึ้นเขา
ทางเดินเส้นกลางไปจนถึงทะเลสาบวันไห่ เดินสบาย ๆ ไม่ชันมากและไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคอะไรมากมาย เห็นเพื่อน ๆ ผมที่ชอบเดินป่าบอกว่าเทรลเดินสวยมาก ลองชมภาพกันดูนะครับ ไม่ต้องบรรยายอะไรมากมายเนอะ
ที่มีเมฆปกคลุมอยู่ไกล ๆ คือยอดภูเขาฮาปา
ก็เดินชิว ๆ กันไปครับ อากาศหนาวเย็น แต่เพราะแดดออกก็ชดเชยกันไป ออกมากำลังดี
แต่เมื่อพวกเราเดินถึงทะเลสาบวันไห่เท่านั้นแหล่ะ…ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูราบลื่นตั้งแต่ต้าหลี่ เปลี่ยนไปแบบทำเอาพวกเราตั้งตัวแทบไม่ทัน
หรือมันไม่ได้เปลี่ยนไป อาจจะเป็นไปได้ว่า นี่แหล่ะ คือตัวตนที่แท้จริงของภูเขาฮาปา ภูเขาที่ไม่มีอะไรแน่นอน
สิ่งที่เราพบเจอที่ทะเลสาบวันไห่ก็คือ…ลมแรงมากกกก
จากภาพ ทะเลสาบดูสงบ แต่จริง ๆ แล้วตัวพวกเราแทบจะปลิว
เฮียซื่อบอกผมว่า ลมที่นี่ยังเบา แถวยอดเขาแรงกว่านี้อีก –"
ลมแรงแถวทะเลสาบวันไห่
หนาวก็ว่าแย่แล้ว เจอลมแรงยิ่งหนักเข้าไปอีก
พวกเรารีบเดินกันเร็วขึ้น เพื่อที่จะได้ไปถึงเบสแคมป์ จะได้หลบลม เพราะระหว่างทางที่พวกเราเดิน แทบไม่มีที่ไหนให้หลบได้เลย เจอลมพัดใส่เต็ม ๆ เลยครับ
แต่พอผ่านทะเลสาบวันไห่ไป ผมนึกว่าอีกไม่นานก็ถึงเบสแคมป์ ที่ไหนได้ จริง ๆ แล้ว แถว ๆ นี้มีถึงสามทะเลสาบ! ผ่านวันไห่มา พวกเรายังเจออีกสองทะเลสาบอยู่ใกล้ ๆ กัน
แต่ละทะเลสาบ ชื่ออะไรบ้าง ผมก็ไม่รู้ครับ หมดอารมณ์จะถามไกด์ ลมพัดจนหน้าชา ไร้ความรู้สึกไปหมดแล้ว
นี่ทะเลสาบที่สองหรือสาม ผมก็ไม่แน่ใจ เจอลมพัดจนมึนไปหมด
ผ่านเนินนี่ไปก็จะถึงฮาปาเบสแคมป์แล้ว
และแล้วพวกเราก็มาถึงฮาปาเบสแคมป์กันจนได้ แถวเบสแคมป์ก็ลมแรงไม่แพ้ที่ทะเลสาบวันไห่เลย ผมรีบเผ่นเข้าห้องพักโดยฉับพลัน
พวกเรานอนกันสองห้อง แบ่งชาย-หญิง
สภาพที่นอนสะอาดสะอ้านดีครับ เหมือนว่าเขาเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอน และปลอกผ้าห่มใหม่ ซ๊อซื่อบอกผมก่อนที่จะมาว่า ให้เตรียมถุงนอนมาด้วย เพราะที่เบสแคมป์ ที่นอนสกปรกมาก พวกเราคงโชคดีที่มาตอนเขาทำความสะอาดใหม่พอดี
ตอนค่ำ ๆ พวกไกด์และทีมงานที่เบสแคมป์ก็มาตามพวกเราไปกินข้าว จริง ๆ แล้ว ผมไม่อยากออกไปจากที่นอนเลยครับ สภาพตอนนั้นนี่ เริ่มย่ำแย่แล้ว คงเพราะมีอาการแพ้ที่สูง และอ่อนเพลียจากการเดินทาง
แต่ก็ต้องออกไปอยู่ดี เพราะต้องคุยกับพวกไกด์เรื่องหมายกำหนดการของพรุ่งนี้
อาหารก็เป็นต้มผักรวมง่าย ๆ อีกหม้อรู้สึกจะเป็นไก่ต้ม
ระหว่างกินข้าว ทีมงานไกด์ก็คุย ๆ กันว่า ใครจะคอยดูแลพวกเราคนไหน โดยพวกเขาจะประกบเราหนึ่งต่อหนึ่ง เหตุผลก็เพื่อความปลอดภัย เพราะภูเขาหิมะค่อนข้างอันตรายกว่าภูเขาทั่วไปอยู่มาก
พอเลือกได้แล้ว ไกด์แต่ละคนก็จะแนะนำตัวเองกับคนที่จับคู่ด้วย จากนั้นพวกเขาก็นำCrampons(หนามเหล็กตะปู)มาวัดกับรองเท้าเรา เพื่อเซทขนาดเตรียมเอาไว้
เฮียซื่อเป็นคนดูแลผมวันรุ่งขึ้น เลยเอาCramponsมาวัดเท้าให้
เฮียซื่อนัดทีมของพวกเราว่า ให้เตรียมพร้อมตอนตีสี่ของวันรุ่งขึ้น พวกเราจึงแยกย้ายกันกลับที่นอน มีทีมงานไกด์บางคนตามมาสอนวิธีใช้อุปกรณ์พิเศษให้ถึงห้องพัก แต่ผมไม่ไหวแล้วครับ ขอนอนก่อนเลย สภาพร่างกายตอนนั้นนี่ ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่า พรุ่งนี้ผมจะปีนถึงยอดเขาได้ยังไง
วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2017 – ความเป็นจริงของภูเขาหิมะ
และแล้ววันนี้ก็มาถึง เป็นเวลากว่าสองปีมาแล้วที่ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาหิมะฮาปา วันนี้ จะเป็นวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยอ่านมาเกี่ยวกับมัน จะได้มาปรากฏต่อสายตาของผม
เมื่อคืนผมแทบนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะว่าตื่นเต้น แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ มารู้ทีหลังจากรุ่นพี่ที่มาด้วยกัน เขาบอกว่า มันเป็นอาการหนึ่งของโรคแพ้ที่สูง ซึ่งนอกจากผมแล้ว ในทีมพวกเราก็นอนไม่หลับกันหลายคนเหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะย่ำแย่ยังไง เมื่อมาถึงแล้ว เราก็ต้องลองกันซักตั้ง พวกเราตื่นกันตอนตีสามเพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาตอนตีสี่ตามหมายกำหนดการ
ทีมงานไกด์ก็พร้อมแล้ว
ไกด์ช่วยเพื่อนของผมใส่เข็มขัดนิรภัย
พร้อมออกปีน
เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเราและทีมไกด์ก็ออกเดินจากเบสแคมป์อย่างเชื่องช้า เป็นการเดินเขาที่ช้าที่สุดที่ผมเคยเห็น คงเพราะแค่จุดเริ่มต้นนี่ มันก็สูง 4100 เมตร เข้าไปแล้ว
ปกติผมมักจะออกนำเสมอ แต่ด้วยสภาพร่างกายย่ำแย่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวาน(กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถ่ายไม่ออก หมดแรงกับการเดินมาเบสแคมป์ ขาเจ็บ ครบสูตร –") วันนี้ผมเดินไม่ออกเลยครับ เดินไปก็หอบไป พักทุก ๆ สิบก้าว
ส่องไฟเดินตาม ๆ กันไป
เดินได้ไม่นานก็ต้องพักกันเป็นระยะ อากาศเบาบางเกิ้น
ทางเดินช่วงแรกจะเป็นดงพุ่มไม้ หลังจากนั้นไม่นานเราก็จะต้องเดินยาวบนแผ่นหิน ยาวมาก ๆ เดินกันเป็นชม. ๆ ยังไม่หมดซักที –"
แผนที่ช่วงแรกของการพิชิตยอดเขาฮาปา(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ตามแผนที่ข้างบน พอเราถึงระดับ 4700 เมตร จะมีลมแรง ซึ่งก็เป็นไปตามคาด แต่ผมก็ไม่แปลกใจอะไรแล้วล่ะ เพราะโดนลมซัดซะอ่วมตั้งแต่ทะเลสาบวันไห่แล้ว --"
แต่….... มันแย่ไปกว่านั้นน่ะสิ --"
สิ่งที่เราเจอ มันแย่กว่าลมแรง(ที่เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อากาศจะดีหรือไม่ดี ลมก็แรง) สิ่งที่เพิ่มมาก็คือ พายุหมอก เป็นหมอกหนาและปกคลุมไปทั่วบริเวณภูเขา จะมองหน้า มองหลัง มองซ้าย มองขวา หมอกอยู่รอบตัวพวกเราเต็มไปหมด
ตอนนั้นเป็นช่วงฟ้าสางแล้ว แต่แทนที่เราจะมองเห็นได้ชัดเจน ทุกอย่างกลับขมุกขมัวไปหมด
ในขณะนั้น ผมซึ่งอยู่ในกลุ่มแถวหน้า เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เลยสอบถามกับเฮียซื่อว่า หมอกจะหายไปไหม อาเฮียบอกว่า จากประสบการณ์แล้ว วันนี้บนยอดคงมองไม่เห็นอะไรทั้งวัน
ผมเลยคุยกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มแถวหน้าว่า เราต้องตัดสินใจกันแล้วล่ะ ว่าจะไปต่อ หรือยกเลิก ถ้าไปต่อ เราอาจถึงยอดได้ แต่คงมองไม่เห็นวิวอะไรเลย( ทุกอย่างเป็นสีขาวหมด)
ว่ากันตามความรู้สึกส่วนตัว ผมมาที่นี่ ไม่ใช่มาเพื่อพิชิตยอดเขาเฉย ๆ แต่ผมอยากมาดูวิวสวย ๆ บนยอดเขาด้วย ถ้าขึ้นยอดไปแล้วมองไม่เห็นความสวยงามใด ๆ ผมก็ไม่อยากไปต่อ
เพื่อน ๆ ผมที่แต่ละคนก็เป็นพวกตากล้องกันหมดก็ดูจะเห็นด้วยว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนขึ้นไปบนยอดเขา ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจยกเลิกภารกิจเพียงเท่านี้ หยุดเส้นทางของพวกเราเอาไว้ที่ 4700 เมตร
เฮียซื่อส่งสัญญานวิทยุลงไปบอกกลุ่มด้านหลังถึงการตัดสินใจของพวกเราด้านหน้า จากนั้นพวกเราก็ทำใจเดินลงตาม ๆ กันไป
ภูเขาหิมะฮาปา ตอนที่ 2.2: เผชิญตัวตนที่แท้จริงของภูเขาหิมะฮาปา
ถึงเวลาลุยภูเขาฮาปาของจริงกันซักที! (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ความเดิมจากตอนที่แล้ว: https://ppantip.com/topic/37029526
หลังจากที่พวกเรามาถึงหมู่บ้านฮาปาโดยสวัสดิภาพ จากนี้ไปพวกเราก็จะเริ่มเดินขึ้นเขากันอย่างจริง ๆจัง ๆ กันซักที มาต่อกันเลยนะครับ
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2017 – มุ่งสู่ฮาปาเบสแคมป์
เมื่อว่ากันถึงทางขึ้นฮาปาเบสแคมป์แล้ว โดยหลัก ๆ จะมีอยู่สามทางด้วยกัน ดังภาพด้านล่างนี้:
ทางขึ้นสู่ฮาปาเบสแคมป์หลัก ๆ ทั้งสามทาง(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ทางขึ้นทั้งสามเส้นทาง(เส้นซ้ายมือ เส้นกลาง และเส้นขวามือ) ระยะทางแตกต่างกัน และสภาพเส้นทางก็ไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งผมเองก็ไม่กล้าชี้ชัด ว่ามันแตกต่างกันยังไง เพราะเพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกัน
แต่เท่าที่หาข้อมูลมา ก็พอจะบอกได้คร่าว ๆ ว่า:
– เส้นซ้ายมือ จะสั้นสุด เพราะตรงไปที่เบสแคมป์เลย เป็นเส้นทางที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน เพราะเป็นทางม้าด้วย(สภาพเป็นทุ่งหญ้า)
– เส้นกลางจะยาวขึ้นมาอีกหน่อย แล้วได้เดินผ่านทะเลสาบวันไห่ด้วย
– ส่วนเส้นขวามือ ยาวที่สุด เหมาะกับคนที่อยากค่อย ๆ ปรับตัวกับความสูง โดยจะไปกางแคมป์ที่ทะเลสาบวันไห่ก่อน วันต่อมาจึงจะเดินไปเบสแคมป์(นอนเพิ่มอีกคืน)
ผมเลือกจะไปเส้นกลางครับ เพราะอยากไปเห็นทะเลสาบวันไห่ ดูในรูปแล้วสวยดี
รูปทะเลสาบวันไห่ที่ผมเสิรชเจอ(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
พอผมบอกว่าจะไปเส้นกลาง เฮียซื่อบอกว่า เราสามารถนั่งรถไปก่อนได้ ประหยัดเวลาได้อีกชม.ครึ่ง ผมเลยตกลงจ้างรถสองคัน คันละร้อยหยวน(ห้าร้อยบาท) ไปส่งยังจุดเริ่มเดินขึ้นเขา
ทางเดินเส้นกลางไปจนถึงทะเลสาบวันไห่ เดินสบาย ๆ ไม่ชันมากและไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคอะไรมากมาย เห็นเพื่อน ๆ ผมที่ชอบเดินป่าบอกว่าเทรลเดินสวยมาก ลองชมภาพกันดูนะครับ ไม่ต้องบรรยายอะไรมากมายเนอะ
ที่มีเมฆปกคลุมอยู่ไกล ๆ คือยอดภูเขาฮาปา
ก็เดินชิว ๆ กันไปครับ อากาศหนาวเย็น แต่เพราะแดดออกก็ชดเชยกันไป ออกมากำลังดี
แต่เมื่อพวกเราเดินถึงทะเลสาบวันไห่เท่านั้นแหล่ะ…ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูราบลื่นตั้งแต่ต้าหลี่ เปลี่ยนไปแบบทำเอาพวกเราตั้งตัวแทบไม่ทัน
หรือมันไม่ได้เปลี่ยนไป อาจจะเป็นไปได้ว่า นี่แหล่ะ คือตัวตนที่แท้จริงของภูเขาฮาปา ภูเขาที่ไม่มีอะไรแน่นอน
สิ่งที่เราพบเจอที่ทะเลสาบวันไห่ก็คือ…ลมแรงมากกกก
จากภาพ ทะเลสาบดูสงบ แต่จริง ๆ แล้วตัวพวกเราแทบจะปลิว
เฮียซื่อบอกผมว่า ลมที่นี่ยังเบา แถวยอดเขาแรงกว่านี้อีก –"
ลมแรงแถวทะเลสาบวันไห่
หนาวก็ว่าแย่แล้ว เจอลมแรงยิ่งหนักเข้าไปอีก
พวกเรารีบเดินกันเร็วขึ้น เพื่อที่จะได้ไปถึงเบสแคมป์ จะได้หลบลม เพราะระหว่างทางที่พวกเราเดิน แทบไม่มีที่ไหนให้หลบได้เลย เจอลมพัดใส่เต็ม ๆ เลยครับ
แต่พอผ่านทะเลสาบวันไห่ไป ผมนึกว่าอีกไม่นานก็ถึงเบสแคมป์ ที่ไหนได้ จริง ๆ แล้ว แถว ๆ นี้มีถึงสามทะเลสาบ! ผ่านวันไห่มา พวกเรายังเจออีกสองทะเลสาบอยู่ใกล้ ๆ กัน
แต่ละทะเลสาบ ชื่ออะไรบ้าง ผมก็ไม่รู้ครับ หมดอารมณ์จะถามไกด์ ลมพัดจนหน้าชา ไร้ความรู้สึกไปหมดแล้ว
นี่ทะเลสาบที่สองหรือสาม ผมก็ไม่แน่ใจ เจอลมพัดจนมึนไปหมด
ผ่านเนินนี่ไปก็จะถึงฮาปาเบสแคมป์แล้ว
และแล้วพวกเราก็มาถึงฮาปาเบสแคมป์กันจนได้ แถวเบสแคมป์ก็ลมแรงไม่แพ้ที่ทะเลสาบวันไห่เลย ผมรีบเผ่นเข้าห้องพักโดยฉับพลัน
พวกเรานอนกันสองห้อง แบ่งชาย-หญิง
สภาพที่นอนสะอาดสะอ้านดีครับ เหมือนว่าเขาเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอน และปลอกผ้าห่มใหม่ ซ๊อซื่อบอกผมก่อนที่จะมาว่า ให้เตรียมถุงนอนมาด้วย เพราะที่เบสแคมป์ ที่นอนสกปรกมาก พวกเราคงโชคดีที่มาตอนเขาทำความสะอาดใหม่พอดี
ตอนค่ำ ๆ พวกไกด์และทีมงานที่เบสแคมป์ก็มาตามพวกเราไปกินข้าว จริง ๆ แล้ว ผมไม่อยากออกไปจากที่นอนเลยครับ สภาพตอนนั้นนี่ เริ่มย่ำแย่แล้ว คงเพราะมีอาการแพ้ที่สูง และอ่อนเพลียจากการเดินทาง
แต่ก็ต้องออกไปอยู่ดี เพราะต้องคุยกับพวกไกด์เรื่องหมายกำหนดการของพรุ่งนี้
อาหารก็เป็นต้มผักรวมง่าย ๆ อีกหม้อรู้สึกจะเป็นไก่ต้ม
ระหว่างกินข้าว ทีมงานไกด์ก็คุย ๆ กันว่า ใครจะคอยดูแลพวกเราคนไหน โดยพวกเขาจะประกบเราหนึ่งต่อหนึ่ง เหตุผลก็เพื่อความปลอดภัย เพราะภูเขาหิมะค่อนข้างอันตรายกว่าภูเขาทั่วไปอยู่มาก
พอเลือกได้แล้ว ไกด์แต่ละคนก็จะแนะนำตัวเองกับคนที่จับคู่ด้วย จากนั้นพวกเขาก็นำCrampons(หนามเหล็กตะปู)มาวัดกับรองเท้าเรา เพื่อเซทขนาดเตรียมเอาไว้
เฮียซื่อเป็นคนดูแลผมวันรุ่งขึ้น เลยเอาCramponsมาวัดเท้าให้
เฮียซื่อนัดทีมของพวกเราว่า ให้เตรียมพร้อมตอนตีสี่ของวันรุ่งขึ้น พวกเราจึงแยกย้ายกันกลับที่นอน มีทีมงานไกด์บางคนตามมาสอนวิธีใช้อุปกรณ์พิเศษให้ถึงห้องพัก แต่ผมไม่ไหวแล้วครับ ขอนอนก่อนเลย สภาพร่างกายตอนนั้นนี่ ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่า พรุ่งนี้ผมจะปีนถึงยอดเขาได้ยังไง
วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2017 – ความเป็นจริงของภูเขาหิมะ
และแล้ววันนี้ก็มาถึง เป็นเวลากว่าสองปีมาแล้วที่ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาหิมะฮาปา วันนี้ จะเป็นวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยอ่านมาเกี่ยวกับมัน จะได้มาปรากฏต่อสายตาของผม
เมื่อคืนผมแทบนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะว่าตื่นเต้น แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ มารู้ทีหลังจากรุ่นพี่ที่มาด้วยกัน เขาบอกว่า มันเป็นอาการหนึ่งของโรคแพ้ที่สูง ซึ่งนอกจากผมแล้ว ในทีมพวกเราก็นอนไม่หลับกันหลายคนเหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะย่ำแย่ยังไง เมื่อมาถึงแล้ว เราก็ต้องลองกันซักตั้ง พวกเราตื่นกันตอนตีสามเพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาตอนตีสี่ตามหมายกำหนดการ
ทีมงานไกด์ก็พร้อมแล้ว
ไกด์ช่วยเพื่อนของผมใส่เข็มขัดนิรภัย
พร้อมออกปีน
เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเราและทีมไกด์ก็ออกเดินจากเบสแคมป์อย่างเชื่องช้า เป็นการเดินเขาที่ช้าที่สุดที่ผมเคยเห็น คงเพราะแค่จุดเริ่มต้นนี่ มันก็สูง 4100 เมตร เข้าไปแล้ว
ปกติผมมักจะออกนำเสมอ แต่ด้วยสภาพร่างกายย่ำแย่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวาน(กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถ่ายไม่ออก หมดแรงกับการเดินมาเบสแคมป์ ขาเจ็บ ครบสูตร –") วันนี้ผมเดินไม่ออกเลยครับ เดินไปก็หอบไป พักทุก ๆ สิบก้าว
ส่องไฟเดินตาม ๆ กันไป
เดินได้ไม่นานก็ต้องพักกันเป็นระยะ อากาศเบาบางเกิ้น
ทางเดินช่วงแรกจะเป็นดงพุ่มไม้ หลังจากนั้นไม่นานเราก็จะต้องเดินยาวบนแผ่นหิน ยาวมาก ๆ เดินกันเป็นชม. ๆ ยังไม่หมดซักที –"
แผนที่ช่วงแรกของการพิชิตยอดเขาฮาปา(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ตามแผนที่ข้างบน พอเราถึงระดับ 4700 เมตร จะมีลมแรง ซึ่งก็เป็นไปตามคาด แต่ผมก็ไม่แปลกใจอะไรแล้วล่ะ เพราะโดนลมซัดซะอ่วมตั้งแต่ทะเลสาบวันไห่แล้ว --"
แต่….... มันแย่ไปกว่านั้นน่ะสิ --"
สิ่งที่เราเจอ มันแย่กว่าลมแรง(ที่เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อากาศจะดีหรือไม่ดี ลมก็แรง) สิ่งที่เพิ่มมาก็คือ พายุหมอก เป็นหมอกหนาและปกคลุมไปทั่วบริเวณภูเขา จะมองหน้า มองหลัง มองซ้าย มองขวา หมอกอยู่รอบตัวพวกเราเต็มไปหมด
ตอนนั้นเป็นช่วงฟ้าสางแล้ว แต่แทนที่เราจะมองเห็นได้ชัดเจน ทุกอย่างกลับขมุกขมัวไปหมด
ในขณะนั้น ผมซึ่งอยู่ในกลุ่มแถวหน้า เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เลยสอบถามกับเฮียซื่อว่า หมอกจะหายไปไหม อาเฮียบอกว่า จากประสบการณ์แล้ว วันนี้บนยอดคงมองไม่เห็นอะไรทั้งวัน
ผมเลยคุยกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มแถวหน้าว่า เราต้องตัดสินใจกันแล้วล่ะ ว่าจะไปต่อ หรือยกเลิก ถ้าไปต่อ เราอาจถึงยอดได้ แต่คงมองไม่เห็นวิวอะไรเลย( ทุกอย่างเป็นสีขาวหมด)
ว่ากันตามความรู้สึกส่วนตัว ผมมาที่นี่ ไม่ใช่มาเพื่อพิชิตยอดเขาเฉย ๆ แต่ผมอยากมาดูวิวสวย ๆ บนยอดเขาด้วย ถ้าขึ้นยอดไปแล้วมองไม่เห็นความสวยงามใด ๆ ผมก็ไม่อยากไปต่อ
เพื่อน ๆ ผมที่แต่ละคนก็เป็นพวกตากล้องกันหมดก็ดูจะเห็นด้วยว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนขึ้นไปบนยอดเขา ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจยกเลิกภารกิจเพียงเท่านี้ หยุดเส้นทางของพวกเราเอาไว้ที่ 4700 เมตร
เฮียซื่อส่งสัญญานวิทยุลงไปบอกกลุ่มด้านหลังถึงการตัดสินใจของพวกเราด้านหน้า จากนั้นพวกเราก็ทำใจเดินลงตาม ๆ กันไป