ทัวร์นี้เดินทางวันที่ 4 กุมภา – 14 กุมภา ของปีนี้ค่ะ กลับมาสักพักแล้ว (สักพักคือเกือบปี ^^”) ตอนแรกขี้เกียจเขียน แต่นึกถึงตอนที่ตัวเองพยายามหาข้อมูลการไปเที่ยวประเทศนี้ช่วงเวลานี้ค่อนข้างยาก (แหงสิ! หนาวจะตาย ใครจะไป) ก็เลยเขียนทิ้งไว้เผื่อใครที่คิดว่าจะไปเที่ยวเวลานี้
แต่ที่จริงอาจจะไม่ได้ข้อมูลเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก รูปถ่ายก็ไม่สวย ไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องด้วยภาพนัก เราถนัดเป็นตัวอักษรน่ะค่ะ เรียกได้ว่าเป็นบันทึกการเดินทางน่าจะเหมาะกว่า จขกท เน้นดูงานศิลปะ บันทึกนี้จะมีความเวิ่นเว้อสูงเอาเรื่องอยู่นะคะ เลยขออนุญาต tag ในถนนนักเขียนด้วย (แต่ดันไม่มี tag งานประพันธ์อื่นๆ เลยแปะตรงเรื่องสั้นแทนแล้วกันนะคะ)
วันและเมืองที่เที่ยวจากใต้ขึ้นเหนือค่ะ เริ่มที่โรม กลับที่มิลาน และอุณหภูมิที่เจอจะเริ่มที่ 15 องศา และไปจบที่ประมาณ 5 องศาที่มิลาน (ยิ่งสูงยิ่งหนาวเนาะ)
4 กุมภา – 7 กุมภา (3 คืน 4 วัน) – @ Rome (4th นอนสลบ ; 5th โคลอสเซียม; 6th วาติกัน; 7th ออกเดินทาง)
7 กุมภา – 10 กุมภา (3 คืน 4 วัน) – @ Florence (7th Duomo โลด; 8th ไปเมือง Siena; 9th มีนัดกับวีนัสกับเดวิด; 10th ออกเดินทาง)
10 กุมภา – 13 กุมภา (2 คืน 3 วัน) -- @ Venice (10th โต๋เต๋; 11th วันแรกของ Carnival; 12th ออกเดินทาง)
13 กุมภา – 14 กุมภา (1 คืน 2 วัน) -- @ Milan (13th ช้อปโลด; 14th ขึ้นเครื่องกลับละจ้า)
สังเกตได้ว่า อยู่แต่ละเมืองค่อนข้างนาน ปกติเป็นพวกเที่ยวแบบกินบรรยากาศของแต่ละเมืองค่ะ มองดูคนท้องถิ่นไปเรื่อย พูดคุยกับเขา นั่งจิบกาแฟมองถนน ไม่เน้นสถานที่ท่องเที่ยวสักเท่าไร ยกเว้นพวกพิพิธภัณฑ์นะคะ ถึงไหนถึงกันค่ะ ส่วนเรื่องช้อปปิ้งค่อนข้างน้อย ขี้เกียจทำ Tax Refund แต่สุดท้ายก็มีอยู่ดีในวันสุดท้ายที่ Milan ค่ะ
เตรียมตัวก่อนไป
- การทำวีซ่า --> หาได้ในกระทู้อื่นๆ ค่ะ กระทู้นี้ขอไม่พูดถึง ของเราเตรียมอลังการ ครั้งเดียวผ่าน ใช้เวลาทำแค่ 2 วันเท่านั้น สงสัยคนไปเที่ยวน้อย (ตอนแรกก็กลัวอยู่ว่าจะไม่ทัน เสียงลือเสียงเล่าอ้างวีซ่าอิตาลียากและนาน)
- ตั๋วเครื่องบิน --> บิน Etihad ค่ะ 7 ชั่วโมงลงที่ Abudabi แล้วกระโดดต่ออีก 7 ชั่วโมง สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 23,000 บาทค่ะ
- จองบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์ หลักๆ เลยแนะนำให้จองวาติกัน เพราะคิวยาวเหยียดชัวร์ ส่วนที่อื่นเราไม่ได้จองค่ะ ไปตายเอาดาบหน้าเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวอยู่แล้ว ซึ่งผลปรากฏว่าเป็นไปตามคาดค่ะ วาติกันแถวยาวมาก แต่พอไปที่เมือง Florence สบายๆ เลยค่ะ walk-in ได้เลย
- เสื้อผ้า --> อันนี้สำคัญค่ะ ช่วงที่ไปเช็คอากาศด้วยนะคะ ไม่ใช่เช็คแค่ที่อิตาลี แต่ควรเช็คที่ที่เราไปเปลี่ยนเครื่องด้วย จะได้เตรียมเสื้อผ้าเหมาะสม
ประมาณ 5 – 15 องศา พอดีฝนตกด้วย อากาศเลยเหวี่ยงมาก
ท่อนบน -- 1. หมวกปิดหู 2. เสื้อลองจอน 2. Heat-Tech หรือ Heat-Tech Fleece 3. เสื้อ Down 4. ผ้าพันคอ (ท่อนบนใส่ประมาณนี้ตลอด ผ้าพันคอหนาหรือบางแล้วแต่อุณหภูมิ ถุงมือแต่ใส่ตอนประมาณ 5 องศา)
ท่อนล่าง – 1. ลองจอนบุขน 2. กางเกงยีนส์ 3. ถุงเท้าหนา (แต่ถ้าอยู่ที่ต่ำกว่า 10 องศา เราจะใส่ถุงน่อง Heat-Tech เพิ่มอีกตัว) 4. รองเท้าผ้าใบ
ถุงเท้า – จะบอกว่าไม่ต้องซื้อถุงเท้าไฮโซเลยค่ะ เราไปได้ถุงเท้าคู่หนึ่งในร้าน 60 บาท แบบหนา ตอนที่ซื้อเพราะกะว่าจะใช้ใส่แทนรองเท้าแตะเดินในบ้านกรณีที่ที่พักที่ไปอาจไม่มีให้ ซื้อไปแค่คู่เดียวเอง ที่ไหนได้ เราใช้มันทั้งทริปอยู่คู่เดียวนี่แหละค่ะ คู่อื่นไม่แตะเลย ซักแล้วซักอีก กลับมาที่ไทยเยินเรียบร้อย ใช้คุ้มมาก ทนอุณหภูมิได้ต่ำกว่า 5 องศาสบายๆ (แต่ไม่ต่ำกว่า 0 นะ) ใส่กับรองเท้าผ้าใบด้วยนะเออ
รองเท้า – มีแต่คนแนะนำให้ใส่บู้ทไปเพราะอากาศเย็น ชั่งใจอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เลือกรองเท้าผ้าใบแล้วไปใส่ถุงเท้าหนาๆ เอา เพราะมั่นใจว่าเดินเยอะชัวร์ ใส่บู้ทคงทรมานเกิน ผลที่ได้คือ คิดถูกที่เอาผ้าใบไปค่ะ ลองดูในมือถือแอปเปิ้ลตัวเอง เดินวันละประมาณ 20 กิโลได้ ไม่ใช่รองเท้าผ้าใบนี่อาจตายได้เลย
เนื่องจากทัวร์นี้ซักผ้าตลอดศก จะบอกว่าเอาเสื้อผ้าไปเยอะก็ไม่เชิง เรียกว่าเอาไปหลายแบบน่าจะดีกว่า เพราะตอนที่ไปไม่รู้เลยว่าเราจะไปเจอพิสัยอุณหภูมิขนาดไหน เยอะแบบไว้ก่อน ถ้าร้อนค่อยถอดเอา ถ้าหนาวอย่างน้อยก็มีพอ
-
ของจุกจิก – เราเอาของเล็กๆ น้อยๆ ดูไร้สาระไปเยอะค่ะ แต่เอาเข้าจริงได้ใช้หมดเลยนะ ตั้งแต่ ไม้แขวนเสื้อ ไม้หนีบผ้า (ทัวร์ซักผ้าไง) Tupperware และช้อนส้อม อ้อ เลือกแบบที่มีรูที่ฝา แล้วก็ทนอุณหภูมิได้ถึง 120 องศาค่ะ เครื่องเขียน แม็ก กรรไกร กระดาษกาว ถุงซิป บับเบิลห่อของ ไฟฉาย ปลั๊กสามตา ปลั๊กแบบ Universal ร่ม ทิชชู่เปียก อุปกรณ์เย็บผ้า ฯลฯ สามารถหาในอินเตอร์เน็ตสำหรับของที่ควรเตรียมในการเดินทางค่ะ แต่ข้างบนนั่นยกตัวอย่างบางอันที่เขาไม่ได้มีให้ แต่รูปแบบการเที่ยวของเรามันได้ใช้ ก็แล้วแต่ ธรรมชาติของใครของมันแล้วกันนะคะ
ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในทริปนี้
เคสแรก เป็นเรื่องการจองรถไฟในอิตาลีค่ะ ในเวบ
http://www.trenitalia.com ที่จองๆ กันนี่แหละค่ะ ปกติเวลาที่จอง คนส่วนใหญ่คงจะใส่เฉพาะวันที่จะไป จากนั้นก็เลือกเวลาให้เป็น 00 แล้วมันจะขึ้นมาเป็นเวลาต่างๆ ให้เลือกเป็นสิบๆ ตารางเวลา เราจึงค่อยเลือกเวลาที่เราต้องการ
ทีนี้เราดันไปเลือกช่วงเวลาที่ต้องการไว้ เช่น เราดันไปเลือก 11 โมง ตามรูป มันก็จะขึ้นเฉพาะตารางเวลาตั้งแต่ 11 โมงเป็นต้นไป ซึ่งฟังแล้วไม่น่ามีอะไรเนอะ แต่ประเด็นคือ เราจองที่เมืองไทยตอนประมาณสี่หรือห้าทุ่ม จำไม่ได้ค่ะ จองเรียบร้อย (แบบไม่สามารถ refund ได้ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เราเดินทางตามแผนอยู่แล้ว) แต่อิตอนปริ๊นต์ตั๋วออกมา จากเดิมที่เลือกวันที่ 24 กลายเป็นวันที่ 25 เฉยเลยคร่า
ตอนแรกนึกว่าเราเลือกพลาด แต่เราจองตั๋วสำหรับ 3 เมือง 2 เมืองพลาด อีกเมืองไม่พลาด งานนี้เราว่าไม่ใช่ความเลินเล่อของตัวเองแน่นอน ถ้าพลาด 1 อาจจะคิดแบบนั้นแต่นี่พลาดไป 2 ไม่ใช่แน่ เราจ้องแล้วจ้องอีกว่าเราทำเรียบร้อยดีแน่นอนค่ะ เลยมานั่งคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันไม่พลาดทั้งหมด ก็นึกได้ว่า ตารางที่ไม่พลาด คืออันที่เราเลือกแบบเวลา 00 เพราะเราอยากรู้ว่าเวลาทั้งหมดที่มีของเมืองนั้นคืออะไร พอเลือกลักษณะนี้ก็ไม่พลาดค่ะ
หลังจากนั้นพยายามหาข้อมูล คนไทยที่ไปแล้วเขียนรีวิวไม่มีพูดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ เลยต้องไปหาใน tripadvisor ก็พบว่ามันเป็นเรื่องของระบบคำนวณเวลาในการจองข้ามช่วงเวลาแบบนี้ มีหลายคนที่เจอ บางคนก็ได้เงินคืน บางคนก็ไม่ ซึ่งเราอยู่ในพวกหลังค่ะ พยายามติดต่อการรถไฟเขาตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทย ยันไปอิตาลี (ให้เจ้าของที่พักที่พูดภาษาอังกฤษได้ช่วยคุยให้) กระทั่งกลับมาแล้วก็ไม่ได้คืน เสียไป 4 พันฟรีๆ เพราะระบบการจองแบบเซ็งกับชีวิตมากมาย
เตือนไว้เลยค่ะ ระวังเรื่องนี้ด้วย เราบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะการเลือกเวลาจาก 00 ใช่วิธีที่ดีที่สุดหรือเปล่า มันอาจจะไม่ใช่ตามที่เราสันนิษฐานก็ได้ แต่เวลาที่คุณจะจองก็เลือกเวลาที่จะจองหน่อยแล้วกันค่ะ ของเพื่อนเราเขาบอกว่าเขาจะเปลี่ยนเวลาในคอมให้เป็นเวลายุโรปไปเลยแล้วค่อยจอง จะได้ไม่มีปัญหา ซึ่งวิธีนี้ไม่รู้โอเคหรือเปล่านะคะ แต่ก็ดูเมคเซนส์นะ
เคสที่สอง ไม่ใช่ของตัวเองหรอกค่ะ มีรุ่นน้องเล่าให้ฟังว่าเพื่อนของตัวเอง (ซึ่งไปในเวลาไล่เลี่ยกับเรา) เขาเช่ารถแล้วขับเที่ยว เส้นทางของเขาคือจากมิลานทางเหนือ ลงมาทางใต้ที่โรม ทีนี้ระหว่างทางมันจะเป็นเมืองปิซ่าที่ทุกคนจะไปดูหอเอนกัน ทีนี้จอดรถไว้ในที่จอดแล้วลงไปถ่ายรูป พอกลับมาอีกครั้ง กระเป๋าเดินทางในรถหายไปค่ะ รถถูกทุบกระจกแตก
ข้างในกระเป๋าเดินทางมีพวกของแบรนด์เนมที่ซื้อให้ตัวเองมั่ง คนฝากซื้อมั่ง เลยไปแจ้งความ ผลที่ได้คือ ตำรวจอิตาลียิ้มแห้งๆ แล้วยักไหล่ เลยทำใจไว้ได้เลยว่าไม่ได้ของคืนชัวร์
เราไม่ได้ถามต่อว่าเขาต้องดำเนินการอะไรอย่างไรบ้างน่ะนะคะ แต่ยกเคสขึ้นมาให้เผื่อใครที่วางแผนขับรถเที่ยวก็จะได้มีข้อมูลไว้ว่าควรระมัดระวังยังไงดี
ทริกในการเอาตัวรอดในอิตาลี ดินแดนที่หลายคนเตือนเรื่องมิจฉาชีพ
1. ข้อตกลงที่เราใช้กันในทัวร์นี้ คือ “เราจะไม่ช่วยใคร และไม่ให้ใครมาช่วย”
จุดนี้สำคัญมากจริงๆ สำหรับการเดินทางผู้หญิงสองคนในอิตาลี และเป็นสิ่งที่ทำให้เรารอดปลอดภัยจากประเทศที่มีแต่คนบอกว่าให้ระวังมิจฉาชีพค่ะ
ถ้าเราพบคนจีนหรือคนอิตาลีเข้ามาหา เราจะเป็นคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถ้าเราพบคนไทย เราจะเป็นคนจีนที่พูดภาษาไทยไม่ได้ พูดง่ายๆ ใครที่ส่งภาษาใดๆ ใส่เรา เราจะตอบเขาในภาษาที่เรามั่นใจว่าเขาจะฟังเราไม่เข้าใจน่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าเราแล้งน้ำใจ แต่ในต่างแดน เราเองก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ต่อให้ถามอะไรมาเราก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ใช้วิธีนี้เลี่ยงดีที่สุด ไม่เสียน้ำใจด้วย แล้วตัวเขาเองก็ไม่ต้องมาเสียเวลากับเรา สามารถถามคนอื่นได้
แต่ใช่ว่าเราจะไม่ได้ถามใครแล้วงมเองทุกอย่าง มีบ้างที่เราต้องขอความช่วยเหลือคนอื่น ส่วนมากคนที่เราเลือกก็จะเป็นคนที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในร้านที่ดูแล้วงานหลักของเขาคือยืนอยู่ข้างในนั้นน่ะค่ะ อย่างน้อยที่สุด เราก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเขาไม่ใช่มิจฉาชีพปลอมตัวมา
2. ไม่เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น เคยได้ยินว่าเวลาไปซื้อตั๋วจากเครื่อง มักจะมีมิจฉาชีพคอยดักนักท่องเที่ยวอยู่ ส่วนตัวเราไม่สนใจอะไรกับเครื่องขายตั๋วทั้งนั้น เดินเข้าร้านขายบุหรี่อย่างเดียวเลยค่ะ ซื้อเป็นแบบตั๋ววันไปเลย แพงกว่ารายเที่ยวแต่ตัดปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ออกไปได้นับว่าคุ้มสำหรับเรานะ
3. เราพยายามหัดอ่านออกเสียงภาษาอิตาเลียน มันช่วยได้เยอะในเรื่องของการถามทางกับคนอิตาลีค่ะ ก่อนไปเรานั่งดู youtube สอนออกเสียงภาษาอิตาเลียนเบื้องต้นอยู่บ้าง เอาหนังสือสอนภาษาอิตาเลียนมานั่งดู (จริงๆ แค่สิบนาทีแหละ ไม่มีเวลา แต่อย่างน้อยก็ผ่านตานะ) เมื่อเวลามีชื่อสถานที่หรือชื่อใดๆ ก็ตามที่เราต้องการถาม เขาจะได้เข้าใจสิ่งที่เราต้องการได้ทันที
มีคนบอกว่าคนอิตาเลียนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่จริงๆ แล้ว เวลาไปในสถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากก็เจอคนพูดภาษาอังกฤษได้เสียส่วนใหญ่นะคะ คือ พอเราออกเสียงแบบอิตาเลียน เขาจะเข้าใจเป็นคำๆ แล้วรู้ว่าเราต้องการอะไร เขาก็จะพยายามอธิบายให้เราฟังค่ะ พอรู้ระบบเสียงของอิตาเลียน ช่วยให้เข้าใจได้เยอะมากจริงๆ รู้ไว้มีชัยไปกว่าครึ่ง
แต่ส่วนหนึ่งที่เราได้ค่อนข้างเร็วเพราะพอพูดสเปนได้อยู่แล้ว สำเนียงและการออกเสียงค่อนข้างใกล้เคียงอิตาเลียนมาก เลยพูดภาษาอังกฤษคำสเปนคำก็พอถูไถไปได้ แต่เราพูดอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนนะคะ เช่น bus /บัส/ เวลาที่ถาม คนอิตาเลียนเราจะเรียกว่า /บุส/ หรือคำว่า train /เทรน/ (ร = r) เวลาออกเสียงออกเป็น /เตรน/ (ร = ร กระดกลิ้น) แบบนี้น่ะค่ะ เท่านี้แหละค่ะ เข้าใจทันที (แต่ภาษาอิตาเลียนจริงๆ คือ treno /เตร – โน/ ทำให้เขาเดาได้สบายๆ
อาจจะด้วยสามอย่างนี้ หรือมากกว่านี้ (เช่น ดูจน ไม่มีตังค์สักเท่าไร อยากจะบอกว่าถ้าข้อนี้ เขาคิดถูกต้องแล้วจ้า!) แต่สรุปแล้วเที่ยวสิบวัน เราไม่พบปัญหาใดๆ เกี่ยวกับมิจฉาชีพเลยค่ะ กลับกันประสบการณ์ครั้งนี้เราได้พบกับคนอิตาเลียนน่ารักๆ และพร้อมจะช่วยเหลือเป็นอย่างดีเยอะแยะมากมาย ^^
เอาล่ะ พูดถึงการเตรียมตัวไปแล้ว ตอนนี้เริ่มออกเดินทางกันดีกว่าค่ะ
กระทู้นี้ที่เมืองแรกก่อนเลย @ Roma
ทัวร์ซักผ้า ณ อิตาลี ช่วงกุมภาพันธ์ (เมืองที่หนึ่ง: @ Roma)
แต่ที่จริงอาจจะไม่ได้ข้อมูลเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก รูปถ่ายก็ไม่สวย ไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องด้วยภาพนัก เราถนัดเป็นตัวอักษรน่ะค่ะ เรียกได้ว่าเป็นบันทึกการเดินทางน่าจะเหมาะกว่า จขกท เน้นดูงานศิลปะ บันทึกนี้จะมีความเวิ่นเว้อสูงเอาเรื่องอยู่นะคะ เลยขออนุญาต tag ในถนนนักเขียนด้วย (แต่ดันไม่มี tag งานประพันธ์อื่นๆ เลยแปะตรงเรื่องสั้นแทนแล้วกันนะคะ)
วันและเมืองที่เที่ยวจากใต้ขึ้นเหนือค่ะ เริ่มที่โรม กลับที่มิลาน และอุณหภูมิที่เจอจะเริ่มที่ 15 องศา และไปจบที่ประมาณ 5 องศาที่มิลาน (ยิ่งสูงยิ่งหนาวเนาะ)
4 กุมภา – 7 กุมภา (3 คืน 4 วัน) – @ Rome (4th นอนสลบ ; 5th โคลอสเซียม; 6th วาติกัน; 7th ออกเดินทาง)
7 กุมภา – 10 กุมภา (3 คืน 4 วัน) – @ Florence (7th Duomo โลด; 8th ไปเมือง Siena; 9th มีนัดกับวีนัสกับเดวิด; 10th ออกเดินทาง)
10 กุมภา – 13 กุมภา (2 คืน 3 วัน) -- @ Venice (10th โต๋เต๋; 11th วันแรกของ Carnival; 12th ออกเดินทาง)
13 กุมภา – 14 กุมภา (1 คืน 2 วัน) -- @ Milan (13th ช้อปโลด; 14th ขึ้นเครื่องกลับละจ้า)
สังเกตได้ว่า อยู่แต่ละเมืองค่อนข้างนาน ปกติเป็นพวกเที่ยวแบบกินบรรยากาศของแต่ละเมืองค่ะ มองดูคนท้องถิ่นไปเรื่อย พูดคุยกับเขา นั่งจิบกาแฟมองถนน ไม่เน้นสถานที่ท่องเที่ยวสักเท่าไร ยกเว้นพวกพิพิธภัณฑ์นะคะ ถึงไหนถึงกันค่ะ ส่วนเรื่องช้อปปิ้งค่อนข้างน้อย ขี้เกียจทำ Tax Refund แต่สุดท้ายก็มีอยู่ดีในวันสุดท้ายที่ Milan ค่ะ
เตรียมตัวก่อนไป
- การทำวีซ่า --> หาได้ในกระทู้อื่นๆ ค่ะ กระทู้นี้ขอไม่พูดถึง ของเราเตรียมอลังการ ครั้งเดียวผ่าน ใช้เวลาทำแค่ 2 วันเท่านั้น สงสัยคนไปเที่ยวน้อย (ตอนแรกก็กลัวอยู่ว่าจะไม่ทัน เสียงลือเสียงเล่าอ้างวีซ่าอิตาลียากและนาน)
- ตั๋วเครื่องบิน --> บิน Etihad ค่ะ 7 ชั่วโมงลงที่ Abudabi แล้วกระโดดต่ออีก 7 ชั่วโมง สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 23,000 บาทค่ะ
- จองบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์ หลักๆ เลยแนะนำให้จองวาติกัน เพราะคิวยาวเหยียดชัวร์ ส่วนที่อื่นเราไม่ได้จองค่ะ ไปตายเอาดาบหน้าเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวอยู่แล้ว ซึ่งผลปรากฏว่าเป็นไปตามคาดค่ะ วาติกันแถวยาวมาก แต่พอไปที่เมือง Florence สบายๆ เลยค่ะ walk-in ได้เลย
- เสื้อผ้า --> อันนี้สำคัญค่ะ ช่วงที่ไปเช็คอากาศด้วยนะคะ ไม่ใช่เช็คแค่ที่อิตาลี แต่ควรเช็คที่ที่เราไปเปลี่ยนเครื่องด้วย จะได้เตรียมเสื้อผ้าเหมาะสม
ประมาณ 5 – 15 องศา พอดีฝนตกด้วย อากาศเลยเหวี่ยงมาก
ท่อนบน -- 1. หมวกปิดหู 2. เสื้อลองจอน 2. Heat-Tech หรือ Heat-Tech Fleece 3. เสื้อ Down 4. ผ้าพันคอ (ท่อนบนใส่ประมาณนี้ตลอด ผ้าพันคอหนาหรือบางแล้วแต่อุณหภูมิ ถุงมือแต่ใส่ตอนประมาณ 5 องศา)
ท่อนล่าง – 1. ลองจอนบุขน 2. กางเกงยีนส์ 3. ถุงเท้าหนา (แต่ถ้าอยู่ที่ต่ำกว่า 10 องศา เราจะใส่ถุงน่อง Heat-Tech เพิ่มอีกตัว) 4. รองเท้าผ้าใบ
ถุงเท้า – จะบอกว่าไม่ต้องซื้อถุงเท้าไฮโซเลยค่ะ เราไปได้ถุงเท้าคู่หนึ่งในร้าน 60 บาท แบบหนา ตอนที่ซื้อเพราะกะว่าจะใช้ใส่แทนรองเท้าแตะเดินในบ้านกรณีที่ที่พักที่ไปอาจไม่มีให้ ซื้อไปแค่คู่เดียวเอง ที่ไหนได้ เราใช้มันทั้งทริปอยู่คู่เดียวนี่แหละค่ะ คู่อื่นไม่แตะเลย ซักแล้วซักอีก กลับมาที่ไทยเยินเรียบร้อย ใช้คุ้มมาก ทนอุณหภูมิได้ต่ำกว่า 5 องศาสบายๆ (แต่ไม่ต่ำกว่า 0 นะ) ใส่กับรองเท้าผ้าใบด้วยนะเออ
รองเท้า – มีแต่คนแนะนำให้ใส่บู้ทไปเพราะอากาศเย็น ชั่งใจอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เลือกรองเท้าผ้าใบแล้วไปใส่ถุงเท้าหนาๆ เอา เพราะมั่นใจว่าเดินเยอะชัวร์ ใส่บู้ทคงทรมานเกิน ผลที่ได้คือ คิดถูกที่เอาผ้าใบไปค่ะ ลองดูในมือถือแอปเปิ้ลตัวเอง เดินวันละประมาณ 20 กิโลได้ ไม่ใช่รองเท้าผ้าใบนี่อาจตายได้เลย
เนื่องจากทัวร์นี้ซักผ้าตลอดศก จะบอกว่าเอาเสื้อผ้าไปเยอะก็ไม่เชิง เรียกว่าเอาไปหลายแบบน่าจะดีกว่า เพราะตอนที่ไปไม่รู้เลยว่าเราจะไปเจอพิสัยอุณหภูมิขนาดไหน เยอะแบบไว้ก่อน ถ้าร้อนค่อยถอดเอา ถ้าหนาวอย่างน้อยก็มีพอ
- ของจุกจิก – เราเอาของเล็กๆ น้อยๆ ดูไร้สาระไปเยอะค่ะ แต่เอาเข้าจริงได้ใช้หมดเลยนะ ตั้งแต่ ไม้แขวนเสื้อ ไม้หนีบผ้า (ทัวร์ซักผ้าไง) Tupperware และช้อนส้อม อ้อ เลือกแบบที่มีรูที่ฝา แล้วก็ทนอุณหภูมิได้ถึง 120 องศาค่ะ เครื่องเขียน แม็ก กรรไกร กระดาษกาว ถุงซิป บับเบิลห่อของ ไฟฉาย ปลั๊กสามตา ปลั๊กแบบ Universal ร่ม ทิชชู่เปียก อุปกรณ์เย็บผ้า ฯลฯ สามารถหาในอินเตอร์เน็ตสำหรับของที่ควรเตรียมในการเดินทางค่ะ แต่ข้างบนนั่นยกตัวอย่างบางอันที่เขาไม่ได้มีให้ แต่รูปแบบการเที่ยวของเรามันได้ใช้ ก็แล้วแต่ ธรรมชาติของใครของมันแล้วกันนะคะ
ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในทริปนี้
เคสแรก เป็นเรื่องการจองรถไฟในอิตาลีค่ะ ในเวบ http://www.trenitalia.com ที่จองๆ กันนี่แหละค่ะ ปกติเวลาที่จอง คนส่วนใหญ่คงจะใส่เฉพาะวันที่จะไป จากนั้นก็เลือกเวลาให้เป็น 00 แล้วมันจะขึ้นมาเป็นเวลาต่างๆ ให้เลือกเป็นสิบๆ ตารางเวลา เราจึงค่อยเลือกเวลาที่เราต้องการ
ทีนี้เราดันไปเลือกช่วงเวลาที่ต้องการไว้ เช่น เราดันไปเลือก 11 โมง ตามรูป มันก็จะขึ้นเฉพาะตารางเวลาตั้งแต่ 11 โมงเป็นต้นไป ซึ่งฟังแล้วไม่น่ามีอะไรเนอะ แต่ประเด็นคือ เราจองที่เมืองไทยตอนประมาณสี่หรือห้าทุ่ม จำไม่ได้ค่ะ จองเรียบร้อย (แบบไม่สามารถ refund ได้ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เราเดินทางตามแผนอยู่แล้ว) แต่อิตอนปริ๊นต์ตั๋วออกมา จากเดิมที่เลือกวันที่ 24 กลายเป็นวันที่ 25 เฉยเลยคร่า
ตอนแรกนึกว่าเราเลือกพลาด แต่เราจองตั๋วสำหรับ 3 เมือง 2 เมืองพลาด อีกเมืองไม่พลาด งานนี้เราว่าไม่ใช่ความเลินเล่อของตัวเองแน่นอน ถ้าพลาด 1 อาจจะคิดแบบนั้นแต่นี่พลาดไป 2 ไม่ใช่แน่ เราจ้องแล้วจ้องอีกว่าเราทำเรียบร้อยดีแน่นอนค่ะ เลยมานั่งคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันไม่พลาดทั้งหมด ก็นึกได้ว่า ตารางที่ไม่พลาด คืออันที่เราเลือกแบบเวลา 00 เพราะเราอยากรู้ว่าเวลาทั้งหมดที่มีของเมืองนั้นคืออะไร พอเลือกลักษณะนี้ก็ไม่พลาดค่ะ
หลังจากนั้นพยายามหาข้อมูล คนไทยที่ไปแล้วเขียนรีวิวไม่มีพูดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ เลยต้องไปหาใน tripadvisor ก็พบว่ามันเป็นเรื่องของระบบคำนวณเวลาในการจองข้ามช่วงเวลาแบบนี้ มีหลายคนที่เจอ บางคนก็ได้เงินคืน บางคนก็ไม่ ซึ่งเราอยู่ในพวกหลังค่ะ พยายามติดต่อการรถไฟเขาตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทย ยันไปอิตาลี (ให้เจ้าของที่พักที่พูดภาษาอังกฤษได้ช่วยคุยให้) กระทั่งกลับมาแล้วก็ไม่ได้คืน เสียไป 4 พันฟรีๆ เพราะระบบการจองแบบเซ็งกับชีวิตมากมาย
เตือนไว้เลยค่ะ ระวังเรื่องนี้ด้วย เราบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะการเลือกเวลาจาก 00 ใช่วิธีที่ดีที่สุดหรือเปล่า มันอาจจะไม่ใช่ตามที่เราสันนิษฐานก็ได้ แต่เวลาที่คุณจะจองก็เลือกเวลาที่จะจองหน่อยแล้วกันค่ะ ของเพื่อนเราเขาบอกว่าเขาจะเปลี่ยนเวลาในคอมให้เป็นเวลายุโรปไปเลยแล้วค่อยจอง จะได้ไม่มีปัญหา ซึ่งวิธีนี้ไม่รู้โอเคหรือเปล่านะคะ แต่ก็ดูเมคเซนส์นะ
เคสที่สอง ไม่ใช่ของตัวเองหรอกค่ะ มีรุ่นน้องเล่าให้ฟังว่าเพื่อนของตัวเอง (ซึ่งไปในเวลาไล่เลี่ยกับเรา) เขาเช่ารถแล้วขับเที่ยว เส้นทางของเขาคือจากมิลานทางเหนือ ลงมาทางใต้ที่โรม ทีนี้ระหว่างทางมันจะเป็นเมืองปิซ่าที่ทุกคนจะไปดูหอเอนกัน ทีนี้จอดรถไว้ในที่จอดแล้วลงไปถ่ายรูป พอกลับมาอีกครั้ง กระเป๋าเดินทางในรถหายไปค่ะ รถถูกทุบกระจกแตก
ข้างในกระเป๋าเดินทางมีพวกของแบรนด์เนมที่ซื้อให้ตัวเองมั่ง คนฝากซื้อมั่ง เลยไปแจ้งความ ผลที่ได้คือ ตำรวจอิตาลียิ้มแห้งๆ แล้วยักไหล่ เลยทำใจไว้ได้เลยว่าไม่ได้ของคืนชัวร์
เราไม่ได้ถามต่อว่าเขาต้องดำเนินการอะไรอย่างไรบ้างน่ะนะคะ แต่ยกเคสขึ้นมาให้เผื่อใครที่วางแผนขับรถเที่ยวก็จะได้มีข้อมูลไว้ว่าควรระมัดระวังยังไงดี
ทริกในการเอาตัวรอดในอิตาลี ดินแดนที่หลายคนเตือนเรื่องมิจฉาชีพ
1. ข้อตกลงที่เราใช้กันในทัวร์นี้ คือ “เราจะไม่ช่วยใคร และไม่ให้ใครมาช่วย”
จุดนี้สำคัญมากจริงๆ สำหรับการเดินทางผู้หญิงสองคนในอิตาลี และเป็นสิ่งที่ทำให้เรารอดปลอดภัยจากประเทศที่มีแต่คนบอกว่าให้ระวังมิจฉาชีพค่ะ
ถ้าเราพบคนจีนหรือคนอิตาลีเข้ามาหา เราจะเป็นคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถ้าเราพบคนไทย เราจะเป็นคนจีนที่พูดภาษาไทยไม่ได้ พูดง่ายๆ ใครที่ส่งภาษาใดๆ ใส่เรา เราจะตอบเขาในภาษาที่เรามั่นใจว่าเขาจะฟังเราไม่เข้าใจน่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าเราแล้งน้ำใจ แต่ในต่างแดน เราเองก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ต่อให้ถามอะไรมาเราก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ใช้วิธีนี้เลี่ยงดีที่สุด ไม่เสียน้ำใจด้วย แล้วตัวเขาเองก็ไม่ต้องมาเสียเวลากับเรา สามารถถามคนอื่นได้
แต่ใช่ว่าเราจะไม่ได้ถามใครแล้วงมเองทุกอย่าง มีบ้างที่เราต้องขอความช่วยเหลือคนอื่น ส่วนมากคนที่เราเลือกก็จะเป็นคนที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในร้านที่ดูแล้วงานหลักของเขาคือยืนอยู่ข้างในนั้นน่ะค่ะ อย่างน้อยที่สุด เราก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเขาไม่ใช่มิจฉาชีพปลอมตัวมา
2. ไม่เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น เคยได้ยินว่าเวลาไปซื้อตั๋วจากเครื่อง มักจะมีมิจฉาชีพคอยดักนักท่องเที่ยวอยู่ ส่วนตัวเราไม่สนใจอะไรกับเครื่องขายตั๋วทั้งนั้น เดินเข้าร้านขายบุหรี่อย่างเดียวเลยค่ะ ซื้อเป็นแบบตั๋ววันไปเลย แพงกว่ารายเที่ยวแต่ตัดปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ออกไปได้นับว่าคุ้มสำหรับเรานะ
3. เราพยายามหัดอ่านออกเสียงภาษาอิตาเลียน มันช่วยได้เยอะในเรื่องของการถามทางกับคนอิตาลีค่ะ ก่อนไปเรานั่งดู youtube สอนออกเสียงภาษาอิตาเลียนเบื้องต้นอยู่บ้าง เอาหนังสือสอนภาษาอิตาเลียนมานั่งดู (จริงๆ แค่สิบนาทีแหละ ไม่มีเวลา แต่อย่างน้อยก็ผ่านตานะ) เมื่อเวลามีชื่อสถานที่หรือชื่อใดๆ ก็ตามที่เราต้องการถาม เขาจะได้เข้าใจสิ่งที่เราต้องการได้ทันที
มีคนบอกว่าคนอิตาเลียนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่จริงๆ แล้ว เวลาไปในสถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากก็เจอคนพูดภาษาอังกฤษได้เสียส่วนใหญ่นะคะ คือ พอเราออกเสียงแบบอิตาเลียน เขาจะเข้าใจเป็นคำๆ แล้วรู้ว่าเราต้องการอะไร เขาก็จะพยายามอธิบายให้เราฟังค่ะ พอรู้ระบบเสียงของอิตาเลียน ช่วยให้เข้าใจได้เยอะมากจริงๆ รู้ไว้มีชัยไปกว่าครึ่ง
แต่ส่วนหนึ่งที่เราได้ค่อนข้างเร็วเพราะพอพูดสเปนได้อยู่แล้ว สำเนียงและการออกเสียงค่อนข้างใกล้เคียงอิตาเลียนมาก เลยพูดภาษาอังกฤษคำสเปนคำก็พอถูไถไปได้ แต่เราพูดอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนนะคะ เช่น bus /บัส/ เวลาที่ถาม คนอิตาเลียนเราจะเรียกว่า /บุส/ หรือคำว่า train /เทรน/ (ร = r) เวลาออกเสียงออกเป็น /เตรน/ (ร = ร กระดกลิ้น) แบบนี้น่ะค่ะ เท่านี้แหละค่ะ เข้าใจทันที (แต่ภาษาอิตาเลียนจริงๆ คือ treno /เตร – โน/ ทำให้เขาเดาได้สบายๆ
อาจจะด้วยสามอย่างนี้ หรือมากกว่านี้ (เช่น ดูจน ไม่มีตังค์สักเท่าไร อยากจะบอกว่าถ้าข้อนี้ เขาคิดถูกต้องแล้วจ้า!) แต่สรุปแล้วเที่ยวสิบวัน เราไม่พบปัญหาใดๆ เกี่ยวกับมิจฉาชีพเลยค่ะ กลับกันประสบการณ์ครั้งนี้เราได้พบกับคนอิตาเลียนน่ารักๆ และพร้อมจะช่วยเหลือเป็นอย่างดีเยอะแยะมากมาย ^^
เอาล่ะ พูดถึงการเตรียมตัวไปแล้ว ตอนนี้เริ่มออกเดินทางกันดีกว่าค่ะ
กระทู้นี้ที่เมืองแรกก่อนเลย @ Roma